บทที่ 15...1/3
ภารดีไปส่งธามิณีที่หอพักเพราะไปทางเดียวกัน ส่วนกัลยากลับบ้าน รวิชญ์จึงอาสาไปส่งเพราะเขามีเรื่องจะคุยกับเพื่อน ซึ่งกัลยาก็คิดคล้ายๆ กับเขาถึงได้เลือกกลับบ้าน แทนการกลับหอพักไปพร้อมกับธามิณี
“วิชญ์ช่วยสืบทีได้ไหมว่าคุณศนิเป็นใคร กัลชักเป็นห่วงธามแล้วน่ะ”
เพื่อนมีความสุขในความรัก กัลยาย่อมดีใจด้วยอยู่แล้ว แต่แม้กระทั่งเพื่อนยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำงานอะไรทำให้เกิดความน่าสงสัย ลองสืบสักหน่อยคงจะทำให้สบายใจว่าเพื่อนคบคนไม่ผิด
“ถ้ากัลไม่บอก วิชญ์ก็จะทำอยู่เหมือนกัน คนที่ระบุไม่ได้ว่าทำงานอะไร ทำไมธามไม่สงสัยบ้าง”
รวิชญ์มั่นใจว่าที่เขาสงสัยแฟนของธามิณีไม่ใช่เพราะหึงหวง อิจฉาหรืออยากให้เพื่อนเลิกกับผู้ชายคนนั้นในเร็ววัน หากแต่เป็นเพราะห่วงเพื่อนจากใจจริงเท่านั้น
กัลยาค่อยโล่งอกที่ไม่ต้องเก็บความสงสัยนี้เอาไว้คนเดียว
“เป็นความลับของเราแค่สองคนนะ”
“อือ ถ้าธามรู้ตอนนี้คงโกรธ วิชญ์คงไม่กล้าบอกหรอก”
กัลยาพยักหน้าเห็นด้วย บางเรื่องสำหรับเพื่อนก็ควรให้ความเป็นส่วนตัวไม่มีสิทธิ์ไปห้าม พวกเธอทำได้แค่เป็นห่วงและเช็คอีกทางเท่านั้น ถ้าคุณศนิเป็นคนทำงานมีหลักมีฐานที่เชื่อถือได้ เธอกับรวิชญ์ก็คงไม่ทำอะไรนอกจากมองเพื่อนมีความสุขต่อไป แต่ถ้าไม่เป็นอย่างที่คิด การช่วยเพื่อนไม่ให้เสียใจเพราะถูกหลอกย่อมเป็นทางที่เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว
ร้านกาแฟที่โต๊ะตัวเดิมและมุมเดิม ศนิกำลังมองไปยังมหา’ลัยซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายช่วงตึก แต่สายตาของเทพกึ่งมนุษย์สามารถมองได้ไกลจนเห็นร่างเพรียวที่คุ้นตากำลังคุยกับเพื่อนที่ชื่อกัลยา ก่อนชายอีกคนที่ชื่อรวิชญ์จะมาสมทบแล้วเดินไปโรงอาหารด้วยกัน บางวันภารดีก็มารับธามิณีออกไปหาอะไรกินด้วยกัน บางครั้งความสูญเสียก็นำพาให้ใครอีกคนเข้ามาในชีวิต ภารดีสูญเสียแม่ไป แต่ก็ได้ธามิณีเข้าไปในชีวิตแล้วกลายเป็นส่วนเติมเต็มของกันได้
เพราะธามิณีสูญเสียพ่อกับแม่ จึงได้เขาเข้าไปในชีวิตของเธอใช่ไหมนะ ตอนนี้เราสองคนถึงได้มีความทรงจำทั้งดีและร้ายร่วมกันมากพอ ที่เขาจะต้องใช้เวลาอีกหลายร้อยปีเพื่อจะไม่เจ็บปวด หากคิดถึงเธอในวันที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว
“ท่านจะทำยังไงน่ะพระเสาร์ อีกไม่ถึงเดือน ธามิณีก็จะหมดอายุขัยแล้ว”
พระราหูมองสหายแล้วก็หนักใจแทนอยู่ไม่น้อย ที่ผ่านมาพระเสาร์มองความตายเป็นเรื่องปกติ จนกระทั่งการตายของธามิณีกำลังจะมาถึง สายตาของสหายที่มองมนุษย์ผู้นั้นมีความห่วงหาอาลัย
“ท่านคิดว่าเราจะทำอะไรได้งั้นหรือ” ศนิยิ้มหยันต่อสวรรค์ “อายุขัยของมนุษย์ถูกกำหนดมาแล้ว เราเป็นเทพที่ถูกลงโทษจะรนหาเรื่องใส่ตัวเพิ่มไปอีกทำไม”
“ท่านคิดแบบนี้จริงๆ หรือ” แม้เขาจะได้ยินกับหูตัวเอง แต่พระราหูรู้สึกแปลกใจ เทพที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใด ทำตามใจตัวเองจนถูกลงโทษ มีหรือจะเกรงกลัวการลงโทษเพราะไปยุ่งเกี่ยวกับอายุขัยของมนุษย์
ศนิเลิกคิ้วพลางจิบกาแฟ สายตาคู่นั้นกลับมาว่างเปล่าดังเดิม “แล้วท่านคิดว่าเราจะทำสิ่งใดล่ะ”
“ทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ธามิณีตาย”
ไม่ว่าใครคงคิดเช่นนี้ พระราหูเป็นสหายสนิทยังไม่ล่วงรู้ความในใจของเขา อดีตกาลเขาเอาแต่ใจตัวเองจนถูกลงโทษ แต่บทเรียนของการช่วยชีวิตมนุษย์ที่หมดอายุขัย ศนิไม่มีทางทำแบบนั้นอีก
“ด้วยวิธีไหนเล่า หากขัดขวางการตายเพื่อที่ธามจะได้มีชีวิตต่อ แต่ต้องทรมานจนเหมือนตายทั้งเป็นจะมีประโยชน์อันใดกัน”
พระราหูพยักหน้าเพราะรู้เรื่องในอดีตมาก่อน จบอายุขัยก็คือการจบเรื่องราวของมนุษย์ผู้หนึ่ง หากขัดขวางไม่ให้เกิดการตายย่อมเท่ากับเรียกร้องโศกนาฏกรรมซึ่งไม่ควรเลย
“นั่นสิ ไม่ว่าทำยังไงพระยมย่อมรู้ ยกเว้นแต่รอให้เหตุเกิดขึ้นแล้ว แต่ท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าธามิณีจะตายยังไง”
ศนิพยายามแล้วที่จะเข้าไปสู่ฝันร้ายของธามิณี เพื่อที่จะได้รู้ว่าเธอเห็นอะไร แต่เขาทำไม่ได้ ช่างเป็นการรอที่ทำให้ใจหายและกลัวที่จะตื่นขึ้นมาแล้วแล้วพบข่าวร้าย สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน
“ท่านมีคำตอบหมดแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าได้ถามคำถามพวกนั้นกับเราอีก”
“หรือว่า...ท่านแค่รอให้ผลึกกาลกลับมาหลังจากธามิณีตาย ถ้าอย่างนั้นระหว่างท่านกับธามิณีคืออะไร ท่านรักธามิณีจริงๆ หรือว่าแค่อยากให้ธามิณีมีความสุขก่อนตายเท่านั้น”
สายตาที่วาววับราวกับไฟยามมองมาที่เขา ทำให้พระราหูกระจ่างแจ้งแก่ใจว่าวาจาเพ้อเจ้อนั้นนำพาความโกรธมาสู่เขาทันที
“เราไม่เคยบอกรักมนุษย์คนไหนมาก่อน เพราะฉะนั้นท่านอย่าคิดว่าเราจะเห็นชีวิตของธามไม่มีค่าแบบนั้น”
แม้ศนิจะรู้ดีว่าพระราหูพูดเพื่อทดสอบเขา แต่พอได้ยินคำพูดที่ปรามาศความรู้สึกที่เขามีต่อธามิณี เขากลับทนไม่ได้เสียเอง
พระราหูมองสหายด้วยความรู้สึกผิด เขาไม่ควรพูดเช่นนั้นเพียงเพราะต้องการรู้ความในใจของพระเสาร์ หากธามิณีตาย หลังจากนั้นพระเสาร์จะเป็นเช่นไร คงเป็นเรื่องใหญ่ของสวรรค์ ความพิโรธของพระเสาร์เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ต้องใช้ทวยเทพทั้งชั้นฟ้าเพื่อมารับมือ คราวนี้เล่าจะเป็นเช่นไรหากความพิโรธเช่นนั้นเกิดขึ้นกับพระเสาร์อีกครา
ธามิณีมองสิ่งต่างๆ ที่เธอเห็นเมื่อก้าวเข้ามาสู่ดินแดนที่ทำให้เหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ลูกโป่งหลากสี เสียงเพลงที่คล้ายเข้ามาอยู่ในกล่องดนตรี ไอศกรีม เสียงเด็กๆ กำลังหัวเราะอย่างมีความสุข เครื่องเล่นต่างๆ ครั้งสุดท้ายที่ธามิณีมาที่นี่คงจะ10 ขวบ มันนานมากก็จริง แต่เธอกลับจำความรู้สึกในตอนนั้นได้ราวกับเพิ่งมาเมื่อวาน
“นี่เองหรือลิสต์ที่ 2 ที่ธามอยากมากับฉัน” ศนิถามเพราะแปลกใจ แต่ไม่ได้ประหลาดใจ สิ่งที่ธามิณีต้องการคงเรียบง่ายแบบนี้เอง เพียงแต่เธอจดไว้แล้วว่าสำคัญ
“ใช่ค่ะ สวนสนุก ไม่รู้ทำไมธามถึงคิดแบบนี้นะคะ ถ้าธามพูดไปคุณห้ามดุธามนะ”
ศนิเลื่อนไปจับมือของธามิณีแล้วเดินไปด้วยกัน ธามิณีได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากเขา ศนิหันมามองมนุษย์คนแรกที่ชวนเขามาสวนสนุกด้วยกัน ที่ผ่านมาเขาดุเธอมากเกินไปอย่างนั้นหรือ
“ลองพูดมาสิ ฉันไม่ได้ดุธามบ่อยๆ เสียหน่อย”
ธามิณีหันมายิ้มล้อๆ กับศนิ แค่เขาทำหน้านิ่งๆ ก็เหมือนเธอกำลังเจอครูฝ่ายปกครองแล้ว
“ตั้งแต่ฟื้นหลังจากสลบไปเป็นเดือน ธามจะคิดเสมอว่าอาจตายเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ธามอยากไปกับคุณนั่นเพราะธามอยากเก็บเป็นความทรงจำ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ธามจะได้ไม่เสียใจเพราะได้ทำในสิ่งที่อยากทำไปแล้ว”
การพูดถึงความตายไม่เคยทำให้ศนิรู้สึกอะไรเพราะมันเป็นธรรมดาของชีวิตหนึ่งเสมอ แต่พอธามิณีพูดคำนั้นออกมา ทั้งที่เธอไม่รู้ว่าตัวเองเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ หัวใจของเขาวูบชาพร้อมๆ กับรู้สึกว่าขอบตาของตัวเองกำลังร้อนผ่าว เขาบอกเธอไม่ได้ ทำไมเขาถึงพาตัวเองมาตรงนี้
คำตอบมีเพียงอย่างเดียว...เพราะเขารักเธอจนไม่อาจมองผ่านแล้วยอมให้ความตายเกิดขึ้นโดยที่ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง เธอควรได้มีความสุขจนวินาทีสุดท้าย
“ฉันบอกความลับให้อย่างหนึ่งนะ”
“ธามจะเหยียบให้มิดเลยค่ะ” ธามิณีหัวเราะชอบใจ เธอรู้ว่าเขามีความลับ แต่น้อยครั้งที่เขาจะยอมบอก นับว่าเป็นโอกาสที่หายาก
“ฉันเพิ่งเคยมาสวนสนุกเพื่อมาเล่นเป็นครั้งแรก”
ธามิณีซบหน้ากับแขนของศนิที่หันมามองเธอทำหน้าเหมือนตลกตัวเอง เธอมีความสุขเพราะได้ทำหลายๆ อย่างกับเขาเป็นครั้งแรก เขาเป็นรักแรกของเธอและเธอก็เป็นรักแรกของเขาเหมือนกันใช่ไหมนะ
“ไปถ่ายรูปสติกเกอร์กันก่อนค่ะ แล้วค่อยไปลุยกัน ”
มือเล็กกอบกุมมือใหญ่พาเดินไปยังตู้ถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ ธามิณียิ้มให้ศนิด้วยความดีใจที่เขายอมตามใจ ตอนที่บอกเขาว่าจะถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ เธอเตรียมใจไว้แล้วว่าเขาอาจจะไม่เห็นด้วย ทว่าเขากลับยอมเดินตามมาทั้งที่เธอรั้งเบาๆ เท่านั้น การเป็นแฟนกับเขาไม่ได้ยากหากเราต่างรู้จักการโอนอ่อนให้กันบ้าง
“แปลกจังค่ะ” ธามิณีเอ่ยขึ้นในระหว่างที่กำลังเลือกว่าจะถ่ายกี่รูปและใช้ภาพอะไรเป็นแบ็คกราวด์
ศนิเขยิบมาใกล้ไหล่ชิดไหล่พลางมองนิ้วมือเล็กๆ ที่กำลังกดเลือกหลายๆ อย่างที่หน้าจอ พอมองไปยังรูปสติกเกอร์ที่เคยมีคนมาถ่ายแล้วติดบางรูปไว้ เขาก็ก้มมองเสื้อยืดสบายๆ สีกรมกับกางเกงยีนส์
“แปลกยังไง หรือฉันควรเปลี่ยนชุด”
ธามิณีรีบส่ายหน้า เขาคงไม่รู้ว่าพอเปลี่ยนจากใส่ชุดสีดำมาใส่กางเกงยีนส์บ้าง เสื้อสีขาวบ้าง ทำให้เขายิ่งน่ามองมากกว่าเดิม เขาไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมว่ามีสาวมองตามจนเหลียวหลัง บางคนแอบถ่ายรูปเขาด้วยซ้ำ
“ทำไมคุณยอมถ่ายรูปล่ะคะ ที่ผ่านมาคุณไม่ชอบให้ใครจำได้ บางครั้งตามไปลบความทรงจำ ทำไมคราวนี้ถึงยอมให้คนแอบถ่ายรูป แล้วยังมาถ่ายรูปสติกเกอร์กับธามด้วย”
ขอแจ้งข่าวอีกครั้งนะคะ
1. ขอเพียงรักนี้นิรันดร จำหน่ายในรูปแบบ E-Book แล้วนะคะที่เว็บ MEB
2. โบว์ทำโปรโมชั่นลดราคานิยายเป็นเวลา 18 วัน ในราคา 180 บาท จากราคาเต็มหน้าปก 329 ราคาลดลง 45% ค่ะ
3. โบว์จะลงนิยายให้อ่านประมาณ 65% ของเรื่องราวทั้งหมด หรือประมาณบทที่ 16 แล้วสิ้นสุดการลงนิยายนะคะ
*****************************************************
เคยรู้สึกว่าคิดถึงใครสักคนจนอยากร้องไห้บ้างไหม?
ฝันถึงใครบางคนที่ไม่รู้ชื่อ แต่รู้สึกว่ารักคนคนนั้นมากอย่างไม่น่าเชื่อ
อยากหาเหตุผลว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น แต่ก็หาคำตอบไม่พบ
ขอบคุณไม่นับครั้ง
อัมราน
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 134
แสดงความคิดเห็น