ตอนที่ 711 ทะลวงผ่านระดับราชา
ตอนที่ 711 ทะลวงผ่านระดับราชา
หลังจากตัดการเชื่อมต่อจากคาเซะ เซี่ยเฟยก็ทำการติดต่อไปหาเยว่เกอ
เยว่เกอเป็นหญิงสาวที่มักจะสร้างความปวดหัวให้กับเซี่ยเฟยอยู่เสมอ ดังนั้นถ้าหากว่ามันไม่ได้มีเหตุการณ์พิเศษจริง ๆ ชายหนุ่มก็มักที่จะหลีกเลี่ยงการติดต่อกับเธอ เพราะกลัวว่าเธอจะพูดเรื่องบ้า ๆ ขึ้นมาอีก และถึงแม้ว่าในหมู่เพื่อน ๆ ที่ค่ายฝึกจัสทิสลีกจะคิดว่าเซี่ยเฟยคือตัวเจ้าปัญหา แต่ทุกคนก็เห็นพ้องต้องกันว่าเยว่เกอคือตัวเจ้าปัญหามากกว่าเขาเสียอีก
ภาพของเยว่เกอที่ปรากฏในหน้าจอรอบนี้ไม่ได้กำลังกัดแตงกวาอยู่เหมือนเคย ในทางกลับกันสีหน้าของเธอดูจริงจังมาก ซึ่งเธอก็กำลังก้มตัวซ่อนร่างอยู่ใต้พุ่มไม้และมองไปรอบ ๆ เป็นครั้งคราว
“นี่เธอโอเคไหม?” เซี่ยเฟยถามด้วยความประหลาดใจ
“นายเห็นว่าฉันโอเคไหมล่ะ!” เยว่เกอกล่าวพร้อมกับกรอกตา
“นั่นเธอทำอะไรอยู่? เธอกำลังพยายามซ่อนจากใครกันแน่?” เซี่ยเฟยกล่าวถามอย่างเขินอายหลังจากพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
“มันมีพวกตัวน่ารังเกียจจากตระกูลไล่กวนฉันตลอดทั้งวัน เมื่อเช้านี้มันก็มาหาฉันอีกครั้ง นี่มันไม่รู้เลยหรือไงว่าการกระทำของมันทำให้สาวสวยอย่างฉันนอนไม่พอ!!” เยว่เกอกัดฟันพูดขึ้นมาอย่างขมขื่น
“ปกติเธอไม่ได้มีนิสัยแบบนี้นี่ ฉันจำได้ว่าตอนที่มีผู้ชายมากวนเธอตอนอยู่ในค่าย เธอก็สร้างภาพลวงตาใส่เขาจนทำให้เขาเกือบจะเสียน้ำแห้งตาย ผู้ชายคนนั้นคงจะไม่ได้รับมือง่าย ๆ สินะ เธอถึงต้องมาซ่อนตัวแบบนี้” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เยว่เกอมีพลังพิเศษในการสร้างภาพลวงตา เธอจึงสามารถทรมานเป้าหมายของเธอได้โดยไม่จำเป็นจะต้องลงมือโจมตีเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ชายหนุ่มที่เคยไล่ตามเยว่เกอในค่ายฝึกจัสทิสลีกไม่รู้ตัวเลยว่าเขาถูกขังอยู่ในภาพลวงตาเป็นเวลานาน 3 วัน 3 คืน ซึ่งหลังจากที่เขาเพลิดเพลินไปกับภาพลวงตาในช่วงเวลานั้น ร่างกายของเขาก็ซูบซีดดูไม่เหมือนมนุษย์อีกต่อไป ซึ่งมันแสดงให้เห็นเลยว่าภาพลวงตาของหญิงสาวก็มีความร้ายกาจมากพอสมควร
“ช่างมันเถอะ! เมื่อไหร่ก็ตามที่นายกลับมา นายต้องช่วยให้ฉันหลุดพ้นออกไปจากที่นี่ด้วย นายคงจะไม่ปล่อยให้สาวสวยอย่างฉันต้องมาทุกข์ทรมานอยู่ในสถานที่บ้า ๆ แบบนี้ใช่ไหมล่ะ?” เยว่เกอกล่าวพร้อมกับมองไปยังเซี่ยเฟยด้วยแววตาอันโศกเศร้า จากนั้นเธอก็ตัดการสื่อสารไปโดยไม่มีคำอธิบายอะไรหลังจากนั้นเลย
เซี่ยเฟยถึงกับพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่งเมื่อเยว่เกอบอกให้เขาไปช่วยเหลือเธอจากผู้ชายคนอื่น แต่เขาก็ต้องขนลุกขึ้นมาอย่างฉับพลันเมื่อจำได้ว่าเขาเคยสัญญาว่าเขาจะต้องยอมรับคำขอของเธอ 1 อย่างโดยไม่มีเงื่อนไข
“อย่าบอกนะว่าเธอจะขอให้ฉันไปแต่งงานกับเธอ?” เซี่ยเฟยพึมพำกับตัวเอง
—
หลังจากจัดการความกังวลทุกอย่างออกไปจากสมองแล้ว เซี่ยเฟยก็เริ่มนั่งขัดสมาธิเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการบุกทะลวงไปสู่ระดับราชากฎ
“สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการทะลวงผ่านไปเป็นราชากฎให้ได้ ในดินแดนกฎผู้ที่มีระดับต่ำกว่าราชาเป็นเพียงแค่ตัวตนที่ไร้ความสำคัญ ดังนั้นนายจะต้องกัดฟันผ่านพ้นอุปสรรคในครั้งนี้ไปให้ได้”
“เมื่อไหร่ก็ตามที่นายได้กลายเป็นราชากฎ นายจะได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน และถึงแม้ว่าปัจจุบันนายจะเป็นอัศวินกฎขั้นที่ 9 ที่อยู่ห่างจากราชากฎเพียงแค่ก้าวเดียว แต่ความแตกต่างระหว่างอัศวินกฎขั้นที่ 9 กับราชากฎขั้นที่ 1 ไม่ต่างไปจากสวรรค์กับนรก”
“ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากมันเกิดความขัดแย้งกันขึ้นมาแล้วอัศวินกฎขั้นที่ 9 บังเอิญไปสังหารใครคนหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ อัศวินกฎคนนั้นก็จะถูกลงโทษตามกฎหมายตามปกติ แต่ถ้าหากผู้ที่ลงมือเป็นราชากฎขั้นที่ 1 อย่างมากที่สุดราชากฎคนนั้นก็จะถูกปรับและถูกต่อว่าเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น”
“ท้ายที่สุดราชากฎก็คือกำลังหลักในดินแดนของทั้งสองเผ่า มันจึงมีเพียงแค่ราชากฎขึ้นไปเท่านั้นที่จะได้รับการดูแลมากเป็นพิเศษ”
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับเพื่อเป็นการแสดงว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่โอโร่พูด
แน่นอนว่าราชากฎแบบเซธย่อมไม่ได้รับสิทธิพิเศษอย่างที่โอโร่พูด เพราะเขาคือผู้ที่เกิดและเติบโตในแดนเนรเทศ สิทธิประโยชน์ของทั้งสองเผ่าพันธุ์จึงไม่ได้ตกมาถึงผู้ที่อยู่ในดินแดนอันแร้นแค้นแห่งนี้
ท้ายที่สุดแดนเนรเทศก็ค่อย ๆ ขยายตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ดินแดนแห่งนี้กลายเป็นผู้มีอำนาจอันดับ 3 รองมาจากดินแดนเทพและดินแดนมารแล้ว และถึงแม้ว่าในตอนนี้แดนเนรเทศอาจจะยังไม่ใช่ภัยคุกคามต่อเผ่าพันธุ์สูงสุดทั้งสอง แต่ในอนาคตมันก็ไม่มีอะไรแน่นอน เผ่าพันธุ์ทั้งสองจึงยังคงคอยสังเกตแดนเนรเทศอยู่ตลอดเวลา
“พวกที่อยู่เบื้องหลังหยูฮัวน่าจะเป็นพวกมีอำนาจสูงมาก บางทีพวกมันอาจจะใช้อำนาจของสมาคมผู้คุมกฎจัดการกับนายทันทีที่นายปรากฏตัวขึ้นมาก็ได้ ในเวลานั้นถึงแม้ว่านายจะไม่ใช่คนผิด แต่นายก็อาจจะไม่ได้มีโอกาสได้แก้ตัวเลยด้วยซ้ำ”
“แต่ถ้าหากว่านายได้กลายเป็นราชากฎแล้ว พวกสมาคมผู้คุมกฎก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะฆ่านายได้ตามใจชอบเหมือนเดิม อย่างมากที่สุดพวกเขาจะต้องเรียกตัวนายไปสอบสวนอย่างเปิดเผย เพราะถ้าหากใครลงมือจัดการกับราชากฎโดยไม่มีเหตุผลที่สมควร พวกเขาก็จะต้องถูกลงโทษจากสภาเบื้องบนของตัวเอง”
“ด้วยเหตุนี้การเป็นราชากฎจึงเป็นเหมือนกับยันต์คุ้มกันภัยให้กับตัวนาย” โอโร่พยายามพูดถึงข้อดีของการเป็นราชากฎ
“ผมเข้าใจทุกอย่างที่คุณพูดแล้ว พรุ่งนี้พวกซุยเซนจะเปิดเผยหลักฐานของผมไปทั่วทั้งดินแดนของผู้ใช้กฎ และมันก็คือสัญญาณที่พวกเราจะเริ่มทำสงครามกับพวกหยูฮัวอย่างเต็มรูปแบบ”
“ในตอนนั้นผู้ที่อยู่เบื้องหลังหยูฮัวจะต้องปรากฏตัวขึ้นเพื่อปกป้องเขาเอาไว้อย่างแน่นอน และพวกเขาคงจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อจัดการกับอุปสรรคที่เข้ามาขัดขวางหยูฮัวออกไป”
“ท้ายที่สุดหยูฮัวก็ไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ต่ออะไรง่าย ๆ ถ้าหากว่าเขาถูกคนพวกนั้นทรยศจริง ๆ เขาย่อมลากคนพวกนั้นออกมาเปิดโปงด้วยอย่างแน่นอน” เซี่ยเฟยกล่าว
“นั่นสินะ เมื่อไหร่ก็ตามที่หลักฐานของนายถูกเปิดเผยออกไป พวกที่อยู่เบื้องหลังหยูฮัวก็ต้องปรากฏตัวออกมาแม้ว่าพวกเขาจะไม่อยากเปิดเผยตัวก็ตาม”
“แต่สาเหตุที่หยูฮัวได้ขึ้นมารับตำแหน่งในครั้งนี้ นั่นก็เพราะว่ามันได้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับผู้นำคนก่อน เรื่องนี้มันจะต้องดึงความสนใจจากทุกฝ่ายมาได้อย่างแน่นอน และเมื่อนายโยนระเบิดออกไปมันย่อมสร้างความเสียหายขึ้นมาได้อย่างหนัก”
“คนที่จะรู้สึกเสียหน้ามากที่สุดคงจะเป็นพวกสมาคมผู้คุมกฎอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะการแต่งตั้งหยูฮัวเป็นผู้นำตระกูลจะต้องผ่านการอนุมัติจากพวกเขาก่อน การที่มันได้มีงานแต่งตั้งหยูฮัวเป็นผู้นำตระกูลขึ้นมาแบบนี้ มันก็หมายความว่าเรื่องนี้ผ่านการอนุมัติจากสมาคมผู้คุมกฎแล้ว”
“แต่หลักฐานของนายเป็นเหมือนกับการประกาศบอกทุกคนว่า สมาคมผู้คุมกฎไม่ได้จัดการกับเรื่องนี้อย่างโปร่งใส ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็คงจะรู้สึกไม่ต่างจากการถูกนายตบหน้ากลางฝูงชนอย่างรุนแรง” โอโร่กล่าว
“ความจริงแล้วผมไม่ได้อยากจะไปยุ่งกับสมาคมผู้คุมกฎเลย แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันมันก็คงจะไม่มีวิธีอื่นที่ดีไปกว่าวิธีนี้แล้ว ท้ายที่สุดคนที่อยู่เบื้องหลังหยูฮัวก็มีอำนาจสูงมากจนถึงขนาดใช้มือข้างเดียวบดบังท้องฟ้าได้”
“การเผชิญหน้ากับผู้มีอำนาจแบบนี้คงจะมีแต่วิธีที่ทำให้เรื่องของผมมันกลายเป็นข่าวใหญ่เท่านั้น และมันก็ต้องใหญ่พอจนทำให้พวกเขาไม่มีอำนาจมากพอที่จะปิดข่าวของผมได้” เซี่ยเฟยกล่าว
“ฉันยอมรับในความกล้าหาญของนายจริง ๆ แต่นายควรจะรู้เอาไว้ด้วยว่ายิ่งคนมีอำนาจมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งรู้สึกเสียหน้ามากเท่านั้น เมื่อนายตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกเขาโดยตรง บางทีพวกเขาก็อาจจะหันไปใช้วิธีการบ้า ๆ เพื่อจัดการกับนาย”
“ในระยะสั้นแผนของนายอาจจะได้ผลดี แต่ในระยะยาวบาดแผลที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ย่อมเป็นบาดแผลเรื้อรังอย่างแน่นอน หลังจากเหตุการณ์วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ฉันคิดว่านายคงจะได้เข้าไปอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายที่แท้จริงแล้วล่ะ” โอโร่กล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
—
เซี่ยเฟยหยิบคริสตัลกลืนโลหิตขึ้นมาถือเอาไว้ภายในมือ ในขณะที่โอโร่ก็ให้คำแนะนำกับเขามาว่าเขาจะต้องดูดซับพลังงานจากก้อนคริสตัลนี้โดยตรง เพื่อทะลวงผ่านอุปสรรคไปข้างหน้าจนกลายเป็นราชากฎ
“พลังงานในคริสตัลกลืนโลหิตมีความอ่อนโยนมาก และมันก็เป็นพลังงานที่สามารถควบคุมได้อย่างง่ายดาย ตราบใดก็ตามที่นายสะสมพลังงานเอาไว้ในพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้มากพอ การเป็นราชากฎก็อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม” โอโร่กล่าว
เซี่ยเฟยหลับตาเข้าสู่สมาธิโดยถือคริสตัลกลืนโลหิตเอาไว้ที่มือซ้าย หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ค่อย ๆ ดูดซับพลังงานจากคริสตัลเข้าไปโดยไม่รีบร้อน พร้อมกับถักทออักขระกฎขึ้นมาอย่างชำนาญ จากนั้นเขาจึงเริ่มสะสมพลังงานเอาไว้ภายในพื้นที่สมองส่วนที่ 7 อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามพลังงานในพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเขาก็ยังคงหลงเหลือพลังงานของคอลลินกลับควินซี่อยู่ เมื่อพลังงานจากคริสตัลกลืนโลหิตได้หลอมรวมเข้ากับพลังงานพวกนี้ มันก็เริ่มแสดงอาการปั่นป่วนขึ้นมาเล็กน้อย
ชายหนุ่มค่อย ๆ ดึงพลังงานทั้งหมดออกมาใช้อย่างช้า ๆ เพื่อเติมพลังงานให้กับพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของตัวเองอย่างต่อเนื่อง แต่พลังงานพวกนี้มีความพยศมาก จนมันให้ความรู้สึกราวกับว่ามันกำลังมีม้าป่านับพันตัวกำลังวิ่งไปมาอย่างไร้การควบคุม
อย่างไรก็ตามพลังงานจากคริสตัลกลืนโลหิตก็ทำหน้าที่เป็นเหมือนกับเส้นนำทางให้ม้าพวกนั้นวิ่งตรงไปยังจุดหมาย และเมื่อฝูงม้าได้พบเจอกับอุปสรรค ฝูงม้าพวกนั้นก็เริ่มพุ่งเข้าชนอุปสรรคอย่างบ้าคลั่ง
นี่น่ะเหรอความลับของคริสตัลกลืนโลหิต!
“นี่แหละคือความสำคัญของคริสตัลกลืนโลหิต ตราบใดก็ตามที่เราได้รับความช่วยเหลือจากมันแล้ว การพิชิตขอบเขตราชากฎมันก็เป็นเพียงแค่เรื่องง่าย ๆ เท่านั้น” โอโร่กล่าวอย่างภาคภูมิใจ
เซี่ยเฟยยังคงพยายามควบคุมพลังงานภายในสมองอย่างประหม่า เพราะในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้เขาไม่สามารถที่จะเสียสมาธิไปได้แม้แต่วินาทีเดียว
เท่าที่ชายหนุ่มสังเกตมันดูเหมือนกับว่าโอโร่จงใจพูดขึ้นมาในช่วงเวลานี้เพื่อให้กระบวนการทะลวงผ่านระดับของเขายากมากขึ้น แต่โชคดีที่เขาละทิ้งความสนใจในเรื่องพวกนั้นไป จนทำให้คำพูดของโอโร่แทบที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อเขาเลย
เส้นทางที่นำไปสู่การเป็นราชากฎทั้งยาวไกลและไหลเชี่ยว แม้ว่าเขาจะได้รับความช่วยเหลือจากคริสตัลกลืนโลหิตแล้ว แต่เซี่ยเฟยก็ยังต้องค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าทีละขั้นอย่างระมัดระวังเท่านั้น
ยิ่งเวลาผ่านไปชายหนุ่มก็ยิ่งคุ้นเคยกับพลังของคริสตัลกลืนโลหิตมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงใช้เวลาไปเพียงแค่ 3 วันก่อนที่เขาจะสามารถทะลวงผ่านอุปสรรคทั้งหมดที่ขวางทางได้
ใช่แล้ว ในตอนนี้เขาได้กลายเป็นราชากฎที่ได้รับการยกย่องอย่างแท้จริง และนับจากนี้มันก็ไม่มีใครสามารถที่จะมาพูดจาดูถูกเขาได้อีกต่อไป
***************
สำเร็จ!!
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 181
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น