ภาคโซมายา บทที่ 8 คฤหาสน์เทซนิม
เมื่อเรือบ่ายหน้าไปยังทิศทางที่เมืองโซมายาตั้งอยู่พนักงานสาวก็พาเอลลานีนและฮาฟเดินผ่านโถงซึ่งมีที่นั่งของผู้โดยสาร ทั้งยังมีแผนผังของเรือและแผนที่การเดินทางแสดงอยู่ บรรดาผู้ถูกเลือกต่างก็นั่งรวมกลุ่มประจำคฤหาสน์ของตนและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ฮาฟมีสีหน้าหวาดวิตกอย่างเห็นได้ชัด เอลลานีนเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน ขืนให้พวกเธอนั่งในโถงนี้คงได้กลายเป็นตัวตลกเป็นแน่ ถ้าเพียงเด็กสาวลำพังก็ไม่เท่าไหร่ แต่เด็กหนุ่มข้างตัวคงจะหวาดกลัวเธอไปอีกคน เด็กสาวยังต้องการเพื่อนอยู่จึงไม่อยากแสดงแสงยานุภาพให้เขาได้เห็นว่าเธอก็ไม่ใช่หมู่ที่จะมารังแกได้ง่ายๆ
"ตามฉันมาค่ะ" พนักงานสาวพาทั้งคู่เลี้ยวไปอีกทาง จุดหมายคือห้องพักส่วนตัวขนาดย่อม ลักษณะไม่ต่างจากไพรเวทเลาจน์ (Private Lounge) ในโลกของเธอ เอลลานีนยิ้มอย่างถูกใจเพราะภายในห้องมีพร้อม ทั้งห้องน้ำ ที่นั่งพักผ่อน และมุมชงกาแฟ ที่เดียวจบครบครัน คราวนี้เธอคงไม่ต้องกังวลว่าจะมีเรื่องกับพวกแอมเบอร์แล้ว ที่สำคัญทั้งป้ายคล้องคอและสายรัดข้อมือที่สลักชื่อของทั้งเธอและเด็กหนุ่มนั้นก็วางรอพวกเธอบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว
"ว้าว! สุดยอดเลย" หลังจากพนักงานสาวผละจากไปเด็กสาวก็สำรวจภายในห้อง เสียงอุทานอย่างตื่นเต้นของเด็กสาวหลังจากรูดม่านหน้าต่างเรือมองออกไปด้านนอกทำให้ฮาฟที่ยืนเคว้งต้องหันไปมองเธอ ภาพที่ปรากฏในคลองสายตาคือผืนฟ้าผืนน้ำบรรจบกัน เปรวแดดยามสายหยอกล้อเต้นระริกไหวกับพรายละอองฟองน้ำแตกกระจายข้างเรือดั่งกั้นโลกไว้อีกใบ เด็กหนุ่มถอนใจน้อยๆ เขาเพียงหวังว่าการเดินทางในครั้งนี้จะทำให้ชีวิตของเขาและคนที่รอคอยสิ้นสุดลงเสียที
"นายหิวไหม" เอลลานีนรูปม่านปิดแล้วหันมาสนใจกองขนมที่วางบนโต๊ะกลางห้อง เขาเพียงพยักหน้าแทนคำตอบ เอลลานีนจึงจัดแจงชงชาให้ตัวเองและเพื่อนใหม่ พร้อมทั้งเลือกขนมหวานที่ตัวเองคุ้นเคยสองสามอย่างเลื่อนไปตรงหน้าเด็กหนุ่มก่อนจะวางแก้วน้ำชาตามลงไป
"ทำไมเธอถึงเลือกมาทำงานที่เทซนิมล่ะ" ฮาฟเริ่มบทสนทนาหลังจากที่จัดการของว่างตรงหน้าจนพร่อง
"มีคนแนะนำให้มาน่ะ อีกอย่างก็ถูกปีสาจไล่ฆ่าด้วย" เอลลานีนตอบติดตลก แต่นั่นทำให้เจ้าของดวงตาสีมรกตเบิกกว้าง
"เธอเห็นปีสาจในเมืองลูน่าเนี่ยนะ!" เด็กสาวพยักหน้า เธอไม่คิดว่าจะต้องปกปิดอะไร อีกอย่างเขาก็เป็นเพื่อนคนเดียวที่เธอมีในตอนนี้ เล่าเรื่องที่พบในสองสามวันให้เขาฟังเขาก็น่าจะอธิบายให้เธอฟังได้กว่าอีตาตาฟ้านั่น แต่เหมือนเธอจะคิดผิดเมื่อเด็กหนุ่มไม่ได้มีทีท่าว่าจะเชื่อคำพูดของเธอเลย
"ใช่ แต่คนอื่นๆ มองไม่เห็น แม้แต่พี่สาวของฉันก็ยังไม่เห็นเจ้าพวกนั้น พอฉันเล่าให้พี่สาวฟังเธอเลยให้ฉันมาทำงานที่โซมายา อย่างน้อยก็น่าจะปลอดภัยกว่าที่จะอยู่ในลูน่า" ฮาฟพยักหน้า
"ปลอดภัยกว่าจริงๆ แหละ แต่น่าแปลก ทำไมปีสาจถึงปรากฏตัวให้เธอเห็นล่ะ หรือว่าเธอจะมีดวงกาลากินีอย่างที่เขาลือกันจริงๆ" เขาพึมพำนั่นทำเอาเด็กสาวถึงกับหงุดหงิด
"นายกลัวไหมล่ะ" เธอประชดเข้าให้ ฝ่ายนั้นฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นอาการกระฟัดกระเฟียดของเด็กสาว
"ใครๆ ก็กลัวเธอกันทั้งนั้นแหละเอลล่า" เขาว่า และนั่นทำให้เด็กสาวรู้สึกผ่อนคลาย เพราะน้ำเสียงหยอกล้อของฮาฟทำให้เธอมั่นใจว่าเขาจะเป็นเพื่อนคนแรกในโซมายาของเธอ
"ว่าแต่นายเถอะ มาทำงานที่เทซนิมทำไม คงไม่ได้หนีปีสาจอย่างฉันหรอกนะ" เอลลานีนพูดติดตลก เด็กหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ
"ไม่หรอก ฉันไม่มีปีสาจเป็นแฟนขลับอย่างเธอสักหน่อย" เด็กหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ
"แหมๆ ขอให้เจออย่างฉันสักครั้งเถอะ จะขำไม่ออก" เธอว่า
"ไม่ไหวหรอก" เด็กหนุ่มส่ายหน้าดิก
"สรุปว่านายมาทำงานที่เทซนิมทำไม" เด็กสาวซักต่อ ฮาฟถอนใจน้อยๆ
"เหตุผลพื้นฐานของชาวลูน่าไง คนที่ถูกยัดเยียดให้มีดวงกาลากินีอย่างเธอก็น่าจะรู้ดี เมื่อไหร่ที่เรามีข้อบกพร่องหรือมีความผิดแผกแตกต่างจากชาวเมือง พวกเราก็จะไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตในลูน่าได้อย่างราบรื่นเป็นสุขหรอก ถ้าเราอยู่เงียบๆ เราอาจจะมีชีวิตยืนยาวไปจนแก่เฒ่า แต่จะไม่สามารถออกมาใช้ชีวิตอย่างคนปกติได้ โชคร้ายอาจจะถูกปราบปรามจากกลุ่มคนที่รักความชอบธรรมบ้าบอพวกนั้น แล้วทั้งเธอและฉันก็จะกลืนหายไปตามกาลเวลา ไม่มีใครระลึกนึกถึงอีกต่อไป" รอยยิ้มรู้เท่าทันของฮาฟผุดขึ้น เอลลานีนเพียงส่งยิ้มน้อยๆ ให้เด็กหนุ่ม
เธอรู้ว่าเด็กหนุ่มไม่มีทางเชื่อเรื่องปีสาจที่เธอยกขึ้นมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เธอคิดไม่ถึงคือเขากลับประสบชะตากรรมเดียวกันกับเธอ เด็กอ่อนแอกับเด็กกาลากินีอย่างพวกเธอคงไม่มีที่ยืนในเมืองลูน่า ดังนั้นความตั้งใจของเขาคือการหาที่ทางของตัวเอง และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขบนผืนแผ่นดินที่ไม่ต้องถูกคุกคาม ซึ่งโซมายาเป็นจุดหมายเดียวที่จะปกป้องและคุ้มครองอะไรก็ตามที่มุ่งร้ายคนอ่อนแออย่างเขา เอลลานีนนั้นเพียงต้องการอยู่ห่างจากครอบครัวตัวเองเพื่อความปลอดภัยของพวกเขา ส่วนฮาฟจะเชื่อเรื่องปีสาจหรือไม่ก็ไม่จำเป็น ให้เขาเข้าใจว่าเธอต้องการแสวงหาที่ทางของตัวเองเฉกเช่นเดียวกันกับเขาก็เพียงพอแล้ว
หลังจากที่ทำความรู้จักและซักประวัติกันพอหอมปากหอมคอแล้วทั้งเอลลานีนและฮาฟต่างก็หามุมเหมาะๆ งีบหลับเอาแรง จนกระทั่งล่วงไปเกือบสี่ชั่วโมงพนักงานคนเดิมจึงเข้ามาปลุกทั้งคู่เมื่อเรือทอดสมอเทียบท่าของเมืองโซมายาเป็นที่เรียบร้อย เด็กสาวสะดุ้งตื่นแล้วกุลีกุจอไปล้างหน้าก่อนจะแบกสำภาระอันน้อยนิดของตัวเองเดินตามหลังพนักงานสาวและเด็กหนุ่มไปอย่างกระตือรือร้น ทั้งคู่เดินต่อแถวเตรียมจะลงจากเรือ สายตาไม่เป็นมิตรของชาวลูน่าคนอื่นๆ ที่มองมานั้นทำให้เอลลานีนหมั่นไส้เลยอดที่จะถลึงตาใส่คืนไม่ได้จริงๆ ผิดจากฮาฟที่ยังคงรักษาท่าทีสงบนิ่งได้เสมอต้นเสมอปลาย และนั่นทำให้พวกคนอื่นๆ ได้ใจ คิดว่าเด็กหนุ่มหวาดกลัวพวกเขา
ท่าเรือของโซมายาเป็นท่าเรือที่ใหญ่โตโอลาร มีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งของเมืองมนุษย์และของเมืองเผ่าพันธุ์อื่นครบครัน ทั้งยังมีระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวกสบายต่อการเดินทางไปยังที่ต่างๆ จึงไม่แปลกที่ท่าเรือเมืองนี้จะคลาคล่ำไปด้วยมนุษย์ต่างเผ่าพันธุ์ที่ไม่ต้องถูกจำกัดพลังอย่างเมืองลูน่า ดังนั้นเอลลานีนจึงตื่นตาตื่นใจเมื่อได้เห็นรูปลักษ์ที่แท้จริงของพวกเขา จึงเผลอแสดงอาการตื่นเต้นออกมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ต่างจากฮาฟที่ยังคงความสงบเหมือนเช่นเคย
เหล่ามนุษย์ชาวลูน่าที่ถูกเลือกต่างก็แบกสัมภาระของตนเดินตามหลังตัวแทนประจำคฤหาสน์ที่ตนสังกัดไปอย่างเป็นระเบียบ เมื่อลงจากเรือแล้วต่างก็แยกย้ายไปตามรถม้าประจำคฤหาสน์ที่จอดรออยู่ตามจุดต่างๆ เด็กสาวอดตื่นเต้นไม่ได้เมื่อเห็นผู้ถูกเลือกแต่ละคฤหาสน์มีผู้มารอต้อนรับอย่างเอิกเกริก เด็กสาวจินตนาการณ์ถึงการต้อนรับที่จะเกิดขึ้น แต่พนักงานกลับเดินผ่านรถม้าหรูหราไปคันแล้วคันเล่า จนกระทั่งรถม้าคันสุดท้ายที่มีสัญลักษณ์เป็นมังกรพนักงานก็เดินผ่านไปหน้าตาเฉย เอลลานีนรู้สึกผิดหวังเมื่อพนักงานพาพวกเธอออกมายังลานด้านนอกของท่าเรือ
ในที่สุดพนักงานสาวก็พาเอลลานีนและเด็กหนุ่มมาหยุดยังรถม้าคันหนึ่งที่สุดแสนจะธรรมดา มีเพียงสัญลักษณ์นกสีน้ำเงินที่คุ้นตากางปีกพร้อมจะโผบินเกาะอยู่บนหลังคารถ ชายร่างสูงสวมสูทผ้าไหมตัดเย็บปราณีตยืนรอด้วยท่วงท่าสบายๆ ผมซอยสั้นระต้นคอเผยให้เห็นดวงหน้าหล่อเหลาชวนเคลิบเคลิ้ม ดวงตาสีอเมทีสเปล่งประกายพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างส่งผลให้พนักงานสาวที่พาคนทั้งสองมานั้นออกอาการแก้มแดง เขาค้อมศรีษะให้กับคนทั้งสามอย่างนอบน้อมก่อนจะกล่าวกับพนักงานสาวอย่างเกรงอกเกรงใจ
"ขอบพระคุณมากขอรับ" เขาหันไปกล่าวขอบคุณพนักงานสาว ยิ่งทำให้เธอถึงกับยิ้มแก้มปริ
"ด้วยความยินดีค่ะ" เธอว่า
ทั้งเอลลานีนและฮาฟต่างไม่ได้สนใจบทสนทนาและกิริยามารยาทที่แสดงต่อกันของทั้งคู่ ได้แต่กอดกระเป๋าเสื้อผ้าด้วยอาการหนาวสั่น เนื่องจากอากาศยามที่ออกจากอาคารนั้นต่างกันลิบลับ ลมหนาวพัดปะทะร่างจนแขนขาที่โผล่พ้นเสื้อผ้าชาไปตามๆ กัน ไม่มีใครบอกเธอว่าอากาศที่เมืองนี้เป็นอย่างไร ดังนั้นเอลลานีนจึงไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าหนาๆมาด้วย และไม่ใช่แต่เธอเท่านั้น เพื่อนร่วมชะตากรรมของเธอก็มีสภาพไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ส่วนพนักงานสาวที่พามาและชายหนุ่มเปี่ยมเสน่ห์ที่มารอรับพวกเธอนั้นเหมือนจะชินกับอากาศที่นี่ ความหนาวเย็นที่เด็กสาวเผชิญอยู่ในตอนนี้จึงไม่ส่งผลกับพวกเขา กว่าคนทั้งสองจะจบบทสนทนากันได้ทั้งเอลลานีนและฮาฟต่างก็ปากซีดตัวสั่นไปตามๆ กัน
"เชิญท่านทั้งสองขึ้นรถม้าได้เลยขอรับ" ดั่งเสียงสวรรค์เมื่อชายหนุ่มที่มารอรับผายมือเชื้อเชิญทั้งคู่ให้ขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่
เอลลานีนและฮาฟไม่รอให้เชิญซ้ำ ทั้งคู่แย่งกันกระโดดขึ้นรถม้าอย่างรวดเร็ว แล้วก็แยกกันนั่งคนละมุม ต่างก็กอดตัวเองเพื่อให้ความอบอุ่น ภายในรถม้าออกจะกว้างขวางเลยทีเดียว ทั้งยังมีขนมหน้าตาชวนรับประทานวางรอบนโต๊ะเตี้ย ข้างใต้มีกระถางไฟให้ความอบอุ่นตั้งอยู่ เมื่อรถค่อยๆ เคลื่อนตัวความอบอุ่นก็ขับไล่ความหนาวเย็นออกจากร่างกายจนหมด
เด็กสาวอยากจะมองบรรยากาศในเมืองสักหน่อย แต่เนื่องจากรถม้าปิดสนิททุกด้าน มีเพียงฝั่งประตูที่เลื่อนเปิดออกได้เธอจึงค่าเวลาโดยการหยิบขนมในจานใส่ปาก แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะขนมหน้าตาชวนรับประทานนั้นรสชาติไม่อร่อยอย่างที่คิด บางทีขนมในจานนี้อาจจะตากลมมานานแล้ว หรือไม่ก็หมดอายุไปแล้ว คิดได้ดังนั้นเอลลานีนก็อยากจะคายขนมในปากออก แต่เนื่องด้วยบนรถม้าหรูหราไม่มีถังขยะเด็กสาวจึงฝืนกลืนลงคอไป พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับกาน้ำชาทรงสวย เมื่อยกขึ้นก็เหมือนว่าในกานั้นจะมีน้ำชาเตรียมรอไว้แล้ว เอลลานีนจึงจัดแจงรินใส่แก้วสองใบ บริการเด็กหนุ่มและตัวเองเสร็จสับ แต่พอลิ้นรับได้เพียงรสจืดของน้ำและกลิ่นหอมของชา นึกเสียดายที่ไม่มีรสมันของนมและรสหวานของน้ำตาล เด็กสาวจึงตัดใจยกชากระดกจนหมดแก้วและก็ถอนใจอย่างเซ็งๆ
ไม่นานรถม้าก็จอดสนิท สารถีหนุ่มเปิดประตูออกพลางผายมือเชื้อเชิญทั้งคู่ลงจากรถอย่างสุภาพ ลมเย็นปะทะร่างยามที่เด็กสาวก้าวลงจากรถม้า แต่คราวนี้เอลลานีนไม่ได้รู้สึกหนาวเย็นเสียดกระดูกเหมือนตอนที่อยู่ท่าเรืออีกแล้ว กลับเป็นความเย็นสดชื่นสบายๆ แทน เด็กสาวกวาดตามองรอบตัวก็เห็นเป็นลานโล่งๆ ส่วนเบื้องหน้านั้นเป็นคฤหาสน์หลังโตสไตล์คลาสิกตั้งตระหง่านท้าลมท้าแดดและเธอคิดว่าพื้นที่ตรงนี้น่าจะเป็นพื้นที่ตรงเชิงเขาด้วย รอบๆ ลานโล่งๆ มีรูปปั้นน้อยใหญ่สภาพชำรุดวางระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ ทั้งยังไม่มีไม้ดอกไม้ประดับให้ชื่นตาชื่นใจ ยิ่งส่งผลให้คฤหาสน์ดูหดหู่แห้งแล้งพิกล สารถีนัยน์ตาสีอเมทีสค้อมกายให้พวกเธอก่อนจะผายมือเชื้อเชิญแล้วเดินนำทั้งคู่ตรงไปยังตัวคฤหาสน์ เอลลานีนลังเลก่อนจะตัดสินใจเดินตามหลังเขาเข้าไปเมื่อนึกถึงรอยยิ้มจริงใจก่อนหน้านั้นของเขา
เมื่อเข้าสู่ในตัวคฤหาสน์เอลลานีนก็แอบถอนใจอย่างโล่งอก เพราะภายในคฤหาสน์ไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่เด็กสาวจินตนาการณ์ไว้ ภาพวาดและรูปปั้นประดับตามมุมทำให้สัมผัสได้ถึงบรรยากาศเก่าแก่โบราณ โคมคริสตัลระย้าทที่ส่องแสงสว่างกลางโถงขับเน้นให้สภาพโดยรวมมีความสูงส่งหรูหรา สารถีหนุ่มพาทั้งคู่มานั่งยังชุดรับแขกหนังเรียบหรูกลางโถงก่อนจะผละจากไป เอลลานีนและฮาฟหันมาสบตากันเงียบๆ ต่างก็เห็นแววลังเลปรากฏจากดวงตาของทั้งคู่ แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้วเด็กสาวจึงละวางความไม่สบายใจทิ้งเสีย ได้แต่กวาดตาสำรวจรอบตัวด้วยความสนใจ ไม่นานความเงียบก็ถูกรบกวนด้วยเสียงอะไรบ้างอย่าง เอลลานีนจึงเงี่ยหูฟัง มันเป็นเสียงตึงตังคล้ายเสียงย้ำเท้าพร้อมกับเสียงตะโกนโหวกเหวกเล็กแหลมของเด็กดังใกล้เข้ามา
"มาถึงแล้วเหรอคะลุงไลเบน" เจ้าของเสียงเล็กแหลมที่เอลลานีนได้ยินปรากฏตัวขึ้นตรงทางเดินที่เชื่อมต่อไปยังอีกห้องของคฤหาสน์ แต่เสียงกระโชกโฮกฮากที่ดังตามมาทำเอาเอลลานีนและฮาฟต่างก็ตื่นตัวขึ้นพร้อมกัน
"โฮ่ง ฮ่ง ฮ่ง" เจ้าของเสียงเห่าวิ่งตามหลังเด็กหญิงมาติดๆ ขนขาวราวหิมะเป็นคลาบด่างด่วงจากดินโคลนลดทอนความสง่างาม สภาพของมันในยามนี้ไม่ต่างอะไรกับลูกหมาที่เลี้ยงไว้ตามบ้าน
"หยุดทำเสียงดังนะกาบี้ เดี๋ยวแขกก็แตกตื่นกันหมดหรอก" เด็กหญิงหันไปดุเจ้าสี่ขาที่ยืนกระดิกหางอยู่ใกล้ๆเมื่อเข้ามายังโถงกลางห้องแล้ว สภาพของเด็กหญิงในยามนี้ช่างดูเอน็ดอนาดเสียเหลือเกิน ผมสีทองของเธอยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ใบหน้าเปรอะคลาบด่างดวงลามไปยังชุดกระโปรงสีขาวบนร่างเล็กๆ เหมือนว่าเด็กหญิงเพิ่งกลับจากสมรภูมิรบอย่างไรอย่างนั้น ส่วนเจ้าของเสียงเห่าที่กำลังยืนกระดิกหางช้าๆ พลางมองสำรวจคนทั้งสองสภาพของมันก็ไม่ต่างกัน
"บอกแล้วยังไงขอรับว่าไม่ให้ไปวิ่งเล่นในสวนด้านหลัง นี่คงถูกท่านคิลบีตะเพิดกลับมาอีกสินะขอรับ" สารถีหนุ่มตำหนิด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความอิดหนาระอาใจ พร้อมกับวางกระดาษในมือลงบนโต๊ะ เด็กหญิงสีหน้าสลดลงอย่างรู้สึกผิด
"เอาล่ะขอรับ ในเมื่อมากันครบแล้ว กระผมก็ขอต้อนรับท่านทั้งสองสู่คฤหาสน์เทซนิมนะขอรับ" สารถีหนุ่มกล่าวต้อนรับอย่างเป็นทางการ พร้อมกับลงนั่งฝั่งตรงข้ามของทั้งคู่ โดยไม่ใส่ใจหนึ่งเด็กหนึ่งหมาที่ยืนมองผู้มาใหม่ตาแป๋ว
"นี่คงเป็นท่านเอลลานีนส่วนท่านคงเป็นท่านฮาฟน่ะสิขอรับ" เด็กสาวพยักหน้ารับน้อยๆ พร้อมกับปลดป้ายคล้องคอและยื่นสายรัดข้อมือให้เขาตรวจสอบ ชายหนุ่มเอื้อมมือมารับของทั้งหมดจากเธอและฮาฟไปวางเบื้องหน้าของตน
"เรียกฉันว่าเอลล่าก็ได้ค่ะ" เธอบอก ชายหนุ่มค้อมศีรษะรับ
"กระผมชื่อไลเบน เป็นผู้ช่วยของนายท่านเซเฟอร์ขอรับ" หลังจากใช้สัญลักษณ์ประจำคฤหาสน์ซึ่งเป็นโลหะรูปนกสีน้ำเงินตรวจสอบสิ่งของทั้งหมดแล้วไลเบนก็ส่งของคืนกลับให้ทั้งคู่
"การเดินทางราบรื่นนะขอรับ" ทั้งฮาฟและเอลลานีนพยักหน้ารับ
"ทำไมคฤหาสน์เทซนิมถึงไม่มีใครไปคัดเลือกเลยล่ะคะ แล้วจู่ๆ พวกเราก็ได้รับรอยประทับมา มันหมายความว่าอะไรคะ" เด็กสาวถามในสิ่งที่เธอสงสัยมานาน ไลเบนเอนหลังด้วยท่วงท่าสบายๆ แล้วจึงเริ่มอธิบายให้เด็กสาวฟัง
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 260
แสดงความคิดเห็น