บทที่ 4...2/3
“คุณภามเป็นเจ้านายของผมครับ โลกกลมจริงๆ” ปุริมช่วยอธิบาย เขาเองก็ทำเพราะเจ้านายสั่งมาเหมือนกัน
ภามลงนั่งที่เก้าอี้แทนที่ปุริมซึ่งออกไปจากห้องให้เจ้านายเป็นคนคุยต่อ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าภามมีธุระเรื่องใดกับเมษาก็ตาม
เมษาถอนใจยาวพลางกอดอกมองภาม เธอเพิ่งรู้ว่าเขานี่แหละเจ้าของโรงแรมพริ๊นท์ตันตัวจริง ใครล่ะสั่งเลขาของท่านประธานกรรมการบริษัทได้ ถ้าอย่างนั้นขนมจากร้านของเธอได้รับการติดต่อจากโรงแรมนี้คงเพราะแม่ของภามไปชิมแล้วชอบสินะ อะไรมันจะบังเอิญอย่างโชคดีขนาดนี้
“คุณจะให้คำตอบผมได้หรือยัง”
ผ่านมาแล้ว 3 วัน ภามจึงคิดว่าเพียงพอที่เมษาจะตัดสินใจ เขามีข้อเสนอที่ร่างสัญญาด้วยตัวเองไว้แล้วเช่นกัน
“ถ้าคุณยังไม่ได้ตัดสินใจผมก็มีข้อเสนอ เรามาทำสัญญากัน ผมขอเวลาแค่ 3 เดือนเพื่อติดต่อพี่ชาย โดยจะจ้างคุณเพื่อจับมือเท่านั้น”
เมษาร้องเฮอะอยู่ในใจ ภามคงเป็นคนประเภทยอมรับการปฏิเสธไม่ได้ เขาถึงต้องมาล่อหลอกเธอด้วยเงิน ทำไมลูกชายกับคนเป็นแม่ช่างต่างกันแบบนี้
“แม่ของคุณรู้ไหมคะว่าคุณมาเสนออะไรแบบนี้กับฉัน”
“ไม่รู้ ผมไม่ต้องการให้รู้” ดวงตาของภามวาววับ น้ำเสียงที่เอ่ยต่อเรียบกริบ “สิ่งหนึ่งที่คุณควรรู้ไว้คือผมรักแม่มาก ถ้ามีใครหรืออะไรมาทำให้แม่ไม่สบายใจ จนกระทั่งอาการโรคหัวใจกำเริบ ผมจะไม่ปล่อยให้ใครคนนั้นได้มีชีวิตที่สงบสุขแน่นอน”
ในข้อเสียมากมายของภาม ข้อดีที่สุดของเขาคือรักแม่ เมษาจึงตัดสินใจได้ไม่ยาก เพียงแต่หญิงสาวแกล้งทำหน้าคิดให้นานขึ้นอีกหน่อยเพราะความหมั่นไส้สีหน้าพร้อมบวกของเขา
“ฉันจะช่วยคุณโดยไม่คิดค่าจ้างใดๆ แต่คุณต้องไม่ทำตัวเจ้าบงการ บอกฉันล่วงหน้าก่อนว่าคุณอยากติดต่อพี่ชาย ฉันมีร้านขนมที่ต้องดูแล คงมาหาคุณในทันทีไม่ได้”
“ผมไม่เคยให้ใครทำอะไรให้ฟรีๆ” ภามแย้ง แม้ว่าจะพอใจอย่างมากที่เมษายอมช่วยเขาแล้ว
เมษาจงใจขมวดคิ้วใส่ภามบ้างให้เจ้าตัวรู้ว่าชอบทำใส่คนอื่น ต้องลองโดนกลับเสียบ้าง “ก็ไม่ได้ทำให้ฟรีนี่คะ ฉันมีสิ่งที่ต้องการ คุณก็ได้ยินแล้วนี่นา นั่นน่ะค่าจ้างของฉันค่ะ”
ภามรู้สึกเหมือนถูกด่าแม้ว่าเมษาจะพูดสุภาพทุกคำ เธอช่างยอกย้อน แต่ไม่น่ารำคาญ เหมือนเขาได้พบคนที่ทันกันไม่ยอมลงให้เขาง่ายๆ
“ทำไมคุณถึงยอมช่วยผม ช่วยตอบได้ไหม”
เมษาพยักหน้าเพราะเห็นแก่ประโยคขอร้อง แต่น้ำเสียงแข็งเกือบกระด้างของเขา
“ฉันเคยพบแม่ของคุณที่ร้านขนมหลายครั้ง คุณป้าเป็นคนใจดีมาก ให้เกียรติคนอื่นและมีนิสัยที่น่ารักหลายอย่าง ถ้าสิ่งที่คุณสงสัยเกี่ยวกับการตายของพี่ชายเป็นเรื่องจริง ฉันก็อยากจะช่วยให้คุณป้าได้ตัวคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมาย”
ภามพอจะเข้าใจแล้วว่าขนมที่แม่ชวนเขาทานอยู่หลายครั้ง คงมาจากร้านขนมเมนาของเมษานั่นเอง แม่ของเขาเป็นนักชิมชอบสรรหาของอร่อยๆ ฝีมือของเมษาคงไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่อย่างนั้นแม่ของเขาคงไม่ออกปากชม
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ผมขอจับมือคุณเพื่อติดต่อกับพี่ชายได้ไหมครับ” ภามขอร้องเพราะรู้แล้วว่าการสั่งไม่ช่วยให้ได้ดั่งใจสำหรับผู้หญิงที่ชื่อว่าเมษา
“ได้ค่ะ”
เมษาใส่แมสกับหมวกแก๊ปที่มักพกไว้ในกระเป๋าอยู่แล้ว อย่างแรกกันฝุ่นกันเชื้อโรค อย่างหลังกันร้อน แต่พอมารวมกันมันจะช่วยป้องกันไม่ให้มีใครจำเธอได้ การเดินจับมือกับภามไม่ใช่เรื่องชวนฝัน การถูกพนักงานเมาท์น่าจะเกิดขึ้นแน่นอน
ภามมองเมษาแล้วอยากจะถอนใจยาว ที่ผ่านมามีแต่ผู้หญิงที่อยากได้เขาเป็นคู่ควง แต่เมษากลับอำพรางใบหน้าเสียขนาดนั้น เขาน่ารังเกียจมากหรือไง
“คุณกลัวใครรู้ว่าถูกผมจับมือขนาดนี้เลยหรือ”
เมษาพอจะเข้าใจได้อยู่ว่าทำไมภามถึงถาม เขาคงไม่รู้ตัวจริงๆ “ตอนแรกไม่กลัว แต่พอรู้ว่าคุณเป็นใคร ฉันเลยคิดว่าทำแบบนี้น่าจะดีกว่า ฉันไม่อยากมีปัญหาในอนาคต”
ภามร้องอ้ออยู่ในลำคอ “ขอเลยนะ ถ้าคุณได้อ่านข่าวของผม ทุกอย่างที่อ่านมีความจริงน้อยมาก แล้วยิ่งข่าวที่ว่าผมมีคู่ควงมากหน้าหลายตา นั่นคือคู่นัดบอดของผม”
“ถ้าอย่างนั้นฉันควรโพกผ้าคลุมด้วยดีไหมคะ” เมษาแกล้งถาม พอเห็นภามหรี่ตาใส่ก็หัวเราะชอบใจ ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ฉันให้เวลาคุณไม่เกิน 2 ชั่วโมง ฉันต้องกลับไปที่ร้านก่อน 5 โมงเย็นค่ะ”
ภามตกลงทันทีเท่าที่เมษายอมช่วยเขา ไม่ว่าอะไรที่เธอร้องขอ เขาเต็มใจตอบแทนคืนให้ทุกอย่าง มือหนายื่นไปสัมผัสมือบางแล้วมองไปรอบๆ ตัว ทั้งเธอและเขาไม่เห็นพี่ภูมิทั้งคู่ การจับมือแล้วเดินตามหาวิญญาณของพี่ภูมิคงเพิ่มโอกาสพบกันมากกว่านั่งรออยู่ที่ห้องนี้ แล้วปล่อยให้วลาเดินไปเรื่อยๆ
ผ่านไปเกือบชั่วโมง ภามยังจับมือเมษาแล้วพากันเดินไปรอบๆ โรงแรม แต่กลับไม่มีวี่แววของภูมิ แต่ภามยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เมษาก็เช่นกัน หญิงสาวขอนั่งพักเหนื่อย ก่อนจะไปเข้าห้องน้ำซึ่งค่อนข้างเงียบ แต่พอหญิงสาวปิดประตูห้องน้ำห้องสุดท้าย สองพนักงานสาวก็เข้ามาในห้องน้ำ หลังจากนั้นการเมาท์ก็เกิดขึ้น โดยที่เมษาไม่ต้องเอาหูแนบประตูห้องน้ำก็ได้ยินเต็มสองหู
“เห็นรูปหรือยัง วันนี้ไลน์เด้งจนเปิดดูแทบไม่ทันเชียวนะแก” พนักงานคนแรกเปิดประเด็นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“มีอะไรหรือไง ไหนเอามาดูหน่อยสิ”
พนักงานอีกคนรีบหยิบโทรศัพท์เพื่อดูประเด็นร้อนในห้องแชทว่าด้วยเรื่องเจ้านายที่ควงสาวปริศนา
“คุณภามกับผู้หญิงที่ไหนเนี่ย ใส่แมสใส่หมวกแบบนี้ ฉันดูไม่ออกว่าใครล่ะแก ลูกสาวเพื่อนของคุณนลินอีกละมั้ง”
เมษาเปลี่ยนใจยังไม่ออกไปจากห้องน้ำ เธออยากรู้จะถูกเมาท์ว่าอย่างไร ที่แท้การนัดบอดของภามคงเป็นที่รู้กันทั่วในหมู่พนักงานของโรงแรม เขานัดบอดไปกี่คนแล้วเนี่ย
“นั่นสิ เห็นจัดนัดบอดแทบจะทุกเดือน ฉันก็นึกว่าคุณภามเป็นแฟนกับคุณปุริมเสียอีก”
“ใครๆ ก็คิด เห็นไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ยังไงล่ะนี่” สองพนักงานพากับหัวเราะคิกคัก
“คนรวยแต่งงานบังหน้าก็เยอะแยะนะแก” พนักงานคนแรกเปิดก๊อกน้ำ อีกคนกำลังปัดแก้ม “ไปๆ หายมานานเดี๋ยวโดนคุณเจนดุ”
เมษาฟังแล้วอึ้งไปไม่คิดว่าภามจะถูกพนักงานเมาท์ลับหลังแบบนี้ แต่ภามกับปุริมเนี่ยนะ ไม่ใช่ละมั้ง มีเสียงเปิดประตูห้องน้ำด้านนอก หญิงสาวรอจนแน่ใจจึงเปิดประตูห้องน้ำแล้วออกไป เธอล้างมือแล้วเริ่มรู้สึกสงสารภามหน่อยๆ ครั้นจะไปหาความกับสองพนักงานนั่น เธอก็ดันเป็นคนนอก ภามจะไม่รู้ตัวเชียวหรือว่าถูกเมาท์อะไรลับหลังบ้าง
ภามจับมือพาเมษาเดินไปในแต่ละชั้นของโรงแรม ทำไมวันนี้เขาไม่เห็นพี่ชายอย่างคราวก่อน หากวิญญาณก็คือคลื่นพลังงานรูปแบบหนึ่ง การที่เขากับเมษาเห็นวิญญาณได้เพราะอยู่ในช่วงเวลาหรือสถานที่แห่งนั้นเหมาะสมหรือเปล่า ชายหนุ่มไม่แน่ใจ เมษาเองก็พยายามมองมาหาพี่ชายของภาม แม้ว่าจะมีสายตาของพนักงานหลายคนมองมาที่เธอ หากเราสองคนเดินกันธรรมดาๆ คงไม่น่าสนใจหรอก แต่เพราะภามต้องจับมือเธอไว้เพื่อให้สามารถเห็นพี่ชายของเขาได้ ในสายตาของคนอื่น การจับมือคงไม่มีใครคิดหรอกว่าเราสองคนกำลังตามหาวิญญาณของคนที่ตายมาแล้ว 2 ปี
สระว่ายน้ำคือสถานที่ต่อไปหลังจากภามเดินมาเกือบทุกชั้น เมษามองหาแต่ก็ไม่พบเช่นกัน เธอมองภาม เขาคงตั้งความหวังเอาไว้มาก การที่เราสองคนจับมือเดินไปแทบจะทั่วโรงแรม คนที่จะถูกเมาท์คือเขานั่นแหละ ส่วนเธอคงไม่อะไรหรอกเพราะไม่มีใครรู้ว่าภามเดินจับมือกับใคร
“ทำไมวันนี้พอจับมือแล้วไม่พบพี่ชายของคุณทันทีอย่างคราวก่อน”
ภามมองหาอีกรอบพลางส่ายหน้า “ผมไม่รู้เหมือนกัน ลองเดินไปที่ห้องทำงานของผมกับห้องประชุมก่อน ถ้าไม่เจอพี่ภูมิ ผมจะให้โมกข์ไปส่งคุณที่ร้านขนมนะ”
เมษาเดินเคียงภามไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้ามาในลิฟต์ หญิงสาวยืนพิงกับลิฟต์เพราะชักจะเมื่อย ภามเห็นเหงื่อที่ไรผมของหญิงสาวจึงยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ เมษามองผู้ชายหน้าโหดที่พกผ้าเช็ดหน้า พอเธอมองเฉยเขาจึงเลื่อนมาซับเหงื่อตรงไรผมให้เธอเสียเอง เมษาชะงักกึกมองใบหน้าแสนเรียบเฉยของภาม ที่พอเช็ดเหงื่อให้เธอเสร็จ เขาก็เลื่อนมือห่างออกไป ถ้าดูแลดีอย่างนี้ไม่น่าจะต้องพึ่งการนัดบอดเลย แน่ล่ะเธอคิดอยู่ในจนกระทั่งลิฟต์เปิดออกในชั้นที่ 28 ภามเดินเรื่อยๆ ไปยังประตูห้องที่เขียนว่ากรรมการผู้จัดการ ปุริมจะลุกขึ้นมา แต่ภามยกมือห้ามก่อนจะเข้ามาโดยมีเมษาอีกแค่คนเดียว
“พี่ภูมิ...”
เมษาเห็นคุณภูมิแล้วแบบไม่ทันตั้งตัว ราวกับว่าวิญญาณชายผู้นั้นมารอเธอกับภาม แต่ในความเป็นจริง ร่างของเขาเพิ่งเห็นชัดขึ้นในตอนที่เราสองคนเข้ามาในห้อง
ภามกระชับมือของเมษาพลางบีบเบาๆ พลางบอกว่า “คุณค่อยๆ หายใจอย่าตกใจจนเป็นลมนะ ผมขอร้อง”
“ฉันพยายามอยู่ค่ะ รับรองว่าไม่เป็นลมอย่างคราวก่อน”
เมษาสูดหายใจเข้าและออกยาวๆ การเห็นวิญญาณไม่ใช่เรื่องน่ากลัว คุณภูมิมาในสภาพเหมือนคนปกติ หากภามไม่บอก เธอคงไม่รู้ว่าเขาตายไปแล้ว พอคิดอย่างนี้ก็ทำให้เมษาค่อยๆ คลายความกลัวไปได้มาก...มั้ง
ภามพาเมษามานั่งที่โซฟา ภูมิยังยืนอยู่เพียงแต่เดินเข้ามาใกล้ราวกับรู้ว่าการพบกันในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อสืบเรื่องการตายของเขา
“คืนนั้นเป็นอุบัติเหตุหรือว่าอะไรกันแน่ครับ” ภามรีบถามพี่ชายเพราะไม่รู้ว่าการติดต่อครั้งนี้จะจบลงภายในกี่นาที
ภูมิยิ้มหยันก่อนตอบน้องชาย “มันไม่ใช่อุบัติเหตุ พี่ไม่ได้พยายามฆ่าตัวตาย พี่ไม่มีวันทำ แต่มีคนทำให้พี่ต้องตายในคืนนั้น คำตอบของพี่คงทำให้ภามรู้แล้วว่าพี่ไม่ได้อยากทิ้งภามกับแม่ไปเลย”
ภามกำมือแน่นเพราะเขาเชื่อมาตลอดว่ารู้จักพี่ชายตัวเองดี พี่ภูมิไม่ใช่คนที่จะไปดื่มจนเมาแล้วขับรถแบบนั้น เมษาได้ฟังแล้วก็สงสารคุณภูมิ การตายโดยที่ไม่ได้อยากจะตายช่างน่าเสียดายโอกาสในการได้ใช้ชีวิต
“ใครที่ทำแบบนั้นกับพี่ภูมิ”
นานเท่าไหร่ภูมิก็ไม่แน่ใจว่ากว่าเขาจะรู้ตัวว่าตายไปแล้ว เขาเหมือนกับกำลังหลับแล้วตื่นขึ้นมาในสภาพล่องลอย ไม่มีใครเห็นร่างของเขา ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ใกล้ๆ บางครั้งร่างของเขาก็จางหายไป แล้วกลับมารับรู้ได้อีกครั้ง เป็นอย่างนี้มาตลอด เขาอยากสืบหาการตายของตัวเอง แต่การไปสถานที่ที่เจ้าของไม่อนุญาต ย่อมทำไม่ได้ เขาจึงวนเวียนอยู่ที่โรงแรม บ้านและถนนทั่วไป
“พี่ก็ไม่รู้ แต่พี่แน่ใจว่าถูกวางยาในคืนนั้น พี่ดื่มไวน์ไปสองแก้ว ไม่มีทางที่จะเมาได้ แต่พี่รู้สึกว่าตัวเองประคองสติไม่ได้ จนกระทั่งรถตกหน้าผา รถก็สภาพแปลกๆ”
ภามเชื่อว่าพี่ชายไม่ได้เมาตอนเกิดเหตุ ผลการตรวจร่างของพี่ภูมิพบว่าตอนนั้นมีแอลกอฮอล์ในร่างเพียง 45 มิลลิกรัม ซึ่งหมายความว่าพี่ภูมิไม่ได้เมา จึงเกิดเป็นคำถามว่าหากไม่เมาทำไมถึงประคองรถไม่ได้
“แต่ผลการตรวจสอบรถพบว่า รถปกติดีครับ”
“พี่ไม่ได้บอกว่ารถมีปัญหา แต่พี่ไม่แน่ใจว่าจู่ๆ รถก็เหมือนถูกเหวี่ยงจนหมุน เหมือนยางรถยนต์ถูกทำให้แตกหรือไม่พี่ก็ถูกชนท้าย” ภูมิจำได้เพียงเท่านี้ “ร่างของพี่จะเป็นคำตอบ”
รถของพี่ภูมิมีสภาพพังยับทั่วทั้งคันเพราะตกหน้าผา ทำให้บอกได้ยากว่ารอยตรงไหนถูกชน ยางแตกก่อนหรือว่าหลังตกหน้าผา ภามคิดว่ามันไม่ง่ายเสียแล้ว เมมโมรีการ์ดที่กล้องหน้ารถก็หายไป ซึ่งน่าสงสัยว่ามันหายไปได้อย่างไร จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครหาเมมโมรี่การ์ดอันนั้นพบ จนเกิดคำถามว่าบางทีมันอาจจะไม่มีตั้งแต่แรกหรือเปล่า
“ตอนนี้ร่างของพี่ภูมิไม่อยู่แล้วครับ” หลังจากเก็บศพไว้ครบร้อยวัน แม่จึงตัดสินใจว่าควรเผาแล้วทำบุญตามศาสนา
“เมมโมรี่การ์ดที่กล้องหน้ารถของพี่ล่ะ”
ภามส่ายหน้า “ตำรวจไม่พบเมมโมรีการ์ดที่กล้องหน้ารถครับ พี่ภูมิแน่ใจไหมว่าที่กล้องใส่เมมโมรี่การ์ดไว้ในตอนนั้น”
ภูมิพยายามนึก รถคันนั้นไม่ค่อยได้ใช้นักเพราะภูมิมักจะจอดทิ้งไว้ที่คอนโด บางครั้งไปรยาก็เอาไปขับบ้าง
“พี่ไม่แน่ใจ”
เข้าโหมดหาความจริงแล้วนะคะ เมษายอมใจอ่อนช่วยแล้ว ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านนะคะ
บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 243
แสดงความคิดเห็น