ตอนที่ 383 ฝีมือของขนอุย?

-A A +A

ตอนที่ 383 ฝีมือของขนอุย?

หมวดหนังสือ: 

ตอนที่ 383 ฝีมือของขนอุย?

ณ ภูมิภาคดาวไซเรน

ภูมิภาคดาวแห่งนี้มีความเงียบสงบเหมือนกับชื่อของมัน และเนื่องจากว่ามันเป็นภูมิภาคดาวที่อยู่ใกล้กับนครหลวงมาก มันจึงทำให้ภูมิภาคดาวนี้กลายเป็นภูมิภาคดาวที่มั่งคั่งที่สุดรองจากนครหลวง

แต่น่าเสียดายที่เรื่องนั้นมันกลายเป็นอดีตไปแล้ว เพราะนับตั้งแต่ที่สงครามได้เริ่มต้นขึ้นภูมิภาคดาวไซเรนก็ไม่ใช่ภูมิภาคดาวที่เงียบสงบอีกต่อไป

อันที่จริงการทำลายล้างที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ก็ไม่สามารถที่จะเรียกว่าการสู้รบได้ด้วยซ้ำ เพราะกองยานของมนุษย์เพียงแค่ 70 กองไม่ได้ถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อกองยานขนาดใหญ่ของพวกเซิร์กเลย ภาพที่เกิดขึ้นจึงเป็นฝ่ายของมนุษย์ที่ทำได้เพียงแต่ต้องคอยตั้งรับตั้งแต่การต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้นจนถึงปัจจุบัน

เมื่อเวลาผ่านไปยานรบมนุษย์เป็นจำนวนมากก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ แต่สีหน้าของจอมพลทาดินี่ก็ไม่ได้มีความสุขอย่างที่ควรจะเป็น

ท้ายที่สุดกองยานที่อ่อนแอนี้ก็สามารถถ่วงเวลาพวกเขาได้เป็นเวลาถึง 72 ชั่วโมง และมันก็ทำให้พวกเขาไม่สามารถเดินทางไปยังกลุ่มดาวนครหลวงได้ตามแผนการที่วางเอาไว้

แน่นอนว่าทาดินี่ได้สั่งการโจมตีเพื่อพยายามทำลายล้างยานรบของฝ่ายตรงข้าม แต่ยานของมนุษย์กลับกระจัดกระจายกันหนีไป และจะเริ่มกลับมารวมกลุ่มการจู่โจมอีกครั้งเมื่อพวกเขาพยายามเคลื่อนกำลังเข้าไปยังนครหลวง

“พวกมันไม่ละอายใจกันหรือยังไงที่รบด้วยวิธีกองโจรแบบนี้ นี่มันเป็นความอัปยศของทหารชัด ๆ” พลเอกจอห์นสันผู้ซึ่งเป็นรองผู้บัญชาการตะโกนออกมาเสียงดัง เพราะการพยายามกำจัดกองยานมนุษย์ที่จู่โจมด้วยวิธีแบบกองโจรทำให้พวกเขาหงุดหงิดและเสียเวลาอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้อยู่ไม่น้อย

“คุกเข่าลง” ทาดินี่พูดอย่างจริงจังและเนื่องมาจากว่าเขาเป็นตัวไรฝุ่นตัวเล็ก เขาจึงจำเป็นจะต้องเงยหน้าเพื่อพูดคุยกับคนอื่นอยู่ตลอด

พลเอกจอห์นสันพยักหน้าพร้อมกับคุกเข่าลง แต่เนื่องมาจากว่าเผ่าพันธุ์ของเขาเป็นตั๊กแตน ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะคุกเข่าแต่ตัวเขาก็ยังสูงกว่าทาดินี่อยู่อีกมาก

“ไอ้สารเลว!” ทาดินี่ส่งเสียงร้องคำรามพร้อมกับกระโดดขึ้นไปตบหัวของจอห์นสัน

“ลุกขึ้นได้” ทาดินี่สั่งการอีกครั้ง

จอห์นสันลุกขึ้นด้วยความงุนงงโดยที่บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย

“เปิดกล่องข้อความขึ้นมาแล้วอ่านรายงานล่าสุดซะ” ทาดินี่กล่าวพร้อมกับส่งรายงานไปให้กับจอห์นสัน

“ตอนนี้มนุษย์ได้อพยพออกไปจากนครหลวงและเผาเมืองของพวกมันจนมอดไหม้ไปหมดแล้ว ทำให้แผนการที่เราจะครอบครองสถานที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของมนุษย์ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง นั่นก็เพราะว่าไอ้กองยานกระจอกพวกนี้ถ่วงเวลาพวกเราเอาไว้” ทาดินี่ส่งเสียงร้องคำรามอย่างเย็นชา

จอห์นสันแทบไม่อยากจะเชื่อสายตากับรายงานที่เขาได้รับ และมันก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยไปกว่าทาดินี่เลย

“พวกมันกล้าเผานครหลวงที่ใช้เวลาสร้างมานับหมื่นปีเนี่ยนะ?! พวกมนุษย์มีความกล้าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!”

“พี่อูดี้บอกฉันมาตั้งนานแล้วว่าผู้บัญชาการทหารสูงสุดของมนุษย์ที่ชื่อว่าไทสันเป็นคนที่ประมาทไม่ได้ ดูเหมือนว่าพวกเราจะประเมินเขาต่ำเกินไปสินะ” ทาดินี่กล่าวพร้อมกับถอนหายใจ

“พวกเราควรจะทำยังไงต่อดีครับ? ถ้าท่านอูดี้รู้เรื่องนี้พวกเราคงจะถูกสั่งประหาร” จอห์นสันกล่าวอย่างหวาดกลัว

“ท่านพี่อูดี้คือผู้นำที่ฉลาดที่สุดในประวัติศาสตร์ของเซิร์ก และเราก็ไม่มีทางซ่อนความจริงเอาไว้จากเขาได้ พวกเราคงทำได้แต่ต้องรายงานความจริงกลับไปเท่านั้น”

ณ เต็นท์ทองคำ

หลังจากที่ได้อ่านโทรเลขจากทาดินี่ อูดี้ก็คว่ำโต๊ะพร้อมกับฉีกจดหมายภายในมือเป็นชิ้น ๆ ก่อนที่จะโยนทุกอย่างเข้าไปในกองไฟ

ในความเป็นจริงเผ่าพันธุ์เซิร์กมีผลิตภัณฑ์ที่ไฮเทคกว่านี้ แต่อูดี้ชอบที่จะอาศัยอยู่ในเต็นท์ตามประเพณีและชอบที่จะใช้ชีวิตเหมือนบรรพบุรุษตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์

อูดี้เป็นเซิร์กที่มีรูปร่างคล้ายทารกหัวโตและมีรูปร่างอันบอบบาง แตกต่างจากเซิร์กประเภทอื่น ๆ ที่มีร่างกายอันแข็งแกร่งซึ่งเป็นลักษณะดั้งเดิมของเผ่าพันธุ์ แต่ในตอนนี้ทารกหัวโตกลับได้กุมอำนาจสูงสุดของเผ่าพันธุ์ มันจึงทำให้พวกเซิร์กที่มีร่างกายอันแข็งแกร่งรู้สึกไม่ค่อยพอใจอยู่เล็กน้อย

“พระองค์ทรงโกรธใครหรือเพคะ?” น้ำเสียงอันไพเราะดังขึ้นมาจากในระยะไกล แต่น้ำเสียงนี้ก็ให้ความรู้สึกคล้ายกับนางจิ้งจอกที่ดูเจ้าเล่ห์

ราชินีบิทินี่กล่าวถามพร้อมกับเดินเข้ามาหาอูดี้อย่างช้า ๆ โดยราชินีเซิร์กคนนี้เป็นผีเสื้ออันงดงามและทุกการเคลื่อนไหวของเธอก็มีเสน่ห์ดึงดูดให้เพศตรงข้ามต้องรู้สึกหลงใหล

เมื่ออูดี้เงยหน้าขึ้นมามองราชินี มันก็ทำให้เขากลับมารู้สึกอารมณ์ดีได้อย่างฉับพลัน

“ไม่มีอะไรหรอก แค่รายงานการต่อสู้จากสนามรบทำให้ฉันรู้สึกอารมณ์เสียอยู่เล็กน้อย” อูดี้กล่าวอย่างสบาย ๆ

“ตอนนี้ค่ำแล้ว หม่อมฉันว่าพระองค์ทรงไปพักผ่อนกับหม่อมฉันดีกว่า” บิทินี่กล่าวพร้อมกับกอดอูดี้ไว้ในอ้อมแขนของเธอ

เสน่ห์ของบิทินี่ยากที่ชายหนุ่มทุกคนจะต้านทานได้ แม้แต่ราชาของเผ่าเซิร์กอย่างอูดี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น

“อยากได้เหรอ?” อูดี้กล่าวพร้อมกับบีบบั้นท้ายอันอวบอิ่มของบิทินี่

“เรื่องแบบนี้ต้องให้พูดด้วยหรือยังไง” บิทินี่กล่าวอย่างฉุนเฉียวเล็กน้อย

เมื่อถูกภรรยายั่วยวนอูดี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจะต้องเข้าไปทำการบ้านกับภรรยาภายในห้องนอน

แต่ก่อนจะจากไปเขาได้เรียกโฆษกเข้ามาภายในเต็นท์ ก่อนที่จะประกาศออกคำสั่งออกไปว่า

“ประกาศให้ประชาชนทุกคนได้รับรู้ว่ากองทัพเซิร์กของเราสามารถบุกเข้ายึดนครหลวงของมนุษย์ได้แล้ว ต้องขอบคุณความชาญฉลาดของจอมพลทาดินี่ทำให้ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถหลบหนีเงื้อมมือของพวกเราไปได้ เพื่อเฉลิมฉลองให้กับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ฉันขอประกาศเพิ่มเงินเดือนให้ทหารทุกคนในกองทัพอีก 3 เท่า”

ในฐานะผู้นำที่ฉลาดที่สุดในประวัติศาสตร์ของเซิร์ก อูดี้ก็รู้ดีว่าในบางครั้งเขาจำเป็นจะต้องพูดโกหกเพื่อสร้างความฮึกเหิมให้กับเหล่าทหาร

หลังจากออกคำสั่งอูดี้ก็เดินกลับเข้าไปในห้องนอน และเมื่อเขาได้นึกถึงภาพของภรรยาช่วงล่างของเขาก็ลุกชันขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

“เฮ้อราชาของเรานี่เก่งทุกอย่าง แต่น่าเสียดายที่เขาหลงราชินีมากเกินไป” โฆษกกล่าวพร้อมกับถอนหายใจหลังจากที่อูดี้เดินออกไปจากเต็นท์ทองคำ

อย่างไรก็ตามคำสั่งที่อูดี้ประกาศออกไปเพื่อกระตุ้นขวัญกำลังใจให้กับบรรดาเหล่าทหารก็อาจจะเป็นการกระตุ้นความโกรธแค้นด้วยเช่นกัน ถ้าหากข่าวนี้ได้ไปถึงหูของใครบางคน ยกตัวอย่างเช่น หูของเซี่ยเฟย…

“แกรู้ไหมว่าเผ่าเทพมียานรบขนาดใหญ่ที่เรียกว่าไททันหรือเปล่า?” เซี่ยเฟยถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

“ไททัน? ไททันคืออะไร?” สมองเซิร์กถามอย่างสับสน

คำตอบนี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแล้วมันก็ดูเหมือนกับว่าสมองเซิร์กไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับไททันมาก่อนจริง ๆ และมันก็ทำให้ทฤษฎีของเซี่ยเฟยดูไม่สมจริงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะเขายังไม่สามารถหาหลักฐานได้ว่าเจ้าของยานไททันคือเผ่าพันธุ์เทพเจ้าในตำนานหรือไม่

“เผ่าเทพมีหน้าตาเป็นยังไง?” เซี่ยเฟยถาม

“ไม่มีใครเคยเห็นพวกท่าน”

“แล้วแกติดต่อกับพวกเขาได้ยังไง?”

“นายท่านติดต่อกับพวกเราผ่านกระแสจิต และเนื่องจากนายท่านมีกระแสจิตที่รุนแรงมาก นายท่านจึงสามารถสื่อสารกับพวกเราได้ทั้งเผ่าพันธุ์แม้ว่าพวกท่านจะอยู่ห่างออกไปหลายหมื่นล้านปีแสงก็ตาม”

เซี่ยเฟยเริ่มหยุดคำถามเกี่ยวกับเผ่าเทพเนื่องมาจากคำตอบที่เขาได้รับมีประโยชน์น้อยลงเรื่อย ๆ

ท้ายที่สุดสมองเซิร์กก้อนนี้ก็ถูกตัดขาดออกจากร่างกายมาเป็นเวลาหลายหมื่นปีแล้ว และมันก็อาจจะเป็นเรื่องปกติที่ข้อมูลภายในสมองจะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา

“ช่วยบอกทางไปหาพวกเซิร์กให้กับฉันหน่อย” เซี่ยเฟยกลับเข้าคำถามหลักที่เขาตั้งใจจะถามตั้งแต่แรก

ทันใดนั้นมันก็มีภาพชุดหนึ่งปรากฏขึ้นในความคิดของชายหนุ่ม ซึ่งมันเป็นแผนที่ดวงดาวที่นำทางไปยังดินแดนของเซิร์ก

เซี่ยเฟยจุดบุหรี่และคิดหาวิธีที่จะล้วงข้อมูลจากสมองเซิร์กให้ได้มากกว่านี้ ซึ่งเขาก็คิดวิธีออกได้อยู่เพียงแค่ 2 วิธี โดยวิธีการแรกคือการพยายามเจาะเข้าไปในสมองของสมองเซิร์กเพื่อดึงข้อมูลทุกอย่างออกมาโดยตรง แต่วิธีการนี้ก็มีความเสี่ยงมากเกินไป ซึ่งถ้าหากสมองเซิร์กระเบิดขึ้นมามันก็เป็นความสูญเสียที่มากเกินกว่าผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับ

วิธีการที่ 2 คือการย้ายสมองก้อนนี้ไปที่เบโอเนทพร้อมกับค่อย ๆ ทรมานมันไปในระหว่างที่เขากำลังเดินทาง เพื่อบีบคั้นให้สมองเซิร์กยอมบอกข้อมูลทั้งหมดที่มันรู้ให้กับเขา

วิธีการแรกมีความเสี่ยงที่สูงมากแต่มันก็มีโอกาสได้รับคำตอบทั้งหมดโดยตรง ส่วนวิธีการที่ 2 เป็นวิธีการที่ช้ากว่าแต่มันก็เป็นวิธีที่ค่อนข้างจะรับประกันความเสี่ยง

หลังจากใช้เวลาพิจารณาอยู่สักพัก เซี่ยเฟยก็ตัดสินใจใช้วิธีที่ 2 ในการย้ายสมองเซิร์กกลับไปยังเบโอเนท เพื่อทรมานมันอย่างช้าๆ แล้วค่อย ๆ รีดเอาข้อมูลที่เขาอยากรู้ออกมาจากมันทีละนิด

แต่ทันใดนั้นเองขนอุยก็คลานออกมาจากกระเป๋าของชายหนุ่มอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะพยายามออดอ้อนเพื่อขอกินพลังงานจากหัวใจจักรวาลสีม่วง

ในช่วงที่ผ่านมาขนอุยดูดซับพลังงานเข้าไปเยอะมาก แต่มันก็ไม่มีท่าทีว่าจะเติบโตขึ้นมากกว่าเดิมเลยแม้แต่น้อย

วินาทีต่อมาขนอุยก็เริ่มเหล่สายตามองไปยังสมองเซิร์กขนาดใหญ่ที่อยู่ในของเหลวชีวภาพด้วยแววตาอันตื่นเต้น จากนั้นมันก็เริ่มมีหยดน้ำลายไหลออกมาจากปากน้อย ๆ ของมัน คล้ายกับว่ามันเพิ่งได้เห็นอาหารโปรดจานใหญ่

เซี่ยเฟยทำได้เพียงแต่คร่ำครวญอยู่ภายในใจ เพราะก่อนหน้านี้ขนอุยก็ดูดซับพลังงานจากหัวใจจักรวาลสีม่วง และในตอนนี้มันยังทำท่าอยากจะกินสมองเซิร์กตรงหน้าของมันอีก!!

“หยุดเลยไอ้ตัวตะกละ! ถ้านายกล้าแตะต้องมันฉันจะเอานายไปย่างทั้งเป็น!!” เซี่ยเฟยขู่สัตว์เลี้ยงของตัวเอง

แต่ในทันใดนั้นชายหนุ่มก็สังเกตเห็นสมองเซิร์กเริ่มมีปฏิกิริยาที่แปลกประหลาดไป หลังจากที่มันได้สังเกตเห็นการปรากฏตัวของขนอุย

“มันกำลังกลัวขนอุยอยู่งั้นเหรอ? หรือว่ามันจะรู้ว่าเจ้าหนูนี่เป็นตัวอะไร?” อันธตะโกนขึ้นมาเสียงดัง

ตัวตนของขนอุยยังคงเป็นปริศนามาโดยตลอด ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเซี่ยเฟยหรืออันธต่างก็ไม่รู้ว่าสัตว์อสูรตัวนี้เป็นสัตว์อสูรประเภทไหนกันแน่

เมื่อได้รับคำเตือนจากอันธ เซี่ยเฟยก็เริ่มส่งคำถามไปหาสมองเซิร์กที่อยู่ตรงหน้า

“แกรู้จักสัตว์อสูรที่อยู่ในอ้อมแขนของฉันงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยถาม

อย่างไรก็ตามคำถามของชายหนุ่มมันก็สายไปแล้ว เพราะขนอุยได้จ้องมองไปยังสมองเซิร์กอย่างดุดันและสายตาของมันก็มีความดุดันมากยิ่งกว่าเซี่ยเฟย

ตูม!

พริบตาต่อมาสมองเซิร์กก็ระเบิดตัวเองอย่างกะทันหัน พร้อมกับเกล็ดพลังงานเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนที่ฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งในอากาศ

เซี่ยเฟยมองไปที่ขนอุยด้วยความประหลาดใจ และมันก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่นี้คือฝีมือของเจ้าตัวเล็ก

“เซี่ยเฟยรีบดูดซับชิ้นส่วนจิตวิญญาณพวกนี้เข้าไปเร็ว ๆ เข้า! พวกมันสามารถปรับปรุงระดับพลังของนายได้” อันธตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นเต้นหลังจากที่มันได้สังเกตเห็นเกล็ดพลังงานที่ล่องลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ

***************

ฟันธงเลย!! ขนอุยคือไส้ศึกของศัตรูพี่เฟยที่ถูกส่งมาขัดขวางการใช้ชีวิต (กำมือแน่นแล้ววว)

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.