บทที่ 4...2/3
เย็นวันนั้นธามิณีลงจากรถแท็กซี่แล้วเดินเข้าไปในงานศพด้วยความรู้สึกเสียใจ เสียดาย และรู้สึกผิด หากเธอทำอะไรได้มากกว่าที่บอกรัดเกล้าไปตอนนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ มันยังจะเกิดขึ้นอยู่ไหมนะ เธอยังวนเวียนกับคำถามที่ไม่รู้คำตอบนี้ รวมทั้งความสงสัยว่าเธอจะเห็นความตายในอนาคตของคนอื่นอีกหรือเปล่า หลังจากเห็นนิมิตของรัดเกล้าในครั้งนั้น เธอก็ไม่เห็นนิมิตของใครอีก
เมื่อเดินเข้าไปในงานศพ ธามิณีเห็นกาญเกล้านั่งอยู่ที่พรมหน้ากระถางธูป ส่วนเตวินคอยต้อนรับแขกที่มางาน เธอไหว้ญาติผู้พี่ด้วยความรู้สึกแปลกหน้า แต่ไม่ได้ห่างเหิน อย่างน้อยเราก็เป็นญติกัน แม้จะไม่สนิทอะไรนักก็ตาม เธอเดินไปนั่งตรงหน้ากระถางธูปเพื่อจุดธูปแล้วไหว้ลุงกับป้าที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ก่อนจะหันมาหากาญเกล้าที่จ้องเธอเขม็ง
“เสียใจด้วยนะ ฉันไม่คิดว่าคุณป้ากับคุณลุงจะจากไปเร็วแบบนี้” ธามิณีเอ่ย
“แกน่าจะดีใจมากกว่านะ ตอนนี้ฉันไม่มีพ่อไม่มีแม่แล้ว เหมือนแกไงล่ะ” กาญเกล้าตอบกลับสีหน้าพร้อมจะระเบิดใส่ใครสักคน แล้วใครคนนั้นดันเป็นธามิณี หากเธอไม่ทะเลาะกับแม่ก่อนท่านเดินทาง เธอคงไม่รู้สึกแตกสลายถึงขนาดนี้
“สีหน้าของฉันเหมือนคนดีใจอย่างนั้นหรือกาญเกล้า” ธามิณีคิดไว้อยู่แล้วว่าอาจจะเจออะไรแบบนี้ กาญเกล้าโทษเธอได้ทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องนี้ด้วย “ฉันรู้ดีว่าการไม่เหลือใครบนโลกใบนี้แล้วมันเจ็บปวด ฉันถึงได้มา เพื่อให้เธอรู้ว่ายังมีฉัน แต่ฉันคงคิดผิด ผ่านมา 3 ปีแล้ว เธอก็ยังเกลียดฉันเหมือนเดิม ทั้งที่ฉันไม่เคยทำร้ายเธอเลย”
แขกในงานพากันมองมาเพราะเสียงที่แผดลั่นของกาญเกล้า เตวินรีบเข้ามาจับเอวของกาญเกล้าไว้เผื่อว่าจะกระโจนเข้าใส่ธามิณี เขาเคยได้ยินแม่เล่าเรื่องที่ธามิณีเตือนการนั่งเครื่องบินอยู่เหมือนกัน แต่มันไม่มีเหตุผลเลยที่จะไปโทษธามิณี ในเมื่อไม่มีใครรู้หรอกว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง บางทีการที่กาญเกล้าเพิ่งถูกแฟนบอกเลิก แล้วยังมาเจอเหตุการณ์พ่อแม่เสียชีวิตกะทันหันก็เลยยังทำใจไม่ได้เท่านั้น
“ธามกลับก่อนนะคะพี่วิน”
“หลายเดือนก่อน ทำไมแกถึงบอกแม่ของฉันแบบนั้น แกรู้ได้ยังไงว่าเครื่องบินจะตก” กาญเกล้าถามเสียงไม่เบานัก แขกในงานพากันหันมามองยิ่งกว่าเดิม
ธามิณีถอนใจ ถ้าบอกว่าไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม กาญเกล้าคงหัวเสียยิ่งกว่าเดิมกระมัง ทั้งที่เธอไม่ชอบเลยที่เห็นนิมิตในคราวนั้น แต่กลับเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้สักอย่าง
“ถ้าบอกว่าฉันมีลางสังหรณ์ เธอจะเชื่อฉันไหม แต่สุดท้ายฉันก็ทำได้แค่บอก”
“เพราะแกพยายามไม่มากพอไง” กาญเกล้าแผดเสียงลั่นพร้อมกับเขวี้ยงแก้วที่มีน้ำใส่อยู่เต็มจงใจให้โดนธามิณี แต่มันกลับไปกระแทกกับผนังปูน เศษแก้วกระเด็นไปทั่ว รวมทั้งสร้างบาดแผลให้เธอและธามิณีด้วย แม้จะไม่มาก แต่เลือดก็ไหลซิบออกมา
ธามิณีน้ำตาเอ่อเพราะเธอก็โทษตัวเองแบบนั้น เตวินถอนใจเพราะมันไม่ใช่ความผิดของธามิณี ของกาญเกล้า หรือแม้แต่เขา มันเป็นเพราะสายการบินและสภาพอากาศในวันนั้นต่างหาก ซึ่งยังต้องรอเวลาสอบสวนอีกพักใหญ่กว่าจะรู้ว่าสาเหตุที่เครื่องบินตกเกิดจากอะไร
“พอเถอะกาญ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของธามนะ”
“มันเป็นตัวซวยไงพี่วิน เพราะมันไง พ่อแม่ของมันถึงตาย แล้วก็เพราะมัน พ่อแม่ของเราสองก็เลยต้องมาตายเหมือนกัน เพราะมันคนเดียว” กาญเกล้าว่ากราด แต่กลับร้องไห้ปานจะขาดใจเพราะเธอไม่เหลือใครแล้ว ต่อไปนี้ชีวิตจะดำเนินต่อไปอย่างไร เธอยังมองไม่เห็นอนาคตของตัวเองเลย
“ธามกลับไปก่อนเถอะนะ กาญพูดไม่คิดอีกแล้ว พี่เหนื่อยจะห้ามแล้วเหมือนกัน” เตวินมองน้องสาวด้วยความรู้สึกทั้งสงสารและระอาใจ ความเอาแต่ใจของกาญเกล้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
ธามิณีสูดหายใจยาวพยายามไม่ใส่ใจสายตาของแขกในงานที่มองมาทางเธอราวกับคำพูดของกาญเกล้ากลายเป็นความจริง เธอควรเรียกแท็กซี่แล้วกลับห้องพักเสีย แต่ธามิณีกลับเดินไปเรื่อยๆ คำพูดของกาญเกล้ายังก้องอยู่ในสมอง เธอร้ายกาจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ เธอทำให้มีคนตายได้จริงๆ หรือ ทำไมเธอต้องจมอยู่กับคำถามนี้ ในตอนที่รอดชีวิตมาแล้วรู้ว่าพ่อกับแม่จากไป เธอคิดมาตลอดว่าหากว่าวันนั้นเธอขอกลับบ้านเอง เหตุการณ์นั้นจะยังเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า บางทีพ่อกับแม่จะไม่ตายใช่ไหม
ธามิณีไม่ได้อยากร้องไห้ แต่น้ำตามันไหลออกมาจากความรู้สึกที่หาคำตอบไม่ได้ของเธอเอง เสียใจ กลัว อ้างว้างหรือกำลังโกรธ เธอจะบ้าเพราะความรู้สึกที่สับสนปนเปแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ เธอรู้แค่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้คงจะดี ตอนนี้เธออาจจะกำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่บ้านโดยมีพ่อกับแม่อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา
“โอ๊ะ!?!”
ธามิณีสะบัดข้อมือที่สวมกำไลอยู่เพราะเธอไม่เคยถอดมันออกได้ ตอนนี้มันเย็นจัดราวกับเป็นน้ำแข็ง แล้วพลันเกิดแสงสีม่วงจาง ทำให้เธอเพิ่งเห็นว่ามีรอยแผลถูกเศษแก้วบาด คงตอนที่กาญเกล้าเขวี้ยงแก้วกระมัง
“มันเป็นไปได้ยังไง ทำไมกำไลข้อมือถึงเรืองแสง”
เพียงครู่เดียวทั้งแสงและความเย็นเฉียบจากกำไลก็หายไป ธามิณีมองไปรอบตัว ‘เขา’ กลับมาแล้ว หรือว่าเธอแค่รู้สึกไปเอง
“คุณอยู่แถวๆนี้ใช่ไหม ถ้าใช่ ช่วยมาบอกธามทีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของธามมันคืออะไร ธามพร่ำถามคุณกับตัวเองมาตลอด แต่ไม่เคยได้คำตอบ จนคิดว่าตัวเองบ้าไปแล้วหรือเปล่า”
ไม่มีเสียงตอบกลับมาหรือแม้กระทั่งใบหน้าที่เธอจดจำได้มาตลอด รอบตัวของธามิณียังมีรถวิ่งไปตามถนนและเสียงเครื่องยนต์ ไม่มีใครหรืออะไรที่ปรากฏให้เห็น
“คุณไม่ใช่ผีจริงๆ ใช่ไหม” ธามิณีถามเสียงเบาแล้วมองไปรอบตัวอีกครั้ง ก่อนจะเรียกแท็กซี่ รอเพียงครู่เดียวเธอก็เข้าไปนั่งในรถเพื่อกลับไปยังห้องพัก ลืมเรื่องที่คิดไปก่อนหน้านี้ เพราะมีแต่คำถามว่า ‘เขา’ กลับมาแล้วหรือยัง
ร่างของศนิที่จงใจให้เลือนรางกำลังมองตามรถคันนั้นพลางถอนใจ มันช่างเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด คราวนี้เขาถูกดึงมาหาธามิณีเพราะอะไร เขาเคยคิดว่าเพราะเธอกำลังตกอยู่ในอันตราย ผลึกกาลถึงรั้งตัวเขามาเพื่อปกป้องร่างของมนุษย์ผู้นี้ แต่เหตุการ์เมื่อครู่ ธามิณีไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายที่อาจถึงชีวิต แล้วเหตุผลใดกันที่ผลึกกาลทำแบบนั้น สิ่งนี้ช่างกวนใจเขานักเพราะมันทำให้ปีศาจตนหนึ่งรอดไปได้จากการที่เขาถูกผลึกกาลดึงตัวมา คงถึงเวลาแล้วที่เขาควรมาพิจารณาหาคำตอบสักที
ธามิณีเห็นข้อความเตือนของเงินที่เพิ่งโอนเข้ามาในบัญชีของเธอ เงินนี้ลุงวาทินบอกไว้ตั้งแต่เข้ามหา’ลัยว่า มีเพื่อนของพ่อต้องการช่วยเหลือในเรื่องของการศึกษา โดยจะโอนเงินมาให้ธามิณีทุกเดือน แต่ผ่านมาหลายปีแล้วเธอกลับไม่รู้แม้แต่ชื่อของเพื่อนพ่อคนนี้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ธามิณีมาที่บ้านของวาทินหลังจากเลิกเรียนในตอนเที่ยง เธอยังเหลือเวลามากพอก่อนที่จะไปทำงานพิเศษในตอนเย็น
สำนักงานทนายความของวาทินอยู่ไม่ไกลจากมหา’ลัย ทำให้ธามิณีเดินมาเรื่อยๆ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว วาทินกำลังเดินออกมาส่งลูกความพอดี พอเห็นธามิณี เขาจึงโบกมือให้แล้วยืนรอก่อนจะเข้าไปในสำนักงานสองชั้นด้วยกัน หลังจากทักทายและคุยกันด้วยเรื่องทั่วๆ ไปสักพัก ธามิณีจึงเข้าเรื่องที่เธอมาหาลุงวาทินในวันนี้
“เกือบครบ 3 ปีแล้วที่ธามได้เงินจากเพื่อนของพ่อ ลุงทินจะไม่บอกธามจริงๆ หรือคะว่าเพื่อนของพ่อคนนี้เป็นใคร ทำไมถึงมาช่วยดูแลเรื่องค่าเรียน ค่ากินอยู่ให้ธาม” ธามิณียิ้มประจบหวังว่าคราวนี้จะได้คำตอบอะไรกลับมาบ้าง
วาทินขมวดคิ้วแปลกใจเพราะคราวก่อนที่ได้คุยกับเลขาของเจ้าของทุนนั้นมีคำพูดที่ราวกับรู้อนาคตว่าธามิณีจะถามเรื่องนี้ขึ้นมาอีก
“เขาชื่อว่า คุณภูมัย วันก่อนลุงรับโทรศัพท์จากเลขาของคุณภูมัย อย่างกับรู้เลยว่าธามจะถามถึงเลยบอกว่าให้บอกชื่อไว้ได้”
ธามิณียิ้มกว้างที่อย่างน้อยก็ได้รู้ชื่อ แต่แค่นี้ยังไม่พอที่เธอจะรู้ว่าเขาเป็นใคร
“แล้วนามสกุล ที่อยู่ หรือที่ทำงานล่ะคะ ธามจะได้ติดต่อเพื่อขอบคุณน่ะค่ะ”
วาทินยิ้มกว้างอยากให้ข้อมูลกับธามิณี แต่เขาทำมากกว่านี้ไม่ได้เพราะรู้เท่าๆ กับที่บอกธามิณีนั่นแหละ
“ทางคุณภูมัยให้บอกธามเท่านี้จริงๆ แล้วฝากบอกว่า ที่ผ่านมาธามทำดีมากนะ”
แม้จะผิดหวัง แต่ธามิณีเข้าใจ บางครั้งการรู้จักก็ทำได้แค่รู้จัก ไม่มีอะไรให้มากมายไปกว่านั้น แม้เธออยากจะตอบแทนเพื่อนของพ่อคนนี้ แต่คงทำได้เพียงฝากคำขอบคุณไปเท่านั้น
“ขอบคุณนะคะลุงทิน” ธามิณีหยิบของที่เตรียมมาแล้วส่งให้วาทิน “ธามทำมาให้ลุงทิน ส่วนอีกอันธามฝากให้คุณภูมัยค่ะ”
สุทินหยิบพวงกุญแจที่เป็นไหมพรมถักเป็นรูปกระต่ายสำหรับเขา ส่วนของภูมัยเป็นรูปอะไรเขาก็ไม่แน่ใจระหว่างดอกไม้กับผีเสื้อ
“ลุงก็ไม่เคยพบคุณภูมัยหรอก ลุงได้พบตัวแทนของเขามาตลอด ถ้างั้นลุงจะมอบของขวัญชิ้นนี้ให้เขาแทนธามแล้วกันนะ”
ธามิณียกมือไหว้วาทิน “ขอบคุณค่ะ ถ้างั้นธามไปทำงานแล้วนะคะ”
วาทินเดินมาส่งธามิณีที่หน้าสำนักงาน ธามิณีเดินไปเรื่อยๆ แค่ไม่กี่นาทีก็ถึงร้านขายอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ ซึ่งไม่มีแอลกอฮอล์ที่เธอมาทำงานพิเศษเป็นพนักงานเสิร์ฟอยู่ หญิงสาวเปลี่ยนเสื้อผ้ามาใส่ชุดพนักงานของร้านแล้วเดินดูแลความเรียบร้อยของแต่ละโต๊ะ ลูกค้าเข้ามารับประทานอาหารและสั่งเครื่องดื่มกันเรื่อยๆ งานจึงไม่หนักอะไรนัก อีกทั้งเจ้าของร้านก็ใจดี เธอจึงสบายใจเมื่อได้มาทำงานพิเศษที่นี่จนผ่านมา 1 ปีแล้ว
ในบางครั้งหญิงสาวมองไปที่ประตูทางเข้าร้าน หวังใจไว้ว่าสักวัน ‘เขา’ คนนั้นจะเดินเข้ามาแล้วบอกว่า...กลับมาแล้ว
ธามิณีกำลังจะเดินไปโรงอาหารหลังจากออกมาจากห้องเรียนในตอนเที่ยง กัลยาโบกมือให้เพื่อนโดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาด้วยกัน ธามิณีเคยเห็นเมื่อสัปดาห์ก่อน กัลยาบอกว่าไปเจอกับเพื่อนใหม่ที่สโมสรนักศึกษา แต่เรียนคนละคณะ ความที่ชอบทำกิจกรรมของมหา’ลัยเหมือนกันเลยได้เจอกันบ่อย
“เจอพอดีเลยธาม” กัลยายิ้มให้เพื่อน “ธามนี่เพื่อนเราเอง ชื่อ รวิชญ์เรียกวิชญ์แล้วกันนะ”
ธามิณียิ้มให้รวิชญ์ หนุ่มหน้าตี๋ที่ยิ้มแล้วดวงตาเป็นสระอิ ตัวสูงแต่ไม่เก้งก้าง
“วิชญ์ นี่เพื่อนสนิทของกัลชื่อธามิณี เรียกธามนะ”
รวิชญ์ยิ้มให้ธามิณีแล้วก้มหน้าลง กัลยาหันมายิ้มตาหยีอีกคนเพราะรู้ว่าเพื่อนคนนี้กำลังแอบชอบธามิณี แต่ไม่กล้ามาทำความรู้จัก จนเธออาสาเป็นแม่สื่อเสียเอง
“ไปกินข้าวกัน หิวแล้ว” ธามิณีชวน
กัลยาพยักหน้าพลางเดินไปควงแขนเพื่อนแล้วถาม “ธามอยากกินอะไร วิชญ์ล่ะ”
“เดินไปเรื่อยๆ อยากกินร้านไหนค่อยเข้าไปซื้อแล้วกันนะ”
รวิชญ์ยิ้มตามใจสองสาวที่เดินนำเข้าไปยังโรงอาหารของมหา’ลัย แต่จู่ๆ ธามิณีก็หันกลับมาแล้วมองไปรอบตัว ก่อนจะถอนใจ พอเพื่อนถามก็บอกว่าไม่มีอะไร หลายวันมานี้เธอตื่นเช้ากว่าปกติเพราะสะดุ้งตื่นในตอนรุ่งสาง เธอเห็นสายตาแปลกๆ ในฝันจนไม่แน่ใจว่าถูกจ้องมองอยู่จริงๆ หรือเปล่า ทำให้ตื่นนอนแล้วข่มตาหลับไม่ได้อีก ตอนนี้เธอรู้สึกถึงสายตาแบบนั้นผ่านแผ่นหลังของตัวเอง แต่พอหันไปมองกลับไม่เห็นใครหรืออะไร แม้ว่าเธอจะแน่ใจว่ามีใครหรืออะไรที่จ้องมองมา
ไม่ใช่ ‘เขา’ คนนั้นแน่ๆ เพราะเธอรู้สึกกลัว...ไม่ใช่อุ่นใจ
ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านนะคะ
อัมราน_บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 188
แสดงความคิดเห็น