บทที่ 6...2/3
“ใครที่จะมา” เวฬามองไปรอบตัว
“ข้าเอง...”
เพียงจบคำร่างของเวฬาก็ถูกซัดด้วยพลังที่เหนือกว่าทำให้ลอยละลิ่วไปด้านบนในวินาทีนั้น!
เวฬายังไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ รู้ตัวอีกทีร่างก็กระแทกเข้ากับพลังอีกฟากที่ราวกับสะบัดให้ร่างของเขาร่วงลงพื้น แต่กลับลอยนิ่งประหนึ่งถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีม่วงที่ร้อนยิ่งกว่าไฟนรก เขาใช้พลังของตัวเองฟาดเข้าใส่ผนังเรืองแสงที่ล้อมรอบ แต่พลังนั้นกลับตีกลับมาที่เขาเองจนกองทรุด อีกทั้งผนังโปร่งแสงก็เล็กแคบลงมาเรื่อยๆ จนเวฬารู้สึกได้ถึงแรงอัดมหาศาลที่อาจทำให้ดวงจิตของเขาแหลกสลายได้ เขารู้ว่าพระเสาร์เป็นนักล่าปีศาจและวิญญาณร้าย แต่ไม่คิดว่าจะเหี้ยมโหดถึงเพียงนี้ มากสุดเขาแค่ถูกส่งไปยังยมโลกไม่ใช่หรือ แต่ที่เขาโดนเท่ากับจะทำให้ดวงจิตแตกสลายเลยเชียวนะ
ไม่! เขาหนีรอดมาได้ตั้งนานจะมาถูกจัดการง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด
ธามิณีมองไปยังเขาคนนั้นที่ลอยอยู่เหนือร่างของผู้ที่ลักพาตัวเธอมา เขาหันมามองเธอแล้วส่งพลังที่เป็นแสงสีม่วงซึ่งคงสีประจำตัวของเขามาล้อมรอบร่างของเธอไว้ การปกป้องของเขาทำให้เธออุ่นใจ เลือดที่กำลังไหลราวกับค่อยๆ หยุดลง ในครอบแสงสีม่วงทำให้เธออุ่นสบายไม่หนาวยะเยือกอย่างเมื่อครู่ เธอไม่เกิดคำถามอีกต่อไปแล้วว่าเขาทำได้อย่างไร
เวฬาบาดเจ็บจนกระอักเลือดออกมาทางปาก แต่คู่ต่อสู้ของเขากลับขยับนิ้วไม่กี่ครั้งเท่านั้นก็สามารถจัดการเขาได้ สหายของเขาบอกว่าพระเสาร์เหลือพลังเพียงครึ่งเดียวไม่ใช่หรือ ทำไมถึงได้แข็งแกร่งจนเขารู้ตัวว่าอาจกลายเป็นฝุ่นผงหากจะดึงดันต่อไป
“ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยพระเสาร์ ข้าไม่ได้คิดจะฆ่าผู้หญิงที่ครอบครองผลึกกาลของท่าน”
“ก็รู้นี่ว่าข้าเป็นใคร แล้วยังจะกล้า!” ศนิฟาดพลังใส่เวฬาด้วยความโกรธเกรี้ยว อีกฝ่ายกระอักเลือดซ้ำจนร่างกองฟุบ “ดวงจิตที่ถูกกิเลสครอบงำ ซ้ำยังครอบครองร่างมนุษย์ที่สิ้นอายุขัย แล้วยังหลบหนีการชดใช้แบบเจ้าสมควรได้รับผลของการกระทำแล้ว”
เวฬาไม่คิดว่าพระเสาร์จะมีพลังมากกว่าที่คิด อีกทั้งยังรู้ว่าเขาขโมยร่างนี้มาอีกด้วย เขาถูกไอ้สหายคนนั้นหลอกใช้เพื่อพิสูจน์พลังแท้จริงของพระเสาร์เข้าแล้วกระมัง
“ได้โปรดเถิดท่าน ข้าจะไม่ทำแบบนี้อีก เพียงต่างคนต่างอยู่ ในอดีตข้าก็เคยเป็นเทพที่ลูกลงโทษเช่นเดียวกับท่าน เพียงแต่ข้าหลงผิดกลับไปเป็นเทพก็ไม่ได้ กลับมาเป็นเทพกึ่งมนุษย์ก็ไม่ได้ เหลือแค่เพียงดวงจิตที่ยังรักษาไว้ได้เท่านั้น”
สำหรับอดีตเทพที่ครอบครองร่างมนุษย์ที่สิ้นอายุขัยไปแล้วซ้ำยังหนีการชดใช้กรรม ศนิมองเวฬานิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าเพียงปัดมือทีเดียวดวงจิตของเวฬาก็สลายหายไปสู่ยมโลกทันที แม้เขาอยากจะทำลายดวงจิตชั่วร้ายนั้นให้จบๆ ก็ตามเถอะ แต่ต้องแยกหน้าที่กับความรู้สึกส่วนตัวออกจากกัน
ธามิณีมองผู้ชายที่มีชื่อว่า...พระเสาร์ เธอเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน พ่อเคยพูดถึงพระเสาร์ แต่ความทรงจำของเธอช่างเลือนรางจนนึกไม่ค่อยออกนัก ถ้าเขาเป็นคนที่พ่อรู้จักมาก่อน แล้วเขาจะปกปิดชื่อกับเธอมานานสองนานทำไม
หญิงสาวเงยหน้ามองพระเสาร์ที่ก้มลงมองเธอด้วยสีหน้าราบเรียบ จนเธออยากตะโกนใส่เขาว่าช่วยตกใจสักหน่อยได้ไหม เธอถึงขนาดยอมเสียเลือดเสียเนื้อเพื่อที่จะตกอยู่ในอันตรายเชียวนะ
“รักษาให้หน่อยสิคุณ” ธามิณียื่นแขนให้พระเสาร์ที่มองมาแล้วทำหน้าดุ ทั้งที่เธอทุ่มสุดตัวขนาดนี้ “เจ็บสุดๆ แต่ก็คุ้มที่คุณมาช่วยธามทันเวลา”
ศนิจับแขนของธามิณีไว้แล้วใช้พลังของตัวเองด้วยการวางมือเหนือจุดที่เป็นแผลไม่ลึกนัก แต่แผลค่อนข้างยาว ที่มาของแผลคงมาจากปิ่นปักผมอันนั้น เธอเป็นคนลงมือทำร้ายตัวเองเพื่อเรียกเขามา แต่น่าแปลกที่เขากับเธอต่างเสียเลือดเพื่อเรียกอีกฝ่าย แต่ทำไมธามิณีถึงทำได้ในคราวนี้ แต่เขากลับทำไม่ได้ นอกจากเลือดที่ใช้เป็นสื่อแล้ว ยังต้องใช้อะไรอีก
ธามิณีเห็นแสงสีม่วงจางๆ กำลังช่วยสมานบาดแผลให้เธอทีละน้อยๆ จนกระทั่งบาดแผลกำลังปิดทั้งหมด แล้วเป็นรอยแดงขึ้นแทน ก่อนจะค่อยๆ จางจนกระทั่งไม่เหลือร่องรอยบาดแผลที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พระเสาร์ควรไปเป็นหมอถ้ารักษาได้ไม่เหลือแม้กระทั่งแผลเป็น ถึงว่าเขาบอกว่าอยู่มาหลายร้อยปี ถ้ารักษาตัวเองได้จากพลังที่มี ความตายก็เรื่องขี้ปะติ๋วแล้ว
“แล้วทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย ถ้าฉันตามหาเธอไม่พบ เธอไม่เลือดหมดตัวตายก่อนหรือไง” เทพกึ่งมนุษย์อย่างเขาอาจไม่เจ็บเท่าไหร่นัก หากต้องทำแบบธามิณี แต่สำหรับมนุษย์ย่อมเจ็บมากอยู่แล้ว เธอรู้แล้วหรือว่าเลือดเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ผลึกกาลดึงเขามาหาเธอได้
น้ำเสียงของพระเสาร์ที่บอกแทนคำพูดยาวๆ ว่า...ห่วง ทำให้ธามิณีค่อยยิ้มออก การที่กลัวแล้วต้องพยายามกล้าหาญมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอเหมือนกัน
“คุณเคยบอกว่าถ้าธามตกอยู่ในอันตรายก็จะถูกดึงมาช่วย ธามถึงได้ทำแบบนั้น” ธามิณียิ้มกว้างกว่าเดิม “ตอนนี้ธามรู้แล้วนะคะว่าคุณคือพระเสาร์”
ศนิฟังแล้วอ่อนใจ ธามิณีไม่รู้ว่าเลือดของเธอและของเขาทำให้ผลึกกาลทำอะไรได้บ้าง แต่เธอเลือกจะเสี่ยงเพื่อทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย เพื่อที่เขาจะได้มาช่วยเธอ ช่างเป็นมนุษย์ที่ใจกล้าบ้าบิ่นไม่กลัวตายเอาเสียเลย
...หลายร้อยปีมานี้เขาเพิ่งพบเจอมนุษย์แบบเธอเป็นคนแรก
“รู้ว่าฉันเป็นใครแล้วยังไง ถ้าเธอเรียกฉัน ฉันก็ไม่รู้อยู่ดี”
ธามิณีขมวดคิ้วใส่พระเสาร์เพราะเขาไม่มีทางดูดายเวลาเธอมีอันตรายได้หรอก ศนิปล่อยแขนของธามิณีที่รักษาให้แล้วจนไม่เหลือร่องรอยว่าเคยมีแผลมาก่อน
“ขอบคุณนะคะ” ธามิณียกมือไหว้พระเสาร์ “เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ”
“ฉันเข้ามาในหนังสือได้เพราะเธอตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต แต่ฉันไม่รู้วิธีที่จะออกไปหรอกนะ”
นี่เป็นอีกเรื่องที่ศนิสงสัย เพียงดวงจิตที่เต็มไปด้วยกิเลสไม่มีทางวางกับดักได้หลายชั้นแบบนี้ อีกทั้งพลังที่สร้างเมืองนิมิตไม่น่าเป็นของเวฬาเพราะมันซับซ้อนและลดทอนพลังของเขาไปหลายส่วน หากทำลายเมืองนิมิตนี้ ศนิก็ไม่แน่ใจนักว่ามนุษย์อย่างธามิณีจะออกไปได้โดยไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
ธามิณีฟังแล้วใจแฟบ แต่สีหน้าเรียบๆ ของพระเสาร์ทำให้เธอคิดว่าเขาไม่น่าจะจนหนทางง่ายๆ หรอก...มั้ง
“คุณพูดให้ธามกลัวใช่ไหม คุณเก่งจะตาย แค่ออกไปจากหนังสือ ทำไมจะทำไม่ได้เนอะ”
“บางอย่างและบางเรื่องก็เหนือความสามารถของฉัน” ศนิตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม
ธามิณีเหวอไม่นึกว่าเก่งๆ อย่างพระเสาร์จะมีอะไรที่เหนือความสามารถ เธอคิดถูกแล้วที่ทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้เขามาช่วย ถ้าหาทางออกไปเอง เธอคงติดแหง็กอยู่ในนี้จนแก่หง่อมกระมัง แล้วเราสองคนนี้จะออกไปจากหนังสือเล่มนี้ได้ยังไงกันล่ะ
“ถ้างั้นทำยังไงดีล่ะคุณ อีตาเจ้าของหนังสือก็หายไปแล้ว เราน่าจะถามให้รู้เรื่องก่อน”
“ฉันอ่านความคิดจากดวงจิตของเวฬาก่อนจะส่งมันไปยมโลกแล้ว มันก็ออกไปไหนไม่ได้จนกว่าเจ้าสาวจะยอมแต่งงานกับมัน หรือไม่ก็มีใครสักคนมาบังเอิญเปิดหนังสือเล่มนี้”
เพราะเหตุผลนี้ศนิจึงไม่เห็นประโยชน์หากจะเก็บดวงจิตของเวฬาไว้ ส่งไปยมโลกเสียดีกว่า การยอมให้ธามิณีแต่งงานกับเวฬาจะกลายเป็นการสร้างวาสนาต่อกันเสียเปล่าๆ หากในอนาคตเวฬาเปลี่ยนตัวเองทำแต่กรรมดี ลงไปชดใช้กรรมชั่วจนหมด แล้วเกิดเป็นมนุษย์หรือเป็นเทพ วาสนาที่ทั้งสองมีต่อกันจะยึดโยงธามิณีเอาไว้
ธามิณีฟังแล้วก็คิดว่าเป็นไปได้อยู่ เมื่อ 5 เดือนก่อนมีเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้ เวฬาถึงได้เพิ่งออกมาแล้วเฝ้าติดตามเธออยู่เป็นเดือน เพื่อลงมือในวันนี้ แต่ประเด็นคือเวฬาไม่อยู่แล้ว การแต่งงานย่อมไม่เกิดขึ้น แล้วเธอกับพระเสาร์จะออกไปจากหนังสือเล่มนี้ด้วยวิธีไหน
“หนังสือเล่มนี้อยู่สูงเสียด้วย ต้องรออีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้กว่าจะมีใครสักคนมาเปิดออกอ่าน ธามกับคุณไม่น่ารอไหวมั้งคะ แล้วที่สำคัญบ่ายพรุ่งนี้นี้ธามมีสอบ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องช่วยกันหาวิธี” ในทุกกับดัก คนที่วางกับดักมักซ่อนทางออกเอาไว้เสมอ แต่เวฬากลับไม่รู้วิธีอื่นนอกจากแต่งงาน ย่อมแสดงว่าที่แห่งนี้อาจมีดวงจิตหรือเทพองค์อื่นช่วยสร้างขึ้นมาก็เป็นได้
“หนังสือเล่มนี้ชื่อว่าเจ้าหญิงนิทรา การที่เจ้าหญิงจะฟื้นได้ก็ต่อเมื่อมีเจ้าชายมาจุมพิต” ธามิณีแค่ทบทวนความจำเผื่อว่าจะมีวิธีอะไรสักอย่าง หรือว่าจะต้องใช้วิธีนั้น
ธามิณีหันมองพระเสาร์แล้วส่ายหน้า มันน่าจะมีวิธีอื่นบ้างหรอก เธอเห็นพระเสาร์สร้างวงแหวนสีม่วงที่กลางฝ่ามือแล้วสะบัดออกไปด้านบนราวกับจะสร้างอุโมงค์ แต่แสงนั้นกลับสลายเมื่อผ่านไปไม่กี่วินาที แสดงว่าที่แห่งนี้พลังหรือมนตราทำลายไม่ได้เลยงั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นเธอจะลองเสี่ยงวิธีนี้ดูสักครั้ง
“คุณจูบธามเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
ธามิณีพยายามทำหน้าเรียบเฉยเลียนแบบพระเสาร์ ตอนนี้เรื่องไปสอบให้ทันสำคัญกว่า แค่จูบมันจะอะไรเชียว เธอจูบหัวแมวจูบแก้มแมวบ่อยๆ คงรู้สึกไม่ต่างกันหรอก
“เป็นผู้หญิงยังไงของเธอ จู่ๆ มาบอกให้ผู้ชายจูบ” ศนิกอดอกมองธามิณี สายตาที่มองดุๆ ในเวลาแบบนี้เธอควรคิดหาทางออกมากกว่ามาชวนเขาทำเรื่องไร้สาระ
“มันอาจเป็นวิธีออกไปจากที่นี่ก็ได้นะคะ ธามไม่ได้อยากจูบคุณ เพียงแต่เรื่องเจ้าหญิงนิทราน่ะ เจ้าหญิงจะตื่นได้ก็ต่อเมื่อมีเจ้าชายมาจูบ ธามแค่อยากกลับบ้าน คุณยืนเฉยๆ เดี๋ยวธามจูบเองก็ได้” ธามิณีอธิบาย ถ้าไม่เกรงใจจะคว้าเขามาจูบเองให้รู้แล้วรู้รอด
“คิดวิธีอื่น ทำวิธีนี้ไม่ได้”
การจูบจะไม่ได้เป็นการสร้างวาสนาต่อกัน แต่เขาจะไปจูบกับมนุษย์ที่อีกไม่กี่เดือนจะอายุครบ 21 ปี ในขณะที่เขาอายุมากกว่าเธอ 732 ปีได้อย่างไร
ธามิณีเดินมายืนประจันหน้ากับพระเสาร์แล้วยิ้มกว้าง เธอคิดวิธีอื่นไม่ออกแล้วนี่ งานนี้เธอจะถูกเขาฟาดพลังใส่ไหมนะ ช่างเถอะ แค่กอดเขาไว้ไม่ให้หนีก่อน ศนิยืนนิ่งไม่ทันคิดว่าจะถูกจู่โจมด้วยการกอด เขาถอนใจมองร่างกะเปี๊ยกที่ริอ่านมากอดเขาโดยที่ไม่ขออนุญาต
“หยุดเลยนะ ฉันไม่จูบเธอเด็ดขาด”
“ก็ได้ค่ะ ถ้างั้นธามจูบคุณเอง”
ศนิจะยอมมั้ย ฮุๆ ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านนะคะ
อัมราน_บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 211
แสดงความคิดเห็น