4
รินรดายืนมองทัศด้วยสายตาที่ชื่นชมที่เขาตามใจเธออย่างไม่น่าเชื่อ เขาดูเป็นสุภาพบุรุษตรงข้ามกับลักษณะขี้เมา ทำให้เธอคิดว่า
‘คนเราไม่ควรมองคนแต่เพียงภายนอก สิ่งที่เห็นอาจจะมีความจริงมากกว่านั้นเหมือนกับเรื่องราวของตัวเธอเองที่ถูกเข้าใจผิดอย่างไม่น่าเชื่อ การอธิบายให้ใครสักคนหรือคนบางคนที่ไม่อาจจะเปิดใจยอมรับเหตุผลที่อธิบาย ซึ่งความจริงและเหตุผลนั้นไม่ตรงใจกับภาพแรกที่เห็นหรือเข้าใจไปแล้ว มันเป็นเรื่องยากพอๆกับการบอกให้ทุกคนเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าอย่าเพิ่งตัดสินใครอะไรใดๆจากที่เห็น’
‘เตียงนุ่มๆ กลิ่นหอมๆของดอกมะลิจากปลอกหมอน ผ้าห่ม สายลมพัดโชยๆเย็นๆ’
เตียงนุ่มจนรินรดาไม่อยากจะลุกจากที่นอนขึ้นมา เธอตื่นขึ้นมาก็ยังคงอยู่ที่เดิม แต่ที่แปลกคือรู้สึกสบายใจ ถึงแม้ว่าคืนที่ผ่านมาจะเกิดเหตุการณ์แบบไม่คาดคิดขึ้น ที่สำคัญขณะนี้เธอเองกลับไม่ได้รู้สึกร้อนรนใจถึงวิธีการที่จะพาตัวเองกลับบ้านแต่เธอกลับวางใจว่าคุณป้าและวินผู้ช่วยวิจัยจะต้องหาทางให้เธอกลับบ้านได้อย่างแน่นอน อีกทั้งเธอยังคิดว่า
‘อยู่ที่นี่สักพักคงจะดีไม่น้อยเพราะไหนๆเธอก็มาแล้วและเป็นความใฝ่ฝันที่เธอเองอยากจะหายตัวจากสถานการณ์ปัจจุบันที่เธอต้องเจอปัญหาที่ยากจะควบคุมได้ไปสักพัก ที่สำคัญเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นย่อมดีเสมอ’
รินรดานอนกลิ้งไปมาไม่อยากลุกขึ้นจากเตียงนุ่มดูดวิญญาณแบบนี้ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆลืมตาขึ้นอีกครั้งโดยเริ่มจากการหรี่ตาขึ้นทีละข้าง มองไปทางหน้าต่างเห็นผ้าม่านสีขาวฉลุลายดอกไม้ตรงชายผ้าผ้าม่านไม่หนามากนักลมพัดผ่านอากาศถ่ายเทไม่ร้อนอบอ้าวทั้งที่ไม่ได้เปิดพัดลม แต่ขมิ้นก็รู้สึกว่ามึนๆหัวตั้งแต่เมื่อคืนตอนนี้ก็ยังคงเป็นอยู่ เธอพูดคนเดียวว่า
“โอ๊ย! ปวดจริงๆเลยปวดได้ปวดดีนะหัวเนี่ย”
ไม่ทันที่เธอจะพูดอะไรต่อไปจู่ๆก็มีหญิงสาว ผมบ๊อบสั้นยาวกว่าติ่งหูลงมาเล็กน้อยดัดเป็นลอนเล็กๆ รูปร่างสันทัด ผิวดำแดง น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ โผล่ลุกขึ้นมาข้างเตียงนอน เมื่อเห็นหญิงสาวแปลกหน้าก็ร้องกรี๊ดด้วยความตกใจ
“เฮ้ยยยย!” รินรดาร้องเสียงดังด้วยความตกใจ
“คุ๊ณ คุณ อะไรของคุณ จะสะดุ้งตกใจอะไรชาวบ้านรู้กันทั้งเวิ้งแล้วค่า”
“เธอเป็นใครล่ะอยู่ๆมาโผล่ข้างเตียงเนี่ย! จะไม่ให้ตกใจได้หรา”
“ไม่ได้เพิ่งโผล่ค่ะมาตั้งแต่เมื่อคืนคุณหลับไปแล้วเข้ามาเก็บข้าวของเสียหายที่เกิดสงครามระหว่างคุณกับคุณทัศ ข้าวของคุณทัศแตกกระจายหมดของบางชิ้นเป็นของรักของหวงที่หาไม่ได้แล้วค่า” อนงค์รู้สึกว่าตัวเองอาจจะพูดมากไปเพราะเห็นรินรดานั่งนิ่งเงียบอนงค์จึงเปลี่ยนเรื่องคุยโดยถามขึ้นว่า
“คุณ...เอ่อ! คุณชื่ออะไรหรอกหรือค่ะ”
รินรดานั่งฟังหญิงสาวแปลกหน้าคนนี้พูดก็รู้สึกเสียใจที่ทำลายข้าวของแบบนั้นหรือว่า
‘จะปลอดภัยหรือไม่ถ้าต้องอยู่ที่นี่ หรือว่าเราจะทำเกินกว่าเหตุเขาอาจจะเซเพราะความเมาเขาไม่ได้ตั้งใจจูบเธอ แต่คิดอีกทีถ้าไม่ตั้งใจไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญเพราะริมฝีปากไม่น่าจะประกบริมฝีปากกันพอดี’
รินรดาครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นตั้งแต่ที่เธอมาโผล่ที่ห้องนอนของชายหนุ่มขี้เมาคนหนึ่งจนถึงตอนนี้ก็หลายชั่วโมงแล้วไม่น่าจะเป็นความฝันหากทุกอย่างเกิดขึ้นจริงเธอไม่ได้ฝันไป คิดว่าชายขี้เมาฉวยโอกาสทำมิดีมิร้ายกับเธออีก
อนงค์เห็นว่าหญิงสาวแปลกหน้าจู่ๆเธอก็นิ่งเงียบเหมือนคิดอะไรบ้างอย่าง เธอมองสำรวจดูหญิงสาวที่อยู่ในห้องนอนของเจ้านายเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็พบว่า
‘หญิงสาวคนนี้รูปร่างหน้าตาสะสวยแต่มีกริยามารยาทแปลกๆจะว่าเพี้ยนๆหรือก็ไม่น่าจะใช่แต่ก็ดูไม่ปกติสักเท่าไหร่ หรือจะเป็นเมียคุณทัศก็ดูเหมาะสมกันทีเดียวเพราะคุณทัศก็มีพฤติการณ์ที่แปลกประหลาดไม่น้อย ถ้ามีเมียอาจจะเป็นผู้เป็นคนอย่างที่ยายชื่นพูดก็เป็นได้’
อนงค์เอ่ยถามรินรดาอีกครั้งว่า
“คุ๊ณ คุณยังไม่บอกชื่อเลยนะจ๊ะ”
“รินรดา แล้วเธอล่ะ”
“ฉันชื่ออนงค์ คุ๊นมีชื่อเรียกสั้นๆไหมค่ะ”
รินรดามองหน้าหญิงสาวที่กล่าวกับเธอว่าชื่อของเธอยาวทั้งที่ยาวกว่าคำว่า อนงค์ แค่พยางค์เดียว รินรดาคิดขึ้นมาแบบตลกๆว่า
‘หรือจะเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนเป็นอะไรดีน่ะสั้นๆเรียกง่ายๆ’ แต่ในใจรินรดาก็คิดว่าชื่อนั้นไม่สำคัญเพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้จักเธออยู่แล้ว รินรดาจึงถามอนงค์ว่า
“เธอเป็นใครหรา เป็นอะไรกับตาขี้เมานั่น เมื่อวานไม่เห็นเธอเลย” รินรดาถามเพราะอนงค์ดูหน้าและท่าทางจะเป็นมิตรมากที่สุดในตอนนี้
“คุณทัศบอกให้มานอนเป็นเพื่อน เผื่อคุณจะกลัวจ๊ะ แล้วนี่ คุณไม่สบายหรือ เห็นเมื่อตะกี้บ่นว่าปวดหัว”
“อืม! รู้สึกมึนๆอ่ะ”
“เดี๋ยวไปเอายาหอมมาให้นะคะ”
ไม่ทันที่รินรดาจะบอกว่า เธอไม่ชอบยาหอม อีกทั้งยังไม่บอกว่าเธอเป็นอะไรกับตาขี้เมาเจ้าของบ้าน
รินรดาคิด ‘ หรือว่าเป็นเมียขี้เมา แต่ถ้าเป็นเมียทำไมไม่นอนอยู่ห้องเดียวกัน หรือ พี่สาว น้องสาว หรือหน้าก็ไม่ใช่จะเป็นใครก็ช่างเถอะ โอ๊ย! ไม่อยากคิด แล้วนี่เราจะกลับบ้านยังไง นี่ซิน่าคิด’
หลังจากที่อนงค์เดินออกจากห้องไปเปิดประตูแง้บไว้รินรดาจึงได้ยินเสียงเพลงแว่วมาเป็นเพลงที่ผู้หญิงเสียงแหลมๆร้องพอจะฟังรู้เรื่องว่า
“ เดิน เดิน เดิน อย่าท้อทางไกลขอให้ไทยเจริญ ไชโย ชัยยะ ให้ไทยชนะอย่างปลอดภัย.......”
รินรดาถึงกับอุทานขึ้นว่า
“เพลงอะไรหน่ะ”
รินรดาถือโอกาสเดินไปที่หน้าต่างมองออกไปทางหน้าประตูรั้วบ้านเป็นไม้ ส่วนรั้วเป็นต้นแก้วปลูกเรียงเป็นแนวรั้ว บริเวณสนามหญ้าหน้าบ้านมีบ่อน้ำพุและปลูกต้นมะลิล้อมรอบเหมือนสวนมะลิย่อมๆ กลิ่นดอกมะลิหอมอบอวลคงจะมาจากตรงนี้ด้วย
ขณะที่รินรดามองดูวิวหน้าบ้านเพลินๆนั้นก็เห็นผู้ชายหนุ่มขี้เมาเจ้าของบ้าน และชายอีกคนที่ดูสูงวัยกว่าและผู้หญิงสูงวัยอีกคนกำลังหิ้วตะกร้า ถาด โต๊ะไม้พับ เดินออกไปเปิดประตูหน้าบ้านไม่นานนักก็เห็นพระสงฆ์เดินบิณฑบาตพอดี รินรดาก็พูดกับตัวเอง ว่า
“เฮ้ย! นั่นตาขี้เมาเนี่ย! น่าเสียดายหน้าตาท่าทางก็ดีแต่ขี้เมาไปหน่อย ใจบุญด้วย แต่เอ๊ะ! ใส่บาตรเป็นด้วย ใส่บาตรไม่ได้แสดงว่าใจบุญ ถือศีลห้ายังไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่น่าเชื่อ ถ้าจะมาทางสายธรรมะธัมโมทำไมขี้เมาแบบนั้นนะดูทำตัวย้อนแย้ง”
รินรดาเฝ้ามองเหตุการณ์ตั้งแต่ที่เขายืนรอใส่บาตรจนกระทั่งกรวดน้ำ เธอคิดไปว่า
‘ทำไมต้องแอบมองเขาด้วย เหมือนเจ้ากรรมนายเวรรอส่วนบุญยังงัยไม่รู้บอกไม่ถูก หรือจะเป็นเพราะบุญสัมพันธ์กันแบบที่คุณยายชอบพูด มันก็น่าคิดว่าทำไมต้องมาโผล่ที่นี่ แทนจะเป็นที่อื่น แต่เอ๊ะ!หรือว่าเป็นเรื่องที่เราคิดไปเอง’
รินรดาคิดถึงคำพูดของคุณป้าที่มักจะเสมอว่า
“บ่อยครั้งที่คนเรามักจะหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองเพื่อความชอบธรรมในการทำบางสิ่งบางอย่าง”
และตอนนี้เธอก็กำลังจะทำเช่นนั้น
ขณะที่มองออกไปข้างนอกหน้าต่างเพลินๆอยู่นั้นก็สะดุ้งด้วยเสียงของอนงค์ที่เข้ามาเงียบๆไม่ให้สุ่มให้เสียงแต่พูดขึ้นว่า
“ยาหอมมาแล้วจ๊ะ คุณ”
รินรดาหันมายิ้มให้หญิงสาวที่ยิ้มแป้นเข้ามาพร้อมกับถ้วยลายดอกกุหลาบฝาปิดเป็นลายฉลุสวยมากจนทำให้เธอรู้สึกผิดที่ทำแจกกันข้าวของแตกเมื่อคืน เธอรับถ้วยยาหอมที่ส่งกลิ่นเย็นขึ้นจมูก เปิดฝาถ้วยออกและกำลังจะยกดื่ม อนงค์ก็พูดอีกขึ้นว่า
“คุณต้องสูดดมยาหอมก่อนจ๊ะ กลิ่นหอมเย็นจะขึ้นจมูกจะได้หัวโล่งไม่มึนหัวจ้า ลองทำดูจะช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้นจริงๆจ๊ะ นี่เป็นยาหอมเทพจิตรแก้มึนหัวจ๊ะ เห็นคุณบอกมึนๆหัว”
“ยาหอมเทพจิตร หรา..เพิ่งรู้ว่ายาหอมก็มีหลายเว่อร์ชั่น” ไม่ทันที่รินรดาจะถามต่อ อนงค์ก็อธิบายให้ฟังว่า
“อะไรชั่นๆ นะจ๊ะ หรือคุณมีอาการใจสั่นด้วยค่ะ ยาหอมช่วยได้จ๊ะ ยาหอมมีหลายขนานค่ะ ยาหอมเทพจิตรเป็นขนานหนึ่งที่ช่วยแก้วิงเวียนหัว ลมสวิงสวาย”
รินรดาฟังด้วยความตั้งใจและคิดว่า
‘ยาหอมนี่สรรพคุณครอบจักรวาลจริงๆ’
รินรดาฟังอนงค์ไปก็จิบยาหอมไปทีละนิดๆและสูดดมอย่างที่เธอแนะนำหลังจากนั้นก็รู้สึกเย็นขึ้นโพลงจมูกและโล่งเกือบจะหายมึนขึ้นมาเลยทีเดียว
“เอ่อ! ลมสวิงสวายคือไรหรา” รินรดาถามด้วยความสงสัยเพราะเมื่อคืน ตาขี้เมาก็พูดกับเธอ
“ก็ถ้าอาการลมสวิงสวายก็จะหมายถึง วิงเวียนเหมือนจะเป็นลม แต่ถ้าเป็นสำนวนก็จะหมายถึง อืม..”
อนงค์หยุดพูดและมองหน้ารินรดาด้วยสีหน้าเกรงใจที่จะพูดออกมาเพราะเมื่อคืนเธอได้ยินคุณทัศพูดถึงคุณรินรดาไว้เช่นนั้นด้วย แต่เมื่อเธอได้พูดคุยกับรินรดาก็ไม่ได้เป็นเช่นคุณทัศพูดสักเท่าไหร่เพราะคุณรินรดาก็พูดจารู้เรื่องรู้ความ
แต่สิ่งที่อนงค์สงสัยนั่นคือ หญิงสาวตรงหน้าว่าเธอเป็นใครมาจากไหนถึงไม่รู้จักคำไทยดีพออีกทั้งเสื้อผ้าผมเผ้าก็ประหลาดนัก ส่วนรินรดาก็มองหน้าอนงค์รอฟังคำตอบและคิดว่าหญิงสาวคนนี้ดูพูดจามีหลักการไม่น่าจะเป็นบ่าวในเรือนแน่ๆหรือจะเป็นเมียตาขี้เมา
“ถ้าพูด สวิงสวาย เฉยๆก็จะหมายถึง เกินพอดี ค่ะ”
“คืออย่างไรหรา เกินพอดีที่ว่า”
อนงค์ฟังที่รินรดาพูดไม่เข้าใจว่าเธอจะหมายถึงอะไรจึงได้แต่มองหน้า ส่วนรินรดาก็ได้โอกาสซักถามต่อว่า
“อนงค์อยู่ที่นี่นานหรือยัง”
“ตั้งแต่เกิดจ๊ะ มีอะไรหรือ”
รินรดาคิดว่าหรือเธอจะเป็นน้องสาวคนละแม่กับตาขี้เมาแต่ดูๆไปก็ไม่เห็นว่าจะมีเค้าโครงหน้าเหมือนกันสักนิด อนงค์มองดูก็เข้าใจว่าเธอกำลังสงสัยอะไรจึงพูดขึ้นว่า
“ฉันเป็นลูกของแม่แสง พ่อจรัส จ๊ะ”
“อืม...” รินรดาฟังแล้วก็คิดตามที่อนงค์พูดก็นึกไม่ออกว่าเป็นอะไรยังไงกับเจ้าของบ้านขี้เมากันแน่
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 167
แสดงความคิดเห็น