บทที่ 4...1/3
เมษากอดอกมองภามอย่างให้รู้ว่าเขาไม่ได้น่ากลัวจนเธอต้องยอมหงอให้ เขาไม่ได้ต้องการเป็นแฟนกับเธอหรอก เมษารู้ดี แต่เขาอยากใช้สิทธิ์ของความเป็นแฟนด้วยการจับมือของเธอเพื่อติดต่อกับพี่ชายต่างหาก
“ฉันจะคิดเรื่องช่วยคุณติดต่อกับพี่ชาย แต่เรื่องเป็นแฟน ฉันไม่ตกลงค่ะ ฉันไม่อยากเป็นแฟนปลอมๆ กับใคร” เมษาตอบตรงจากใจ ก่อนจะขยายความให้อีกฝ่ายไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก “ส่วนกับคุณทั้งแฟนจริง แฟนปลอม ฉันคิดว่าไม่เอาดีกว่าค่ะ”
ภามขมวดคิ้วไม่คิดว่าจะถูกเมษาปฏิเสธเหมือนไม่ต้องใช้เวลาคิดแบบนั้น ที่ผ่านมาเขาถูกปฏิเสธมาหนึ่งครั้ง แต่เป็นการถูกปฏิเสธที่เขาก็ทำกับอีกฝ่ายเช่นกัน เขาจบความสัมพันธ์กับอดีตคู่หมั้นเพราะรู้ว่าด้วยนิสัยและการใช้ชีวิตไปด้วยกันไม่ได้
“ทำไม ผมไม่ดีพร้อมตรงไหน” ชายหนุ่มถามเสียงเรียบ
เมษาไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาแจกแจง แต่เมื่อภามอยากได้คำตอบ เธอก็ไม่รู้จะเก็บไว้ในใจให้อีกฝ่ายสงสัยไปเพื่ออะไร
“คุณก็จัดว่าหน้าตาดีนะคะ แต่ปากไม่ดี พูดไม่คิดถึงใจคนฟัง ชอบสั่ง ชอบบงการ เราไม่ได้ชอบกัน แล้วที่สำคัญคุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉันไงคะ”
ภามพยักหน้าเพราะจริงอย่างที่เมษาบอก เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าพูดใส่หน้าเขาแบบที่เธอทำอยู่ในตอนนี้ ความหน้าชาเป็นแบบนี้เอง
“ก็ได้ คุณพักผ่อนเถอะ”
เมษามองร่างสูงใหญ่ที่ลุกขึ้น แล้วเดินก้าวจากไปง่ายๆ อย่างไร้ข้อโต้แย้ง เขาเปิดประตูแล้วเดินไปนิดเดียวรถคันหนึ่งก็เข้ามาจอดเทียบ ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปนั่งเบาะหลัง จากนั้นรถก็แล่นจากไป
เขาโกรธงั้นหรือ?
เมษาไม่แน่ใจนักเพราะไม่รู้จักผู้ชายคนนั้นจนรู้ถึงนิสัย หญิงสาวลุกขึ้นพลางมองไปรอบตัวอย่างระแวง เธอจะตัดสินใจอย่างไรดี หากช่วยภามติดต่อพี่ชาย เธอจะเป็นลมอีกไหม เมษาส่ายหน้าถอนใจคิดว่าเอาไว้ค่อยคิด ตอนนี้เธออยากอาบน้ำแล้วนอนกว่าสิ่งใด
ภามเดินไปเดินมาบนลู่วิ่งในเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว เขานอนไม่ค่อยหลับอีกแล้ว แม้จะรู้ดีว่าการออกกำลังกายในตอนนี้อาจทำให้หลับยากกว่าเดิม แต่เขาอยากมีเวลาสำหรับคิดและหาข้อมูล มีสองสิ่งที่เขาแน่ใจ
สิ่งแรก เมษาเป็นสื่อกลางที่ทำให้เขาติดต่อกับพี่ภูมิได้
สิ่งที่สอง เขาสามารถพูดคุยกับพี่ภูมิได้ เพราะฉะนั้นหากเขาได้ถามพี่ภูมิว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ย่อมทำได้
ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาเขากับชลัชซึ่งเป็นเพื่อนตำรวจ เรียนด้วยกันมาตอนมัธยมช่วยกันหาหลักฐานมาเรื่อยๆ แต่ไม่มีอะไรที่ชี้ชัดว่าอุบัติเหตุนั้นเป็นการวางแผนฆ่า
ชายหนุ่มกดปิดสวิตช์ลู่วิ่งก่อนจะนั่งลงเพื่อดื่มน้ำพลางหยิบโทรศัพท์มาหาข้อมูล การที่เมษาเป็นสื่อกลางโดยที่เธอคงไม่รู้ตัวว่าทำแบบนี้ได้เป็นเพราะอะไรกัน ด้วยความสงสัยชายหนุ่มจึงหาข้อมูลเผื่อว่าจะเข้าใจ ข้อมูลที่พบมีว่า
ความกลัวที่ฝังลึกในจิตใจและส่งผลให้เกิดปฏิกิริยารุนแรงทางกาย ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มองเห็นภูตผีได้ โดยนายแบรนดอน อัลวิส ผู้ก่อตั้งสมาคมวิจัยปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอเมริกัน (APRA) บอกว่า คนที่มีภาวะนี้จะมีอาการหายใจขัด หรือหายใจหอบถี่เร็ว จังหวะการเต้นของหัวใจไม่แน่นอน เหงื่อตก คลื่นไส้อาเจียน อันเนื่องมาจากความกลัวที่ฝังลึกในจิตใจ คนที่เชื่อเรื่องผีอยู่แล้ว เมื่อไปอยู่ในสถานที่หรือสถานการณ์ที่น่าหวาดกลัว ก็มักจะมองเห็นสิ่งเคลื่อนไหวแปลก ๆ แวบไปมาที่หางตาอยู่เสมอ*
“ไม่น่าใช่อาการของเมษา” ภามส่ายหน้าเพราะที่เมษาเป็นลมเนื่องจากตกใจกลัวต่างหาก
พออ่านไปเรื่อยๆ ภามก็พบอีกข้อคิดเห็นว่า...ภาพหลอนหรือความรู้สึกประหลาดเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในอีกมิติหนึ่งหรืออีกยุคหนึ่ง เกิดขึ้นได้จากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าพลังสูง ที่อาจบังเอิญเกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือเกิดจากการทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองชั่วขณะ**
“เหตุผลนี้ก็ไม่น่าจะใช่อีก แล้วมันเป็นเพราะอะไร” ภามวางโทรศัพท์เมื่อยังหาคำตอบที่พอจะเข้าเค้าไม่ได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด นั่นคือเมษาจะยอมช่วยเขาหรือเปล่า
ภามหยิบโทรศัพท์มาอีกครั้ง คราวนี้เขาเลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์เมื่อคิดว่าต้องทำให้เมษายอมช่วยให้ได้ แต่เขาต้องแน่ใจบางอย่างเสียก่อน เขากดโทรออกแล้วรอสายอยู่ครู่เดียว ชลัชที่กำลังเข้าเวรก็กดรับสาย
“ฉันมีเรื่องอยากถามนายสักหน่อย ว่างอยู่ไหม”
ชลัชกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเอง หลังจากเพิ่งสอบสวนผู้ต้องหามาตลอดหนึ่งชั่วโมง “ว่ามามีเรื่องอะไร เรื่องพี่ชายของภามหรือเปล่า ตอนนี้ฉันยังหาหลักฐานเพิ่มไม่ได้เลย ขอโทษด้วย”
“ไม่ใช่ความผิดของนายสักหน่อยมาขอโทษทำไม” ตอนที่เกิดเรื่อง ชลัชเป็นตำรวจที่มั่นใจเหมือนกับถามว่าพี่ภูมิไม่ได้ขับรถประมาทจนเกิดอุบัติเหตุ แต่หลักฐานทั้งหมดทำให้ต้องสรุปไปแบบนั้น “คืออย่างนี้ถ้าฉันหาหลักฐานเพิ่มที่พอจะมีน้ำหนักมากพอ การขอให้สืบคดีพี่ภูมิใหม่มันจะพอเป็นไปได้ไหมวะ”
“มันต้องขึ้นอยู่กับว่าหลักฐานนั้นสมเหตุสมผลมีน้ำหนักมากพอให้ศาลคล้อยตามว่าการตายไม่ใช่อุบัติเหตุ ว่าแต่นายหาหลักฐานได้แล้วหรือวะ” ชลัชไม่อยากจะบอกเพื่อนสักเท่าไหร่ว่าเขาสงสัยญาติของภามนั่นแหละ แต่ไม่พูดออกไปเพราะจะกลายเป็นทำให้ภามหมางใจกับญาติเปล่าๆ ความสงสัยต้องมีหลักฐานด้วย
“ยัง แต่กำลังพยายามอยู่ ขอบใจนะ”
ชลัชก็ไม่สบายใจ ถ้ามันคือการวางแผนฆ่าจริงๆ ตำรวจก็เหมือนกำลังปล่อยคนร้ายตัวจริงหลุดมือไป
“เออ ไม่เป็นไร ช่วยกันหาหลักฐานเพราะฉันก็คิดว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุเหมือนกัน แล้วยิ่งพี่ภูมิอยากฆ่าตัวตาย ฉันไม่เชื่อเด็ดขาด”
“เอาไว้ถ้าหาหลักฐานได้ ฉันจะบอกนาย แค่นี้ก่อนนะ”
ภามกดวางสายพลางเหยียดขาแล้วถอนใจ ตอนนั้นมีข้อสันนิษฐานอีกอย่างว่า หากพี่ภูมิไม่ได้ตายเพราะอุบัติเหตุ ก็อาจเพราะฆ่าตัวตาย การทำงานที่ตนเองไม่ได้ชอบนักคงทำให้พี่ภูมิฝืนใจมาก พี่ชายของเขาอยากเป็นนักบิน ไม่ได้อยากทำงานบริหาร แต่เพราะความเชื่อว่าลูกชายคนโตต้องสานต่อธุรกิจครอบครัว ทำให้พี่ภูมิต้องทำหลายๆ อย่างที่ไม่ได้ชอบ แต่ถึงอย่างนั้นภามก็มั่นใจว่าพี่ชายน่าจะหาทางออกอื่น ไม่มีทางฆ่าตัวตายแน่นอน คราวหน้าหากได้ติดต่อกันอีก เขาจะถามพี่ชายให้สิ้นสงสัย
วันเสาร์เมษากลับไปนอนที่บ้านเพราะว่าจะได้ทำอาหารให้มีนาได้ทานด้วยกัน ก่อนจะฝึกทำเค้กมันม่วงให้มีนาได้ลองชิม มีนาไปอยู่คอนโดในวันทำงาน ส่วนเธออยู่ที่ร้าน ทำให้สองพี่น้องได้พบกันในวันเสาร์อาทิตย์ แต่ก็โทรหากันตลอด
มีนาเห็นเค้กมันม่วงแล้วก็อดไม่ได้ต้องถ่ายรูปไปให้เขมินท์กับภาคินได้ดู เป็นความภาคภูมิใจของคนเป็นน้องเชียวล่ะมีพี่สาวทำอาหารก็เก่ง ทำขนมก็อร่อย พอได้ชิมคำแรก มีนาทำหน้าฟิน ใครจะไปเชื่อว่าเมนูนี้เมษาเพิ่งทำเป็นครั้งแรก
“อร่อยสุดๆ เลยพี่เม ทำขายได้เลย ผ่านสุดๆ มีนยอมน้ำหนักขึ้นเพื่อขนมอร่อยๆ ของพี่เมเลยนะ”
เมษายิ้มดีใจเหมือนทุกครั้ง มีนาเป็นนักชิมที่ดีและกล้าวิจารณ์ หากรอบนั้นขนมที่เธอทำใช้คำว่าอร่อยไม่ได้ พอเห็นน้องสาวกำลังจะมีคู่ครองเมษาจึงถามว่า
“ฝึกทำอาหาร ทำขนมไว้ไหม พี่สอนเอง พี่เขมจะได้หลงรักเสน่ห์ปลายจวัก”
มีนาหัวเราะแก้เขินเพราะเรื่องทำครัวนั้น เธอพอทำได้ แต่ถึงขนาดอร่อยถูกปากทุกคนไหมก็คงต้องใช้เวลาฝึกกันอีกนาน
“พี่เขมมีเสน่ห์ปลายจวักคนเดียวก็พอ มีนน่าจะถนัดกินมากกว่า โชคดีชะมัด พี่เมทำอะไรก็อร่อย พี่เขมก็เรียนรู้เร็ว แค่ดูคลิปทำอาหารไม่กี่รอบ ก็มาทำเมนูนั้นให้มีนกินได้แล้ว”
เมษายิ้มเออออตามใจน้อง บางอย่างถ้าใจไม่ชอบก็จะกลายเป็นความเบื่อหน่าย แต่ละคนจึงมีความชอบต่างกันไป มีนามีสิ่งที่ชอบอย่างวาดรูปแล้ว
“กล่องนี้ เดี๋ยวมีนเอาไปให้ปู่เจตน์ทีนะ พี่จะไปที่ร้านแล้วล่ะ”
มีนามองนาฬิกาตอนนี้เกือบ 2 โมงแล้ว เมื่อเช้าเมษาไปเปิดร้าน พอใกล้เที่ยงจึงกลับมาที่บ้านเพื่อทำอาหารให้เธอทานเพราะแค่บอกว่าไม่ค่อยสบาย แล้วยังทำขนมไว้ด้วย ช่างเป็นพี่สาวที่ประเสริฐ
เมษาขี่จักรยานไปตามทางเรื่อยๆ ใช้เวลาไม่ถึง 15นาทีก็มาถึงร้านเมนา มีลูกค้าอยู่สองโต๊ะ หมิวกำลังเสิร์ฟข้าวต้มคลุก ป้าพิสมัยกับป้าอรอยู่หลังร้านเตรียมแป้งสำหรับทำสาคูไส้หมูเพื่อทำให้ทันเมนูในตอนเย็น ส่วนพี่วิภาช่วยเธอจดสต๊อกของเพื่อจะได้รู้ว่าต้องซื้ออะไรเพิ่ม เมษาคิดว่าจำนวนคนกับงานค่อนข้างลงตัวแล้ว วันที่หนักหน่อยคือจันทร์ พุธและศุกร์ที่ต้องทำขนมไปส่งไปโรงแรมพริ๊นท์ตัน วันอังคารกับวันพฤหัสจะทำขนมเพื่อส่งโรงเรียนใกล้ๆ กับโรงพยาบาล ส่วนขนมในร้านทำไปขายไปก็ยังทัน
แต่แล้วในบ่ายของวันเสาร์ที่เมษากำลังทำงานอย่างสบายใจ ปุริมก็โทรมาบอกว่าโมกข์มารับเธอแล้ว มีเรื่องสำคัญต้องการคุย เมษาถามว่าเรื่องอะไรเขาไม่ตอบ บอกว่าต้องคุยกันต่อหน้าเท่านั้น สิ่งแรกที่เมษากังวลนั่นคือขนมมีปัญหาบางอย่าง หญิงสาวรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า พอออกมาหน้าร้าน คนที่แนะนำตัวว่าชื่อโมกข์ก็มาจอดรถรออยู่ก่อนแล้ว
เมื่อเดินทางไปถึงโรงแรม โมกข์ก็นำทางเมษาไปยังห้องรับรองที่ปุริมมารอด้วยสีหน้าเรียบเฉย เมษานั่งลงคิดว่าถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นก็แค่แก้ไข ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายหรอกน่า
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ ขนมที่ทางร้านส่งมาที่โรงแรมมีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ” เมษาถามทันที
ปุริมยิ้มบางไม่คิดว่าจะกลายเป็นเรื่องนี้ที่ทำให้เมษากังวล
“ไม่มีปัญหาครับ แขกของโรงแรมชมกันมากว่าขนมอร่อย หอม หวานกำลังดี เพียงแต่ว่า...”
“ผมอยากพบคุณ” ภามเดินเข้ามาในห้องอีกคน
เมษามองภามสลับกับปุริมอย่างไม่เข้าใจนัก แต่รู้ได้เองว่าสองคนนี้รู้จักกันอย่างแน่นอน เป็นภามใช่ไหมที่ทำให้เธอต้องมาที่นี่ ในบ่ายวันนี้
วันนี้มีความสุขจัง วอลเลย์ไทยชนะญี่ปุ่น ไม่เกี่ยวกับนิยาย แต่อยากแบ่งปันค่ะ ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านนะคะ
บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 254
แสดงความคิดเห็น