ตอนที่ 728 บุกเข้าสวนซากุระ
ตอนที่ 728 บุกเข้าสวนซากุระ
เมื่อเห็นว่าสวนดอกท้อที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ถูกเผาจนกลายเป็นจุณ เซี่ยเฟยก็เกิดความฮึกเหิมขึ้นมาภายในใจ ท้ายที่สุดตระกูลมูนวอร์ดก็เป็นตระกูลที่โด่งดังมาก แต่พวกเขากลับถูกตระกูลสกายวิงเริ่มเหยียบย่ำในเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที
‘พวกมันเป็นคนจากตระกูลชั้นยอดแล้วยังไง? พวกมันเป็นคนจากเผ่าเทพแล้วยังไง? จงจำเอาไว้ว่าพวกเราคือสกายวิง!’
คำพูดของบรรพบุรุษตระกูลสกายวิงยังคงดังกึกก้องภายในใจของชายหนุ่ม แล้วมันก็คงจะมีเพียงแต่คนที่หยิ่งยโสในตัวเองมาก ๆ เท่านั้นถึงจะกล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้
ในระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่นั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงแรงตบที่ตกลงมาปะทะกับไหล่ของเขาเบา ๆ ก่อนที่เขาจะได้พบว่าเจ้าของมือที่ตบไหล่เขาอยู่นั้นคือเซี่ยบูหยุน มันจึงทำให้เขารู้สึกประหม่ามาก เพราะท้ายที่สุดเขาก็เป็นเด็กที่เติบโตขึ้นมาจากดาวโลกไม่ใช่สมาชิกของตระกูลสกายวิงอย่างที่คนพวกนี้เข้าใจผิดกัน
“นายชื่อเซี่ยเฟยสินะ?”
เซี่ยเฟยพยักหน้าแต่ในระหว่างที่เขากำลังจะพูดอะไรออกไป เขาก็ถูกหยุดโดยชายชราเอาไว้เสียก่อน
“เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลัง ตอนนี้ความเร็วของนายอยู่ที่เท่าไหร่แล้ว?”
“30,000 เมตรต่อวินาทีครับ”
“ทำไมช้าจัง?” เซี่ยบูหยุนอุทานพร้อมกับขมวดคิ้ว
คำถามนี้ถึงกับทำให้เซี่ยเฟยพูดไม่ออก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมาบอกว่าเขาเป็นคนที่เชื่องช้า ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ใช้พลังสายความเร็วระดับสูงมาโดยตลอด
ด้วยความเร็ว 30,000 เมตรต่อวินาทีมันทำให้เขาสามารถจู่โจมเข้าใส่ศัตรูได้โดยที่อีกฝั่งไม่ทันได้ตั้งตัวมาโดยตลอด แต่เมื่อเขาได้เข้ามาอยู่ท่ามกลางสมาชิกของตระกูลสกายวิง ความเร็ว 30,000 เมตรต่อวินาทีนี้กลับกลายเป็นความเชื่องช้าในสายตาของทุกคน
ในระหว่างการเคลื่อนไหวมายังสวนดอกท้อ เขาก็ไม่สามารถติดตามความเร็วของทุกคนได้อย่างแท้จริง เพราะกว่าที่เขาจะเดินทางมาถึงไฟก็ลุกท่วมไปทั้งสวนดอกท้อเรียบร้อยแล้ว
“ทำไมถึงช้าเป็นเต่าคลานแบบนี้ ใครเป็นคนสอนกฎแห่งความเร็วให้กับนายกันแน่? เมื่อไหร่ก็ตามที่เรื่องนี้จบลงเตรียมตัวติวเข้มเรื่องกฎแห่งความเร็วเอาไว้ได้เลย” เซี่ยบูหยุนกล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง
อย่างไรก็ตามในขณะที่เซี่ยเฟยกำลังจะบอกว่าเขาไม่เคยได้เรียนกฎแห่งความเร็ว เซี่ยบูหยุนก็ได้หยุดเขาเอาไว้กลางคันอีกครั้ง
“ไม่ต้องพูด ถ้ามีเรื่องอะไรเอาไว้คุยกันทีหลัง”
เซี่ยเฟยกรอกตาอย่างปวดหัว เพราะคนจากตระกูลสกายวิงเป็นพวกคิดเองเออเองทำอะไรเองมาโดยตลอด โดยไม่ให้โอกาสเขาอธิบายอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
โดยปกติแล้วหากมีเรื่องใหญ่อย่างเช่นสงครามระหว่างตระกูลแบบนี้ มันมักจะมีการประชุมเพื่อวางแผนกลยุทธ์ในการทำสงครามว่าควรบุกจู่โจมหรือตั้งรับที่ตรงไหน
แต่ตระกูลสกายวิงเป็นตระกูลที่เลือดร้อนมาก เพราะสิ่งแรกที่พวกเขาทำหลังจากที่ตราอสูรคลั่งถูกทำลายคือการรวบรวมกองกำลัง จากนั้นพวกเขาก็บุกจู่โจมฐานที่มั่นของศัตรูโดยตรง
“นี่มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น! สกายวิงทุกคนจงฟัง เป้าหมายต่อไปของเราคือการทำลายสวนซากุระ!!”
“เฮ้!” เหล่าบรรดาหมาป่าผู้หิวกระหายต่างก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง ขณะที่จิตสังหารของพวกเขาโหมกระหน่ำขึ้นไปบนท้องฟ้า
—
“ตอนนี้สวนดอกท้อของมูนวอร์ดถูกสกายวิงเผาทำลายไปหมดแล้วครับ”
“เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ?” มู่ฉีหยุนอุทานขึ้นมาด้วยสีหน้าที่จริงจัง
ความบาดหมางระหว่างตระกูลสกายวิงและตระกูลมูนวอร์ดไม่ได้สร้างผลกระทบให้กับสองตระกูลต้นเหตุเท่านั้น เพราะมันลามให้เกิดผลกระทบไปทั่วทั้งเขตแดนเทพอีกด้วย
เพราะแบบนี้เองสงครามระหว่างตระกูลใหญ่จึงอยู่ภายใต้การเฝ้ามองของตระกูลใหญ่ด้วยกันอย่างใกล้ชิด และแม้แต่หูตาของสองเผ่าพันธุ์สูงสุดก็กำลังจับจ้องมองไปยังสงครามในครั้งนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
“พวกเขาหายตัวไปอีกแล้ว ผมคิดว่าตอนนี้ตระกูลสกายวิงน่าจะมุ่งหน้าไปที่สวนซากุระของตระกูลมูนวอร์ด พวกเขาเคลื่อนที่เร็วมาก พวกเราไม่สามารถจะติดตามการเคลื่อนไหวของพวกเขาได้เลย” สายลับรายงานขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย
“ทำยังไงก็ได้จับตาดูสงครามนี้เอาไว้อย่างใกล้ชิด ฉันต้องการรู้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นแบบนาทีต่อนาที” มู่ฉีหยุนออกคำสั่งอย่างเข้มงวด
“ครับ” สายลับกัดฟันตอบกลับไป ท้ายที่สุดพวกคนบ้าจากตระกูลสกายวิงต่างก็ล้วนแล้วแต่เคลื่อนไหวได้เร็วมาก จนทำให้พวกเขาแทบที่จะไม่สามารถติดตามการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้
“ท่านพ่อ สวนซากุระเป็นสถานที่พำนักของผู้นำตระกูลมูนวอร์ด และภายในตระกูลของพวกเขาก็ควรจะมีราชากฎมากกว่า 40 คนและจักรพรรดิกฎอีกสองคนด้วยเหมือนกัน แต่ทำไมพวกเขาถึงยังไม่ปะทะกับพวกสกายวิง ผมว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันดูแปลกมากเกินไป” มู่หนานเฉินผู้ซึ่งเป็นพ่อของมู่ฟู่ผิงวิเคราะห์สถานการณ์อย่างสับสน
ข้อมูลของตระกูลวิทเทอร์ไม่ได้ดีเท่ากับข้อมูลของกลุ่มมังกรฟ้า พวกเขาจึงไม่รู้ว่าเซียงจินเฉิงผู้ซึ่งเป็นจักรพรรดิกฎที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลมูนวอร์ดได้กลับมาเข้าร่วมกับสงครามในครั้งนี้ด้วย
“ฉันก็กำลังกังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน” มู่ฉีหยุนกล่าว
“คราวนี้ทางสกายวิงระดมกองกำลังมาเฉพาะราชากฎขึ้นไป ไม่ได้เรียกระดมกองกำลังมาทั้งหมด แต่มันก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว เพราะการต่อสู้ระดับสูงแบบนี้นักรบธรรมดาย่อมไม่สามารถที่จะแสดงพลังของตัวเองออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่ามันจะมีนักรบธรรมดาอยู่สักกี่คน แต่พวกเขาก็คงจะถูกสังหารลงทั้งหมด”
“ในทางกลับกันตระกูลมูนวอร์ดเรียกระดมกองกำลังนักรบมาหมดเลย แล้วพวกเขาก็คงจะพร้อมใช้กลวิธีใช้นักรบธรรมดาเพื่อถ่วงเวลาพวกสกายวิงอย่างแน่นอน ถ้าหากว่ามันมีข่าวว่าสกายวิงสังหารแม้แต่นักสู้ระดับต่ำของมูนวอร์ด ข่าวนี้มันก็คงจะสร้างความอับอายให้กับสกายวิงไปทั่วทั้งดินแดน”
ตระกูลชั้นยอดต่างก็มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด และทุก ๆ ตระกูลต่างก็มีเครือญาติของตัวเองแต่งเข้าแต่งออกไปยังตระกูลชั้นยอดอื่น ๆ อยู่ตลอดเวลา ถ้าหากพวกสกายวิงเริ่มสังหารสมาชิกของตระกูลมูนวอร์ดอย่างไม่เลือกหน้า ผลลัพธ์สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นสกายวิงได้สร้างความบาดหมางกับตระกูลชั้นยอดทั้งเก้าตระกูล
“ในเวลานั้นตระกูลวิทเทอร์ของเราก็คงจะถูกลากเข้าไปร่วมกับสงครามในครั้งนี้ด้วย และถึงแม้ว่าตระกูลสโนว์ดริฟท์และเกลเชอร์จะไม่มีทางเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ แต่สกายวิงก็ยังต้องเผชิญหน้ากับความโกรธแค้นของหกตระกูลชั้นยอดอยู่ดี ซึ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้มันก็มีจำนวนหลายสิบล้านคน”
เมื่อมู่ฟู่ผิงที่ซ่อนตัวอยู่นอกประตูได้ยินการวิเคราะห์สถานการณ์จากมู่หนานเฉิน มันก็ทำให้เธอรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ท้ายที่สุดทุกสิ่งที่พ่อของเธอพูดมาก็คือความจริง ภายในตระกูลชั้นยอดมีลูกหลานที่เกิดจากการแต่งงานข้ามตระกูลอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าหากสกายวิงเริ่มสังหารสมาชิกของตระกูลมูนวอร์ดอย่างไม่เลือกหน้า ในเวลานั้นพวกสกายวิงย่อมสร้างความบาดหมางต่อทุกตระกูลในกลุ่มดาวม้าขาวอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่มู่ฟู่ผิงกำลังรู้สึกกังวลก็ไม่ใช่เรื่องตระกูลของเธอเหมือนกับพ่อของเธอเลย แต่เธอกำลังกังวลเรื่องของเซี่ยเฟยต่างหาก
“ไอ้พวกตระกูลมูนวอร์ดมันบ้าไปแล้ว! พวกมันพยายามลากพวกเราเข้าไปในปัญหาของพวกมันด้วย ถ้าเป็นไปได้พวกเราก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งกับคนบ้าของสกายวิง”
“ถึงแม้ทุกตระกูลชั้นยอดจะร่วมมือกันเพื่อจัดการกับสกายวิง แต่ความเสียหายจากการเผชิญหน้ากับคนบ้าพวกนั้นย่อมทำให้พวกเราเจ็บหนักอย่างแน่นอน มู่หนานเฉินดูเหมือนทักษะในการวิเคราะห์ของลูกจะดีขึ้นนะ” มู่ฉีหยุนกล่าวพร้อมกับมองไปยังลูกชายที่น่าภาคภูมิใจของตัวเอง
อย่างไรก็ตามในขณะที่มู่หนานเฉินกำลังภาคภูมิใจในทักษะการวิเคราะห์ของตัวเอง มู่ฉีหยุนก็ได้กล่าวขัดขึ้นมาซะก่อน
“ถึงแม้ลูกจะวิเคราะห์ได้ดีแล้วแต่ลูกก็ยังคิดง่ายมากเกินไป ประการแรกการเสียสละสมาชิกภายในตระกูลนับล้านเพื่อบังคับให้พวกเราเข้าร่วมสงคราม มันน่าจะเป็นเพียงแค่แผนการขั้นต้น จิ้งจอกเฒ่าตัวนั้นจะต้องมีแผนสำรองซ่อนเอาไว้อยู่อีกแน่ ๆ”
“แผนสำรอง!? จิ้งจอกเฒ่าเซียงจินเฉิงอุตส่าห์ขึ้นไปในเผ่าเทพแล้ว มันยังจะมีจิ้งจอกเฒ่าตัวอื่นขึ้นมาแทนที่เขาอีกงั้นเหรอ?” มู่หนานเฉินมีนิสัยที่ตรงไปตรงมา เขาจึงด่าว่าผู้นำของอีกฝ่ายออกไปเสียงดัง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่รู้ว่าจิ้งจอกเฒ่าเซียงจินเฉิงยังไม่ได้เดินทางเข้าสู่เผ่าเทพ และจักรพรรดิกฎคนนั้นก็ได้มาเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ด้วย
ในระหว่างการปรึกษากันอยู่นั้นเหล่าบรรดาเสาหลักของตระกูลวิทเทอร์ต่างก็ถอนหายใจออกมาเป็นพัก ๆ และทำให้บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยแรงกดดัน
“คุณปู่! พวกเราไม่เป็นศัตรูกับเซี่ยเฟยได้ไหม? เขาถูกใส่ร้ายและอุตส่าห์ได้กลับเข้าร่วมกับตระกูลที่พลัดพรากของตัวเอง ไม่ว่าตระกูลสกายวิงจะแข็งแกร่งแค่ไหนแต่เขาก็คงไม่มีทางต่อต้านทุกตระกูลในกลุ่มดาวม้าขาวได้ พวกเราพอจะช่วยเขาได้ไหมคะ?” จู่ ๆ มู่ฟู่ผิงก็วิ่งเข้ามาในห้องประชุมด้วยความตื่นตระหนก
มู่ฉีหยุนชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เพราะท้ายที่สุดเขาก็รู้ดีว่าหลานสาวสุดที่รักของเขากำลังคิดอะไรอยู่
“มู่ฟู่ผิง ปู่รู้ว่าหนูมีจิตใจที่ดีแต่น่าเสียดายที่ตระกูลสกายวิงคงจะไม่คิดแบบนั้นด้วย”
“ท้ายที่สุดความเห็นของคนส่วนรวมก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจะไปเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ๆ ถ้าหากตระกูลมูนวอร์ดยังคงยืนกรานที่จะใช้ชีวิตสมาชิกของคนในตระกูลหลายล้านคน เพื่อเปลี่ยนความคิดของสาธารณะ ในเวลานั้นทั้งกลุ่มดาวม้าขาวย่อมจะต้องมีความคิดเห็นตรงกันว่าให้กำจัดตระกูลสกายวิงออกไปจากเขตแดนเทพอย่างแน่นอน”
“ถึงเวลานั้นถึงแม้พวกเราจะไม่เห็นด้วยแต่พวกเราก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกเสียจากจะต้องทำสงครามกับสกายวิงไปพร้อมกับตระกูลอื่น ๆ” มู่ฉีหยุนกล่าวขึ้นมาด้วยความหนักใจ และมันก็ทำให้เหล่าบรรดาผู้อาวุโสในตระกูลวิทเทอร์หน้าซีดลงด้วยเช่นเดียวกัน
ตระกูลสกายวิงถูกขนานนามว่าเป็นดาบคลั่งที่พร้อมจะฟันทั้งเทพและมาร มันจึงไม่มีใครอยากจะเป็นศัตรูกับคนบ้าที่พร้อมจะแว้งกัดทุกคนแบบนี้อย่างแน่นอน
“หนูกลับไปเถอะ ไม่ว่าหนูจะพูดยังไงแต่เรื่องนี้ปู่ก็ยอมให้ไม่ได้” มู่ฉีหยุนกล่าวอย่างหนักใจ
เหตุการณ์นี้ทำให้มู่ฟู่ผิงรู้สึกตกใจมาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอถูกปู่ของเธอปฏิเสธ แต่มันกลับเป็นสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุด
“รีบพาตัวคุณหนูกลับไปที่ห้องของเธอเดี๋ยวนี้ หากฉันไม่อนุญาตห้ามเธอออกมาจากห้องอย่างเด็ดขาด” มู่ฉีหยุนตะโกนออกคำสั่งอย่างเศร้าใจ
เขารู้นิสัยหลานสาวของตัวเองเป็นอย่างดี ซึ่งถ้าหากว่าเขาปล่อยเธอไป เธอจะต้องนำข่าวเรื่องนี้แจ้งไปให้เซี่ยเฟยอย่างแน่นอน แต่ในฐานะที่เขาเป็นผู้นำตระกูลเขาจึงจำเป็นจะต้องยอมขัดใจหลานสาวสุดที่รักของตัวเอง เพื่อปกป้องตระกูลวิทเทอร์ของพวกเขาเอาไว้
มู่ฟู่ผิงจ้องมองไปที่ปู่ของเธอด้วยดวงตาอันเบิกกว้าง เพราะเธอไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลยว่าทำไมปู่ถึงทำกับเธอแบบนี้
ทันใดนั้นเองสายลับของตระกูลวิทเทอร์ก็กลับมารายงานอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้ท่าทางของเขาก็ดูร้อนรนมากยิ่งกว่าครั้งที่แล้ว
“ตอนนี้สกายวิงมาถึงสวนซากุระแล้วครับและพวกเขาก็กำลังจู่โจมเข้าใส่ม่านพลัง”
“หา!”
“เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ?” มู่ฉีหยุนอุทานขึ้นมาด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียด ก่อนที่เขาจะพึมพำขึ้นมาเบา ๆ กับตัวเองว่า
“นี่สินะพวกสกายวิง”
—
ตูม!
เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณเมื่อราชากฎทั้ง 30 คนของตระกูลสกายวิงต่างก็เริ่มจู่โจมเข้าใส่ม่านพลังของตระกูลมูนวอร์ดพร้อมกัน
ม่านพลังสีขาวซีดเปรียบเสมือนกับกำแพงที่ปกป้องสวนซากุระขนาดใหญ่แห่งนี้เอาไว้ แต่เมื่อมันได้ถูกจู่โจมจากกลุ่มคนบ้าพร้อม ๆ กัน มันก็ทำให้ม่านพลังเริ่มสั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง
ฟุบ!
เซี่ยเฟยคือคนสุดท้ายที่เดินทางมาถึงสวนซากุระ และภาพที่เขาเห็นมันก็ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก เพราะในตอนนี้เขาได้เห็นเงาสีดำพุ่งจู่โจมเข้าใส่ม่านพลังอย่างบ้าคลั่ง เพราะท้ายที่สุดสมาชิกของตระกูลสกายวิงทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ใช้พลังกฎแห่งความเร็ว
เร็ว!
เร็วมาก!
โคตรเร็ว!!
เซี่ยเฟยไม่รู้เลยว่าความเร็วของคนพวกนี้เป็นกี่แสนหรือกี่ล้านเมตรต่อวินาที แต่โดยสรุปก็คือวิชาเนตรมนตราของเขาไม่สามารถที่จะติดตามการเคลื่อนไหวของนักรบกลุ่มนี้ได้
สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มเห็นเป็นเพียงภาพติดตาจำนวนนับไม่ถ้วนที่จู่โจมเข้าใส่ม่านพลังอย่างบ้าคลั่ง และถึงแม้ว่าราชากฎของสกายวิงจะมีเพียงแค่ 37 คนเท่านั้น แต่ภาพติดตาที่เขาเห็นมันกลับให้ความรู้สึกคล้ายกับว่าสถานที่แห่งนี้มีกองทัพอยู่เป็นจำนวนนับพัน ๆ คน
เซี่ยเฟยเริ่มรวบรวมพลังของกฎแห่งความโกลาหลเพื่อจู่โจมเข้าใส่ม่านพลังเช่นเดียวกัน แต่ในขณะที่เขากำลังจะจู่โจมออกไปนั้น จักรพรรดิกฎเซี่ยเทียนก็ทุบม่านพลังของตระกูลมูนวอร์ดออกเป็นชิ้น ๆ ด้วยการจู่โจมเพียงครั้งเดียว
“ฆ่ามัน!!”
เมื่อม่านพลังถูกทำลาย เหล่าบรรดากลุ่มคนบ้าที่มีดวงตาสีแดงฉานก็บุกเข้าไปในสวนซากุระอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้เวลาเพิ่งผ่านพ้นไปเพียงแค่ 2 นาทีนับตั้งแต่ที่สวนดอกท้อถูกเผาทำลาย
***************
พี่เฟยไม่มีสิทธิ์อธิบาย เพราะไม่มีใครฟังเลย 5555
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 182
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น