ตอนที่ 718 ติดตามจิตวิญญาณ
ตอนที่ 718 ติดตามจิตวิญญาณ
เผ่าพันธุ์เทพและมารเป็นสองเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่ทรงอำนาจมากที่สุดในจักรวาล และพวกเขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับคำว่าพระเจ้ามากที่สุด พลังที่พวกเขาครอบครองอยู่นั้นจึงเป็นสิ่งที่อยู่เหนือกว่าสิ่งที่คนธรรมดาจะจินตนาการได้
ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นคนจากเผ่าเทพหรือเผ่ามาร พวกเขาต่างก็ล้วนแล้วแต่มีพลังการต่อสู้หรือทักษะอะไรบางอย่างอันโดดเด่น สมาชิกทุกคนภายในเผ่าจึงต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นชนชั้นสูงกันทั้งหมด
ดินแดนกฎมีความเชื่อมโยงกับเผ่าพันธุ์ทั้งสองอย่างแยกกันไม่ออก และหลาย ๆ คนในเผ่าพันธุ์ทั้งสองแห่งนั้นก็เป็นญาติพี่น้องจากตระกูลใหญ่ที่ยังคงอยู่ในดินแดนกฎด้วย เซียงไป๋ผู้ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลชั้นยอดคนปัจจุบันจึงมีสิทธิ์ขอเข้าเยี่ยมบรรพบุรุษของเขาภายในเผ่าเทพได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ระดับพลังของนักสู้ผู้ใช้กฎเริ่มตั้งแต่นักรบกฎ, อัศวินกฎ, ราชากฎ, จักรพรรดิกฎและเทพกฎ เมื่อนักสู้ได้ฝึกฝนพลังไปจนถึงระดับจักรพรรดิกฎแล้ว พวกเขาก็จะเริ่มถูกดึงตัวเข้าสู่เผ่าพันธุ์ชั้นยอดของจักรวาล ซึ่งแน่นอนว่าผู้เชี่ยวชาญในบางสาขาวิชาก็สามารถเข้าร่วม 2 เผ่าพันธุ์ชั้นยอดของจักรวาลได้ด้วยเช่นเดียวกัน อย่างเช่น ผู้เชี่ยวชาญการกลั่นพลังงานหรือนักปรุงยาชั้นยอด
ในบางกรณีจักรพรรดิกฎก็อาจจะไม่ได้เข้าไปอยู่ในสองเผ่าพันธุ์สูงสุดของจักรวาลด้วยเช่นกัน ซึ่งมันก็มีทั้งเหตุผลที่ว่าพวกเขาคือตัวตนที่ไม่ถูกยอมรับ หรือพวกเขาอาจจะเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบที่ต้องแบกรับจึงยังขึ้นไปอยู่อาศัยในดินแดนของสองเผ่าพันธุ์สูงสุดไม่ได้
ปัจจุบันในตระกูลมูนวอร์ดมีจักรพรรดิกฎอยู่ทั้งหมด 2 คน หนึ่งคือเซียงไป๋ผู้ซึ่งเป็นผู้นำตระกูล ส่วนอีกคนคือเซียงอู๋เฉิงผู้ซึ่งคอยควบคุมกองกำลังของตระกูล
แน่นอนว่าชายผู้สวมหน้ากากที่ปรากฏตัวในเกาะอสรพิษพิทักษ์นั่นก็คือเซียงอู๋เฉิงนั่นเอง และพลังของเขาก็แข็งแกร่งมากพอที่จะปิดช่องว่างมิติได้ด้วยมือของตัวเอง ซึ่งถ้าหากว่าหยูฮัวไม่ได้บังเอิญเปิดช่องว่างมิติที่วุ่นวายนี้ขึ้นมา เซี่ยเฟยก็คงจะไม่สามารถหลบหนีออกไปจากเกาะอสรพิษพิทักษ์ได้แล้ว
เซียงไป๋ทำหน้าที่อยู่ในแสงสว่างสร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลอย่างโจ่งแจ้ง ขณะที่เซียงอู๋เฉิงอยู่ในความมืดคอยปกป้องตระกูลอย่างลับ ๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่มันถึงเวลาอันเหมาะสม พวกเขาก็จะเดินทางออกจากกลุ่มดาวม้าขาวเข้าไปอาศัยในเผ่าพันธุ์เทพเช่นเดียวกันกับบรรพบุรุษของตัวเอง แต่ก่อนหน้านั้นพวกเขาจำเป็นจะต้องทำภารกิจสำคัญที่ตระกูลมอบหมายให้สำเร็จเสียก่อน
เมื่อเซียงไป๋ตัดสินใจที่จะขอความช่วยเหลือจากบรรพบุรุษในเผ่าเทพ เขาจึงจำเป็นที่จะต้องนัดพบกับเซียงอู๋เฉิงก่อนที่จะออกเดินทาง
“นายก็น่าจะรู้ว่ามันมีบางตระกูลที่พวกเราไม่ควรจะไปยั่วยุ และตระกูลสกายวิงก็เป็นหนึ่งในตระกูลพวกนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย คราวนี้นายตัดสินใจได้แย่มากเลยนะเซียงป๋อเฉิง” เซียงอู๋เฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา ซึ่งโดยปกติแล้วเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบพูด และการที่เขาพูดออกมายาวขนาดนี้มันก็แสดงให้เห็นว่าเขาไม่พอใจการกระทำของเซียงป๋อเฉิงเป็นอย่างมาก
เซียงป๋อเฉิงก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด และถึงแม้ว่าเบื้องหน้าเซียงไป๋จะเป็นผู้นำตระกูล แต่เขาก็รู้ดีว่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลเวลานี้คือเซียงอู๋เฉิงต่างหาก
“ถึงพวกเราจะต่อว่าเซียงป๋อเฉิงในตอนนี้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก พวกเราควรคิดหาวิธีรับมือสถานการณ์ในตอนนี้ก่อน ฉันคิดว่าฉันจะไปขอความช่วยเหลือจากบรรพบุรุษ นายมีความเห็นว่ายังไงบ้าง?” เซียงไป๋กล่าวถามเพื่อขอความคิดเห็นจากเซียงอู๋เฉิง
“ไม่ว่ายังไงเซี่ยเฟยก็จำเป็นจะต้องตาย เราจะให้สกายวิงเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่ได้เป็นอันขาด เราควรไปขอความช่วยเหลือจากบรรพบุรุษเพื่อขอตัวผู้เชี่ยวชาญในการติดตามจิตวิญญาณมา ในเวลานั้นไม่ว่าเซี่ยเฟยจะซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แต่เราก็จะสามารถไล่ตามร่องรอยจิตวิญญาณของเขาไปได้” เซียงอู๋เฉิงกล่าวพร้อมกับพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ทั้งเซียงไป๋และเซียงอู๋เฉิงต่างก็มีความคิดเห็นสอดคล้องกันว่า พวกเขาจะปล่อยให้ตระกูลสกายวิงเข้ามามีส่วนร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้เป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นสถานการณ์มันก็จะยุ่งวุ่นวายมากขึ้นไปกว่าเดิม
ทางออกเดียวของความวุ่นวายในครั้งนี้คือเซี่ยเฟยจะต้องตาย และทุกอย่างก็จะต้องเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด!
“ฉันจะไปพบกับบรรพบุรุษพร้อมกับนายเอง ไม่ว่ายังไงฉันก็มีส่วนรับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วย ถ้าหากมีคำสั่งลงโทษลงมา ฉันกับนายก็ต้องแบกรับบทลงโทษร่วมกัน” เซียงอู๋เฉิงกล่าว
เซียงไป๋พยักหน้าก่อนที่เขาจะมุ่งหน้าตรงไปยังเผ่าเทพพร้อมกันกับเซียงอู๋เฉิง
—
ในระหว่างที่จักรพรรดิกฎทั้งสองคนของตระกูลมูนวอร์ดกำลังเดินทางไปยังเผ่าเทพ มันก็กำลังมีพายุลูกใหม่เกิดขึ้นในสมาคมผู้คุมกฏ
มู่ฉีหยุนผู้ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลวิทเทอร์และเฝิงคูชานผู้ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มมังกรฟ้าได้เดินทางมายังสมาคมผู้คุมกฎด้วยตัวเอง มันจึงทำให้สมาชิกทุกคนในตระกูลรีบออกมาต้อนรับพวกเขาทั้งสองคนอย่างตื่นตระหนกในทันที
เมื่อตัวตนระดับผู้นำตระกูลชั้นยอดเดินทางมายังสมาคมด้วยตัวเอง มันจึงมีการเรียกประชุมอย่างฉับพลัน แต่หนุ่มสาวอย่างเฝิงซินเหนียน, มู่ฟู่ผิงและหลางซุนเย่ไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมได้ พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่รอฟังข่าวอยู่ด้านนอกห้องประชุมเท่านั้น
“ทำไมพวกนายถึงเชิญผู้อาวุโสมาได้แต่ฉันกลับทำไม่ได้เนี่ย! ที่สำคัญไม่เพียงแต่ปู่ของฉันจะไม่มา แต่ฉันยังถูกไล่ตีแล้วบ่นยาวเหยียดไปหลายชั่วโมงด้วย อย่าให้ฉันรู้นะว่าใครมันเอาเรื่องที่ฉันแอบหลับในห้องทำงานไปเล่าให้ปู่ฟัง!” หลางซุนเย่กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิด ขณะที่ยังคงใช้มือข้างหนึ่งลูบแก้มก้นที่ยังคงเจ็บปวด
เฝิงซินเหนียนเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย ขณะที่มู่ฟู่ผิงผู้ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ กำลังมองไปทางห้องประชุมอย่างประหม่า
“เอาน่า อย่างน้อยลุงหกของนายก็ยอมออกมาช่วยไกล่เกลี่ยในเรื่องนี้ เมื่อมันรวมกับผู้นำตระกูลวิทเทอร์และพ่อของฉัน ทางสมาคมก็ไม่สามารถที่จะอยู่เฉยได้อีกต่อไป อีกอย่างที่นายถูกตีนั่นก็เพราะว่านายเป็นคนทำตัวเหลวไหลด้วยตัวเอง” เฝิงซินเหนียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเซี่ยเฟย ฉันไม่มีทางไปหาตาแก่นั่นหรอกนะ!” หลางซุนเย่บ่น
เฝิงซินเหนียนรีบยกนิ้วชี้ขึ้นมาจรดที่ริมฝีปากในทันที เพราะถ้าหากข่าวเรื่องที่หลางซุนเย่เรียกปู่ตัวเองว่าตาแก่หลุดออกไป มันก็ไม่เพียงแต่คนนอกจะมองชายคนนี้ในทางที่ไม่ดีเท่านั้น แต่หลางซุนเย่อาจจะถูกลงโทษเพิ่มเติมกับความก้าวร้าวของเขาด้วย
เมื่อหลางซุนเย่รู้ว่าตัวเองหลุดปาก เขาก็รีบนำมือทั้งสองข้างมาปิดปากของตัวเองในทันที
“พวกเขากำลังประชุมเรื่องอะไรอยู่กันแน่?” มู่ฟู่ผิงกล่าวขึ้นมาอย่างร้อนใจ
“ไม่ว่าพวกเขากำลังจะคุยเรื่องอะไรอยู่ แต่ผลลัพธ์ของการประชุมครั้งนี้ถูกตัดสินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสหมิงซินที่เป็นผู้นำสมาคมคนปัจจุบันเป็นคนที่ระมัดระวังตัวมาก เขาไม่มีทางพยายามบาดหมางกับตระกูลเฝิงของฉันและตระกูลวิทเทอร์ของเธอหรอก” เฝิงซินเหนียนพยายามพูดปลอบใจ
ประธานของสมาคมจะหมุนเวียนไปตามสมาชิกจาก 9 ตระกูลชั้นยอด โดยแต่ละตระกูลจะต้องขึ้นมาเป็นผู้นำสมาคมเป็นเวลา 5 ปี ส่วนอีกแปดตระกูลที่เหลือจะทำหน้าที่เป็นรองประธาน และเมื่อเฝิงซินเหนียนได้พิจารณานิสัยของประธานสมาคมคนปัจจุบันแล้ว มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ทางสมาคมจะยอมอยู่นิ่ง ๆ กับเรื่องนี้ต่อไป
“ฉันก็หวังว่ามันจะเป็นแบบนั้นนะ” มู่ฟู่ผิงกระซิบกับตัวเอง
—
การประชุมเป็นไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่ถึง 10 นาทีหมิงซินก็นำรองประธานสมาคมทั้งแปดเดินทางออกมาส่งมู่ฉีหยุนกับเฝิงคูชานด้วยความเคารพ
เมื่อออกมาจากห้องประชุมแล้วเฝิงคูชานก็พยักหน้าให้กับลูกชายตัวเองจากระยะไกล ซึ่งมันก็หมายความว่าเรื่องการเจรจาในคราวนี้จบลงไปในแนวทางที่ดี
ในเวลาเดียวกันมู่ฟู่ผิงยังคงรู้สึกกังวลใจมาก เมื่อมู่ฉีหยุนได้ออกมาจากห้องประชุมแล้วเธอจึงรีบวิ่งเข้าไปหาปู่ของเธออย่างฉับพลัน
“ไม่ต้องห่วง ประธานหมิงสัญญากับปู่แล้วว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยภายในเวลา 3 วัน” มู่ฉีหยุนตะโกนขึ้นมาเสียงดัง เพราะเขารู้ว่าหลานสาวของเขากำลังจะถามเรื่องอะไร
“ใช่แล้ว คุณหนูมู่ฟู่ผิงเตรียมรอฟังข่าวดีได้เลย ผมให้ความมั่นใจได้ว่าทางสมาคมจะยังคงรักษาความยุติธรรมให้กับทุกคน” หมิงซินกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
ในความเป็นจริงเหตุการณ์ในวันนี้ทำให้หมิงซินรู้สึกปวดหัวมาก และเขาก็ไม่รู้ว่าเซี่ยเฟยมีความสัมพันธ์อะไรกับมู่ฟู่ผิงและเฝิงซินเหนียนกันแน่ มันจึงถึงกับทำให้สองผู้นำตระกูลที่ทรงอำนาจเหล่านี้เดินทางมายังสมาคมด้วยตัวเอง แล้วเขาจะปฏิเสธผู้ที่มีอำนาจระดับเดียวกันกับผู้นำตระกูลของเขาได้ยังไง
แม้ว่าต่อหน้าคนอื่นเฝิงคูชานกับมู่ฉีหยุนจะดูเหมือนให้ความเคารพหมิงซินมาก แต่ในห้องประชุมท่าทางของชายชราทั้งสองกลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ซึ่งถ้าหากว่าหมิงซินไม่ยอมตอบตกลงที่จะจัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อย เขาก็กลัวว่าตัวเองจะถูกชายชราทั้งสองฉีกกระชากร่างของเขาออกเป็นชิ้น ๆ
—
หลังจากส่งเฝิงคูชานและมู่ฉีหยุนออกไปด้วยร่างกายที่สั่นเทา หมิงซินก็รีบเชิญรองประธานทุกคนเข้าไปในห้องทำงานเพื่อหามาตรการจัดการกับเรื่องนี้
“พวกเราควรจะเริ่มกันจากตรงไหนดี? ถ้าหากว่าพวกเรายังหาคำตอบที่น่าพอใจให้กับผู้อาวุโสทั้งสองคนนั้นไม่ได้ คราวหน้าเรื่องคงจะไม่จบง่าย ๆ แบบนี้แน่” หมิงซินเริ่มประชุมขณะเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก
ประโยคนี้ทำให้รองประธานมู่เฉียงหลิงไม่พอใจในทันที เพราะเขาคือตัวแทนที่มาจากตระกูลวิทเทอร์ เขาจึงย่อมอยากจะแก้ตัวแทนผู้นำตระกูลของตัวเอง
“ประธานหมิง ผู้นำตระกูลของเราไม่ได้มีเจตนาที่จะบังคับทางสมาคมสักหน่อย แต่มันเป็นหน้าที่ของทางสมาคมอยู่แล้วที่จะต้องมอบความยุติธรรมให้กับผู้ที่โดนรังแกในดินแดนกฎ เพียงแต่เรื่องในคราวนี้ดูเหมือนมันจะเงียบมานานเกินไป ผู้นำของเราจึงได้เข้ามาสอบถามเรื่องนี้ด้วยตัวเองก็เท่านั้น” มู่เฉียงหลิงกล่าว
“นั่นสินะ รองประธานมู่พูดถูกแล้ว ไม่ว่ายังไงทางสมาคมของพวกเราก็มีหน้าที่ที่จะต้องดูแลทุกคนอย่างยุติธรรม ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยให้คำแนะนำหน่อยได้ไหมว่าพวกเราควรจะทำยังไงกันเป็นอันดับแรกดี?” หมิงซินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
สาเหตุที่ 9 ตระกูลชั้นยอดยอมอยู่ภายใต้สมาคมผู้คุมกฎ นั่นก็เพราะว่าพวกเขาต่างก็มีคนของตัวเองคอยดูแลสมาคมแห่งนี้อยู่ อย่างเช่น วันนี้ที่หมิงซินไม่ค่อยจริงจังกับเรื่องนี้เท่าไหร่นัก มู่เฉียงหลิงจึงกล่าวสวนขึ้นมาในทันที ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าเหล่าบรรดารองประธานไม่ได้เห็นหมิงซินเป็นประธานสมาคมที่แท้จริงด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าไม่ว่าหมิงซินจะรู้สึกไม่พอใจแค่ไหนแต่เขาก็ต้องอดทนเอาไว้ เพราะท้ายที่สุดเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้ก็มีผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทั้งเก้าตระกูลเช่นเดียวกัน
“พวกเราควรจัดการเรื่องนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อหาคำอธิบายที่น่าพอใจมาประกาศให้กับประชาชน ตอนนี้มันมีข่าวแพร่กระจายออกไปว่าทางสมาคมของเราไม่รู้จักการตรวจสอบเบื้องหลังผู้กระทำความผิดด้วยซ้ำ ถึงขนาดเซ็นยินยอมให้หยูฮัวขึ้นเป็นผู้นำตระกูลของตระกูลหยูได้ ถ้าหากว่าเราจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดีมันก็จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของทางสมาคมไปอีกนาน” หลางจิวหลินกล่าว
หลางจิวหลินคนนี้คือลุงหกของหลางซุนเย่นั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้นหลางซุนเย่ยังเป็นหลานชายสุดที่รักของเขา เมื่อหลานชายได้มาขอร้องขอความช่วยเหลือเขาจึงรีบเข้ามาจัดการเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว
ปัง!
ทันทีที่หลางจิวหลินพูดจบ ประตูห้องทำงานของประธานสมาคมก็ถูกกระแทกเปิดออกอย่างฉับพลัน และคนที่กำลังเดินเข้ามาก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากเซี่ยจงไห่ ผู้ที่ทุกคนในสมาคมรับมือได้ยากมากที่สุด
ตระกูลขนาดใหญ่ทุกตระกูลภายในสมาคมผู้คุมกฎต่างก็จำเป็นจะต้องส่งตัวแทนเข้ามาอยู่ภายในสมาคม 1 คน และตัวแทนจากตระกูลสกายวิงก็คือเซี่ยจงไห่คนนี้นั่นเอง
ชายชราคนนี้ถือได้ว่าเป็นคนที่มีอารมณ์แปลกประหลาดมาก และถ้าหากว่าเขาเริ่มอาละวาดขึ้นมา แม้ว่าตัวแทนจาก 9 ตระกูลชั้นยอดจะร่วมมือกันก็ยังไม่สามารถรับมือกับเซี่ยจงไห่ได้
ด้วยสถานะพิเศษที่เขาได้ครอบครองอยู่นี่เอง มันจึงไม่มีใครอยากจะไปยุ่งกับเซี่ยจงไห่อย่างแท้จริง และเขาก็เป็นคนเดียวที่กล้าทำเรื่องแปลก ๆ ในสมาคม อย่างเช่น การเตะประตูห้องประธานในระหว่างที่พวกเขากำลังนั่งประชุมคุยเรื่องสำคัญ
“เชิญ…”
ในขณะที่หมิงซินกำลังจะเชิญให้เซี่ยจงไห่มานั่งที่นั่งประธานของเขาอยู่นั่นเอง จู่ ๆ อีกฝ่ายก็นั่งลงยังเก้าอี้ว่างโดยไม่พูดอะไร
สมาชิกภายในห้องประชุมทุกคนต่างก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่พอใจ แต่มันก็ไม่มีใครกล้าที่จะพูดจาต่อว่าชายชราคนนี้เลยสักคำ
…
ปัง!
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังประชุมกันอยู่นั้น จู่ ๆ เซี่ยจงไห่ก็ทุบโต๊ะขึ้นมาอย่างฉับพลัน จนทำให้ทุกคนสะดุ้งขึ้นมาด้วยความตกใจ
“จะมัวเสียเวลาประชุมอะไรกันนักหนา! ไปหาผู้เชี่ยวชาญการติดตามจิตวิญญาณสะกดรอยตามไอ้หนุ่มนั่นไปซะก็สิ้นเรื่อง!!” เซี่ยจงไห่ตะโกนเสียงดัง
ทุกคนต่างก็มองไปยังอันธพาลเฒ่าตรงหน้าด้วยความสับสน เพราะพวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่าคำแนะนำของชายคนนี้มันจะเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีจริง ๆ ท้ายที่สุดผู้ติดตามจิตวิญญาณก็มีความสามารถในการสะกดรอยที่สูงมาก และพวกเขาก็คงจะหาตัวเซี่ยเฟยเจอภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน
เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาเจอตัวเซี่ยเฟย เมื่อนั้นพวกเขาก็จะสามารถสอบปากคำได้อย่างละเอียดและทุกอย่างย่อมได้รับการแก้ไขอย่างง่ายดาย
บทสรุปของการหารือของทั้งสมาคมผู้คุมกฎและตระกูลมูนวอร์ดต่างก็ออกมาเป็นข้อสรุปเดียวกัน เพียงแต่ทางสมาคมต้องการสอบสวนเซี่ยเฟยที่ยังมีชีวิต แต่ทางตระกูลมูนวอร์ดต้องการที่จะสังหารชายหนุ่มโดยเร็วที่สุด
***************
ฝั่งไหนจะไวกว่ากัน?
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 258
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น