chapter 7 เรื่องวุ่นวาย
“นี่ สอนฉันหน่อยนะ หรือจะให้ฉันช่วยงานเอาก็ได้นะ”
นี่ก็เป็นเวลาสามวันแล้วที่ลูเทียร์ได้ตามตื้อลุคให้มาสอน แต่ไม่ว่าจะทำยังไงผลลัพธ์ก็ออกเป็นอย่างเดิมตลอด ซึ่งถึงจะเป็นอย่างนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้รออย่างเดียว เพราะเวลาช่วงเช้าก็ได้ออกมาฝึกด้วยตัวเอง พร้อมกับฝึกเวทย์บทใหม่ไปเรื่อยแม้จะทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็ตาม จนวันนี้ก็ยังคงทำเหมือนเดิมทั้งวิ่ง ยืดเส้นยืดสาย ฝึกเวทย์ รวมไปถึงสิ่งที่ถูกแนะนำมาอย่างเช่นนั่งสมาธิ เนื่องจากออสตินสังเกตเห็นว่าลูเทียร์ยังขาดสมาธิในการควบคุมตัวเอง เมื่อต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่เก่งกว่า เขาจึงได้แนะนำวิธีนี้มา
“ไงฟารัส ว่างรึเปล่า มาประลองกันหน่อยสิ”
ลูเทียร์ได้กลับมาที่โรงฝึกอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้มาหลายวัน ก่อนที่วันนี้จะเจอกับคนรู้จักอย่างฟารัส ซึ่งเป็นคนที่เธอเคยประลองด้วยไม่กี่วันก่อน และเหมือนว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้มีธุระอะไรอยู่ในตอนนี้จึงได้รับปากไป
การต่อสู้จะเริ่มขึ้นทันทีหลังจากที่เสียงสัญญาณดังขึ้น ทั้งคู่พุ่งเข้าหากันก่อนจะเริ่มการสลับโจมตีและป้องกัน ลูเทียร์ที่ฝึกฝนตัวเองมาหลายวันและการเปลี่ยนดาบใหม่ก็ทำให้การโจมตีมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ถึงยังนั้นฟารัสก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยสะทกสะท้านสักเท่าไหร่ จนสุดท้ายก็เป็นลูเทียร์เองที่เสียจังหวะและโดนเล่นงานซะเอง
“ขออีกรอบ” เธอรู้สึกว่าถ้าสู้กันอีกครั้งต้องชนะได้แน่ๆ
การประลองครั้งที่สองเริ่มขึ้น แต่สุดท้ายก็จบลงที่ลูเทียร์เธอก็ยังคงแพ้อยู่ แต่ในครั้งนี้นั้นเธอแพ้เพราะทักษะดาบที่อ่อนกว่า
“ไม่กี่วันจะพัฒนาขึ้นเยอะเลย” ฟารัสกล่าวชมเพราะเห็นอีกฝ่ายพัฒนาขึ้นอย่างผิดหูผิดตา
“ก็ยังไม่เก่งมากหรอก”
หลังคุยกันจบทั้งคู่ก็ได้ประลองกันอีกหลายยก แม้ผลจะออกมาเหมือนเดิมตลอด และก็เข้าถึงช่วงเที่ยงของวันทั้งคู่จึงแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวของตัวเอง โดยลูเทียร์ก็ออกไปหาของกินและหาเควสที่ได้เงินดีๆเพื่อหวังจะหาห้องใหม่ เพื่อไม่ให้ตัวเองรบกวนเกรซจนเกินไป แต่ก็เหมือนว่าห้องพักส่วนใหญ่จะเต็มจนหมดเพราะในอีกไม่กี่เดือนจะมีงานการแข่งขันของนักประดิษฐ์ ดังนั้นพวกนายหน้าต่างๆจึงต้องมาดูงานก่อนเพื่อหาคนเก่งๆเข้าไปทำงานด้วย
ทางด้านของลอยด์และอีฟ
หลังจากที่ได้ถูกช่วยทั้งสองครั้งจากลูเทียร์ ตลอดหลายวันทั้งคู่ก็มีความเห็นที่ตรงกันว่าพวกเขานั้นยังอ่อนประสบการณ์ แถมยังไม่มีเวทย์บทไหนที่อำนวยความสะดวกในการต่อสู้อีก พอความเห็นตรงกันอย่างนี้พวกเขาจึงไปเรียนเวทย์บทใหม่มา ซึ่งก็ใช้เวลานานอยู่พอสมควรในการเลือก เพราะไม่อยากเสียเวลามาเรียนใหม่อีกรอบ พอเลือกเสร็จทั้งคู่ก็ได้ใช้เวลาฝึกอยู่ประมาณสองวันจนเริ่มเห็นผล แต่ถึงอย่างนั้นลอยด์ที่ไม่อยากให้เกิดข้อผิดพลาดอีกจึงขอให้ฝึกอีกสักหน่อย
“พวกเราออกไปทำภารกิจกันเถอะ” อีฟพูดขึ้นขณะที่ตัวเองกำลังนอนเล่นอยู่บนเตียง ส่วนลอยด์ก็วิดพื้นอยู่ข้างเตียง
“จะไปทำภารกิจ หรืออยากจะไปทดสอบเวทย์ใหม่กันแน่” เด็กหนุ่มที่วิดพื้นเสร็จได้ดันตัวขึ้นมา พร้อมกับนั่งลงบนเตียง
“ก็ทั้งสองนั้นแหละ ตอนนี้เงินเราก็พออยู่ได้หลายอาทิตย์ แต่ถ้ามีเงินมากกว่านี้อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ใช่หรอ และนายก็ไปอาบน้ำซะ! ฉันเหม็นเหงื่อ!”
“เหม็นหรอ?” ลอยด์พูดลอยๆขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะกระเถิบเข้าไปใกล้พร้อมกับเอนตัวนอนลงข้างๆ ซึ่งในเวลาต่อมาหลังมือของอีฟก็ได้กระแทกเข้าที่จมูกอย่างจัง
“โอ้ย! เจ็บนะเนี่ย” เจ้าตัวร้องพร้อมกุมจมูกที่ไม่รู้หักรึเปล่า
“ก็บอกให้ไปเช็ดตัว นี่ยังมานอนเอาเหงื่อเช็คผ้าปูเตียงอีก รู้ไหมกลิ่นมันติดแถมฉันก็ไม่อยากซักบ่อยๆ” สาวผมดำที่นอนเล่นอยู่ได้ลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะใช้หนังสือทุบตีเพื่อให้อีกฝ่ายไปเช็ดตัว
ฝั่งชายหนุ่มที่โดนเล่นงานก็ไม่อยู่ทน ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเอาผ้าเปียกเช็ดตามตัว พร้อมกับพูดอะไรมุบมิบคนเดียว
“หรือเราทำอะไรผิดไป” ดูเหมือนตั้งแต่ได้คำเตือนจากอลัน ลอยด์ก็ได้พยายามเข้าใกล้อีฟมากขึ้นเพื่อให้เธอรู้ว่าเขาสนใจ ซึ่งถึงพวกเขาจะอยู่ด้วยกันตลอดแต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกว่าเพื่อนสาวคิดกับเขาแค่เพื่อนสนิท และโดยตลอดหลายวันที่ผ่านมาเจ้าตัวก็ได้โดนบ่นโดนว่าตลอด เหมือนกับว่าอีกฝ่ายจะไม่ชอบท่าทีที่เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ จนเจ้าตัวคิดไปว่าเขาควรสารภาพไปเลยดีกว่าไหม แต่พอคิดไปคิดมาก็กลัวจะเสียเพื่อนสนิทไปอีกถ้าอีกฝ่ายใจไม่ตรงกัน
“อีฟ แต่งตัวเลย” ลอยด์ตะโกนออกจากห้องน้ำเพื่อให้อีฟเตรียมตัวออกไปข้างนอก
ร่างกายที่เปียกชุ้มไปด้วยน้ำได้ก้าวออกมาจากห้องน้ำ ก่อนที่สายตาของเขาจะเหลือบไปเห็นเพื่อนสาวที่กำลังถอดเสื้อ ความรู้สึกของชายหนุ่มได้พลั่งพลูแทบจะทันที จนตรงนั้นของเขาได้ค่อยๆดันกางเกงออกมา
“นี่! ทำไมไม่ใส่เสื้อผ้าซักที” อีฟที่กำลังสวมเครื่องแต่งกายได้ถามลอยด์ที่ออกมาจากห้องน้ำแล้ว
“เดี๋ยวๆ ขอเข้าห้องน้ำอีกสักแปปนะ พอดีปวดท้อง” ก่อนจะรีบวิ่งเข้าห้องน้ำและปิดประตูเสียงดัง
“อะไรของหมอนั้น?”
หลังจากแต่งตัวพร้อมกับเตรียมอุปกรณ์เสร็จ ทั้งสองก็ได้ออกจากที่พักและลงไปเดินตะลอนเล่นที่ตลาดเพื่อดูอุปกรณ์ใหม่สักหน่อย จนกระทั่งสายตาของอีฟหันไปเห็นป้ายประกาศบางอย่าง และไม่ทันที่จะได้พูดอะไรเธอก็ได้ดึงแขนลอยด์พร้อมกับลากตัวเข้าไปในร้านนั้นทันที
“นี่ลุงคะ ป้ายหน้าร้านนี่ของจริงรึเปล่า” เธอพูดออกมาพร้อมกับลอยด์ที่ยังงงอยู่ว่าเข้ามาในร้านนี้ทำไม
“จริงสิ แม่หนูจะรับทำงานนี้หรอ” ชายดูมีอายุพร้อมหนวดเครายาวได้ตอบกลับขณะกำลังซ่อมสิ่งประดิษฐ์
“ใช่ค่ะ”
“งั้นก็ระวังตัวด้วยละกัน” ชายแก่อวยพรให้ทั้งสองก่อนจะก้มหน้าซ่อมของตรงหน้าต่อ
เมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่หลอก เธอจึงลากลอยด์ออกไปข้างนอกและตรงไปร้านขายอาวุธ โดยที่ชายหนุ่มยังงงอยู่ว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่สุดท้ายทุกอย่างก็เรียบร้อยทั้งงานและอุปกรณ์ใหม่ จนลอยด์ที่ถูกลากไปนู้นไปนี่ยังงงอยู่เลย
หน้าเมือง
“เอาล่ะเตรียมตัวพร้อมแล้ว” อีฟสำรวจอุปกรณ์ทั้งดาบสั่นและลูกธนูให้พร้อม ก่อนจะหันไปถามลอยด์ที่ดูกำลังสับสนอะไรบางอย่างอยู่
“ทำไมไม่ตรวจอุปกรณ์ล่ะ”
“เดี๋ยวนะ เรากำลังจะไปไหนกัน นี่ฉันรู้สึกเหมือนอะไรมันผ่านไปเร็วมากเลย” พร้อมกับเกาศีรษะไปพลาง
เมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อนสนิท อีฟถึงกับรู้สึกอยากจะเอาธนูไล่ฟาดคนตรงหน้าเสียให้ได้ แต่ด้วยอีกฝ่ายเป็นด่านหน้าในการต่อสู้เธอจึงระงับอารมณ์เอาไว้ก่อน ก่อนจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดว่ามีอะไรบ้าง โดยเริ่มจากงานเก็บคริสตัลมานาที่ค่าตอบแทนกิโลกรัมละ 5000 กูซ และไปที่ร้านขายอาวุธที่อีฟได้ซื้อเกราะโซ่เอาไว้เพื่อป้องกัน ก่อนจะจบที่ไปรับภารกิจจากกิลด์เผื่อไว้ว่าหาคริสตัลมานาไม่พบ
“อย่างนี้นี่เอง พอดีฉันเหม่ออยู่นะ ฮ่าๆๆ” ที่จริงในหัวยังคิดถึงฉากนั้นอยู่
“ฮ่าๆๆ อะไรของนายเนี่ย ดูเหมือนทำตัวแปลกๆตั้งแต่ไปคุยกับเพื่อนของพี่ลูเทียร์นะเนี่ย มีอะไรจะบอกฉันรึเปล่า” อีฟเดินเข้าไปใกล้ๆลอยด์พร้อมกับยื่นหน้าและส่งสายตาเพื่อเข้น ส่วนทางด้านชายหนุ่มก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆพร้อมกับบอกว่าไม่มีอะไร จนสุดท้ายทั้งสองก็ได้หยุดเล่นและเช็กอุปกรณ์อีกรอบ
เมื่อเตรียมตัวจนพร้อมแล้วทั้งสองจึงได้เริ่มออกเดินทาง โดยเป้าหมายคือถ้ำที่อยู่ทางใต้ของเมืองซึ่งอยู่ในป่าฮัทฟา แต่ใช่ว่าถ้ำที่มีคริสตัลมานานั้นจะหาได้ง่ายๆ เพราะถ้าหากันง่ายๆราคาคงไม่สูงอยู่ขนาดนี้หรอก จนกระทั่งทั้งสองก็ได้เสียเวลาในการค้นหาถ้ำที่มีนั้นจนเลยเวลาไปหลายชั่วโมง ซึ่งในระหว่างนั้นเควสที่รับมาจากกิลด์ก็ดันเสร็จซะก่อน จึงทำให้ลอยด์คิดว่าควรจะกลับก่อนดีกว่าเพราะนี่ก็เลยจนใกล้เย็นแล้ว
“ขออีกชั่วโมงนึง” ลอยด์ที่เห็นอีฟตั้งใจมากๆก็ไม่อยากจะขัดใจสักเท่าไหร่ เขาจึงให้เวลาอีกสักนิดเผื่อจะเจอ
ทั้งสองได้เริ่มเดินหาอีกครั้งซึ่งในครั้งนี้ทั้งคู่ก็ได้เจอกับถ้ำที่ดูมีแวว และเพื่อไม่ให้เสียเวลาลอยด์ก็ได้จุดคบเพลิงทันทีก่อนจะเดินนำเข้าถ้ำไป
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา
ลอยด์ได้วิ่งหน้าตั้งออกมาจากถ้ำโดยมีพวกก็อบลินวิ่งตาม ส่วนอีฟนั้นก็ได้อยู่บนหลังของเพื่อนสนิทพร้อมกับถุงคริสตัลมานาในมือที่กำแน่น โดยเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีอะไรมากมายแค่พวกเขาได้เข้าไป และพบกับทางเดินที่ลึกลงไปใต้ดินแต่ภายในกลับมีแสงสว่างที่แทบไม่ต้องใช้คบเพลิง จนกระทั่งเดินไปได้สักพักคริสตัลมานาก็ได้มาอยู่ตรงหน้าของทั้งคู่ และแทบจะไม่ต้องพูดคุยอะไรกันสองคนได้เริ่มจับนู่นจับนี่เข้ากระเป๋าที่เตรียมมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคาดการณ์น้ำหนักที่ได้มาน่าจะ 5 กิโลกรัม ซึ่งในช่วงเวลาดีใจอยู่นั้นเสียงของมอนสเตอร์ก็ได้ดังขึ้นไม่ไกลมาก
“รีบไปก่อน เดี๋ยวค่อยกลับมาเอาก็ได้” ลอยด์ได้พูดกับอีฟที่พยายามเอาคริสตัลมานาอีกก้อน ซึ่งจนแล้วจนรอดเจ้าตัวก็ลากอีฟออกมาได้ แต่ก็ด้วยท่าทางที่ดูอาลัยอาวรณ์ซะเหลือเกิน
สองขาได้วิ่งกระโดดหลบโขดหินไปมาจนถึงทางขึ้น แต่ด้วยอะไรไม่ทราบอยู่ๆอีฟก็ได้ล้มลงพร้อมกับมีลูกธนูปักอยู่ที่ขา ลอยด์เห็นดังนั้นก็ไม่รอช้าอุ้มอีกฝ่ายขึ้นหลังพร้อมกับรีบก้าวขึ้นไป แต่ละก้าวนั้นต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากเพราะทางมันลาดชัน ส่วนทางด้านอีฟเธอที่รู้สึกผิดเล็กน้อยก็ได้ช่วยลอยด์โดยหยิบธนูขึ้นมายิงก็อบลินที่กำลังตามมา โดยคริสตัลมานานั้นก็ได้พาดอยู่ที่ไหล่ของเธอ จนในที่สุดทั้งคู่ก็ออกมาจากถ้ำได้โดยที่อีฟเสียสละคันธนูไป
“ขอพักก่อน ตอนนี้ไม่ไหวจริงๆ” ลอยด์ที่วิ่งออกมาได้สักระยะได้นอนแผ่ลงกับพื้น โดยอีฟก็ได้ดูแผลตัวเองพร้อมกับราดน้ำยาอะไรบางอย่างลงที่แผล ซึ่งสิ่งนั้นก็คือน้ำยาที่เอาไว้ขับพิษเนื่องจากพวกก็อบลินมักชอบทาพิษลงที่อาวุธของพวกมัน
“โชคดีจริงๆที่ซื้อมาเผื่อ” เจ้าตัวพูดไปพร้อมกับพันผ้าเพื่อห้ามเลือด
“วันหลังดูสถานการณ์หน่อยนะ เมื่อกี้เกือบเอาตัวไม่รอด” ลอยด์ที่โกรธอยู่เล็กน้อยได้บ่นออกมา
“ขอโทษที พอดีหิวเงินไปหน่อย”
ประมาณสิบนาทีผ่านไปเมื่อหายเหนื่อยและพร้อมเดินทางกลับ ทั้งคู่ก็ได้เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง แต่ทว่าอยู่ๆก็ได้มีมอนสเตอร์ฝูงหนึ่งเดินผ่านหน้าของพวกเขาทั้งคู่ไป ทันทีที่เห็นทั้งคู่ก็พุ่งไปแอบหลังพุ่มไม้ทันที เพราะดูจากจำนวนแล้วไม่น่าจะสู้ได้แถมอีฟก็ยังบาดเจ็บอยู่
“เอาไงกันดี” อีฟถาม
“พวกเราสู้มันไม่ไหวหรอก รอจนกว่าพวกมันจะไปหมดดีกว่า” พร้อมกับแนะนำให้เอาดินมาทาตามตัวเพื่อกลบกลิ่น
ทั้งคู่นั่งเฝ้ามองฝูงมอนสเตอร์ที่มีทั้งก็อบลิน ฮ็อบก็อบลินที่พัฒนาจากก็อบลินที่อยู่กับมานาคริสตัล ไซครอปที่ไม่ใช่จะเจอได้ได้ง่ายๆเพราะส่วนใหญ่จะอยู่ในวิหารโบราณ หมาป่าที่เป็นพาหนะของก็อบลิน ออร์คหลายสิบตัวและโทรลที่น่าจะอยู่บนภูเขาน้ำแข็งทางเหนือของเมือง ซึ่งเมื่อแอบดูมาจนถึงตอนนี้แล้วก็แทบจะทำให้ทั้งคู่แทบช็อก เพราะขนาดกองทัพขนาดนี้ถ้าพวกมันบุกเมืองต้องต้านเอาไว้ลำบากแน่ๆ
“พวกมันไปหมดแล้ว ต้องรีบกลับไปบอกที่กิลด์” อีฟเมื่อเห็นจังหวะหนีก็ได้สั่งให้ลอยด์อุ้มเธอและออกวิ่งทันที แต่ในจังหวะที่กำลังจะก้าวขาทั้งคู่ก็เจอกับสิ่งๆหนึ่ง ที่กำลังเดินตามกลุ่มมอนสเตอร์อยู่ห่างๆ
“อย่าบอกนะว่านั้นแม่มด”
แม่มดหรือผู้ใช้เวทย์คำสาป เป็นกลุ่มคนเพียงน้อยคนที่สามารถใช้เวทย์ที่เกี่ยวกับชีวิตได้อย่างน่าเหลือเชื่อ แต่เนื่องจากอานุภาพของเวทย์และผลที่ตามมาจึงทำให้ผู้คนหวาดกลัว จนทำให้เกิดการขับไล่แม่มดพร้อมกับทำลายตำราเวทย์ที่บันทึกวิธีการศึกษาต่างๆ แต่ก็ใช่ว่าเหล่าแม่มดจะสูญพันธ์ไปเพียงเพราะถูกไล่ต้อนและขับไล่ เพราะตลอดเวลาผู้คนมากมายก็ยังต้องการเวทย์เหล่านั้น เวทย์ที่สามารถทำให้หมู่บ้านๆหนึ่งที่แม้แต่หญ้าสักต้นก็ไม่สามารถเติบโตได้ นั้นจึงทำให้เหล่าแม่มดเป็นที่หวาดกลัวจากผู้คน
อีฟที่ตกใจพร้อมๆกับลอยด์ที่หันไปเห็นพอดีก็เผลอได้ทำเสียงดังออกมา และนั้นเองเป็นจังหวะที่หญิงสาวที่สวมชุดสีดำพร้อมกับหมวกที่ดูยังไงก็เป็นแม่มดได้หันมา ก่อนจะค่อยๆเดินตรงมาทางพวกเขาพร้อมก้อนมานาสีดำในมือ
“ถ้าบอกวิ่ง วิ่งเลยนะ” ทั้งคู่มองตากันก่อนที่ลอยด์จะใช้เวทย์ปลดขีดจำกัด ส่วนทางด้านของอีฟก็ได้ใช้เวทย์ลวงตาสร้างกระต่ายให้กระโดดไปอีกทางเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ และนั้นก็เป็นครั้งแรกที่พวกเขาใช้เวทย์บทใหม่กัน ก่อนจะออกวิ่งเมื่อกระต่ายกระโดดออกจากพุ่มไม้
ตู้ม
เสียงระเบิดได้ดังขึ้นหลังจากที่พวกเขาวิ่งออกมาได้สักระยะ โดยเมื่ออีฟหันกลับไปดูก็เห็นว่ามีหลุมลึกซึ่งมันบอกได้ว่าก้อนมานาสีดำนั้นอานุภาพรุนแรงขนาดไหน
กิลด์ไกเทอร์โร่
“มีเรื่องมาแจ้งค่ะ” อีฟได้เดินไปคุยกับเกรซที่กำลังนั่งบันทึกอะไรอยู่ ส่วนทางด้านลอยด์ก็ไปนั่งพักหลังจากวิ่งมาชั่วโมงกว่าๆ
อีฟได้เริ่มเล่าเหตุการณ์ที่ตัวเองเจอมา ทั้งเรื่องฝูงมอนสเตอร์ขนาดใหญ่ แม่มด รวมไปถึงคาดการณ์หัวหน้าของพวกมอนสเตอร์ ซึ่งทันทีที่เกรซฟังทั้งหมดเธอก็ไม่รอช้าวิ่งขึ้นไปห้องของออสตินทันที ก่อนจะลงมาพร้อมคำสั่งให้รวบรวมนักผจญภัยทั้งหมดที่อยู่ในเมืองมาประชุมด่วน เพื่อเตรียมตัวป้องกันจากการบุกรุก
ทางด้านอีฟและลอยด์พวกเขาทั้งคู่ได้ขึ้นเงินจากภารกิจก่อนจะขอตัวกลับ แต่ว่าก็ได้มีคำสั่งให้พวกเขาต้องมาเข้าประชุมด้วยเนื่องจากเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ ซึ่งทั้งคู่ก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร
“พรุ่งนี้จะมีประชุมกิลด์สินะ วันนี้ก็เมื่อยตัวไปหมด” อีฟได้พูดลอยๆออกมาในขณะที่นอนอยู่บนเตียง หลังจากรักษาแผลและไปรับเงินจากงานที่ไปหามานาคริสตัล
“นั้นสิ ไม่คิดเลยว่าการไปทำภารกิจครั้งนี้จะเจอเรื่องไม่คาดฝันแบบนั้น” ลอยด์ที่นอนข้างๆก็ได้พูดออกมา ก่อนที่ทั้งคู่จะถอยหายใจและเผลอหลับไป
วนกลับไปที่ตอนเช้าก่อนที่อีฟและลอยด์จะเจอกับแม่มด
ชายหนุ่มผมเงินที่มีชื่อว่าอลันตอนนี้ยังคงนอนหลับอยู่ที่ร้านเหล้า ก่อนที่อยู่ๆเขาสะดุ้งตื่นพร้อมกับพึมพัมอะไรสักอย่าง แล้วมุ่งตรงกลับไปยังที่พักโดยทำการล้างหน้าล้างตาอาบน้ำจนเนื้อตัวสะอาด แต่ก็ไม่ได้ลืมที่จัดแจงโกนหนวดโกนเคราและจัดทรงผมให้ดูดีที่สุด โดยพอทุกอย่างเสร็จสัพอลันก็ได้ออกจากที่พักและตรงไปยังตลาดซื้อดอกไม้ช่อใหญ่ ก่อนที่จะเดินทางไปยังบ้านหลังหนึ่งที่เป็นจุดหมาย
ก็อกๆ
เสียงเคาะประตูจากอลันดังขึ้น ก่อนที่จะมีผู้หญิงวัยกลางคนมาเปิดประตูพร้อมคำกล่าวต้อนรับ
“ช่วงนี้งานเยอะหรอจ๊ะ” หญิงวัยกลางคนถามก่อนจะรับดอกไม้ที่อลันซื้อมา
“พอดีช่วงนี้ต้องทำงานดึกน่ะครับ” อลันตอบกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนจะขอตัวไปพบใครบางคน
ชายหนุ่มเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองก่อนจะเข้าไปยังห้องห้องหนึ่ง ซึ่งตรงประตูก็ได้มีป้ายแขวนเอาไว้ว่า ‘ทริกซี่’ หลังจากเข้ามาในห้องอลันก็ได้ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งลงข้างๆเตียง พร้อมกับจับมือของหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงอย่างนุ่มนวล โดยหญิงสาวตรงหน้ามีชื่อว่า ทริกซี่ คอร์ด อายุ 25 ปี เธอมีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนยาวลงมาถึงหลัง โดยในขณะนี้นั้นได้นอนหลับเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่ เพราะเมื่อ 4 ปีก่อนในวันที่ได้ออกไปสำรวจดันเจี้ยนที่เพิ่งถูกค้นพบ ทริกซี่เธอได้รับพิษที่รุนแรงจนเกือบถึงชีวิต แต่ด้วยโชคยังดีที่ปริมาณพิษที่รับไปนั้นมีปริมาณน้อยจึงไม่ทำให้ถึงตาย แต่ด้วยการรักษาที่ไม่ได้ทำทันที จึงทำให้พิษได้เข้าไปทำลายอวัยวะสำคัญจนในเวลาต่อมาเธอก็ได้หลับไปตั้งแต่ตอนนั้น
“ขอโทษทีนะที่ไม่ได้มาหลายวันเลย พอดีช่วงนี้งานยุ่งนิดหน่อยนะ วันนี้ฉันมีเรื่องเล่าของผู้หญิงคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังด้วยแหละ พอดีเป็นคนที่ลุคมันพามาแนะนำให้รู้จักน่ะ ชื่อลูเทียร์ ตอนแรกก็คิดว่าเป็นคนทั่วๆไปนะ แต่พอรู้จักจริงๆแล้วดันเป็นคนแปลกๆซะได้สิ เจ้าตัวชอบการต่อสู้มากๆ เหมือนชีวิตนี้มีแต่การต่อสู้ แต่เอาจริงๆเหมือนจะน่าสงสารนิดหน่อยนะ มาเมืองวันแรกก็โดนขโมยกระเป๋าเงินเลย จนตอนนี้ก็ยังต้องอาศัยอยู่ที่กิลด์น่ะ แล้วยังมีอีกนะเกี่ยวกับ… ” อลันเล่าเรื่องออกมาพร้อมรอยยิ้ม แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ยินสิ่งที่เขาเล่าไปก็ตาม
แอด
เสียงประตูไม้ดังขึ้นก่อนจะปรากฎเป็นแม่ของทริกซี่ที่เดินเข้ามาพร้อมกับแจกันดอกไม้ ก่อนจะเดินไปวางไว้ตรงโต๊ะข้างๆหัวเตียงพร้อมกับเอาดอกไม้ที่เหี่ยวอันเก่าไปทิ้ง ซึ่งเมื่อเสร็จธุระเธอก็ได้เดินออกจากห้องไปพร้อมพูดกับอลัน “คุยกันให้สนุกนะ”
เมื่อเธอได้ออกจากห้องไปอลันก็ได้เล่าเรื่องให้กับทริกซี่ฟังต่อ ซึ่งเจ้าตัวก็ได้เล่าเรื่องทั้งลุคที่กำลังสร้างสิ่งประดิษฐ์เจ๋งๆอยู่ ซึ่งมันก็หลายปีแล้วแต่เจ้าตัวก็ยังทำไม่เสร็จสักที ก่อนจะโยงไปที่เรื่องของกิลด์ที่ออสตินต้องออกไปรับหน้าเอง จนหัวข้อสนทนาก็ได้วนไปเรื่อยเนื่องจากอลันก็ไม่ได้มีเรื่องสนุกมากมาย ถึงแม้เจ้าตัวจะเป็นคนที่ต้องหาข่าวก็ตาม จนเมื่อมาถึงเวลาหนึ่งอลันก็ได้กุมมือหญิงสาวด้วยสองมือ ก่อนจะพูดคำพูดที่เขาจะพูดทุกครั้งที่มาหาทริกซี่
“ไม่ว่าอีกกี่สิบปีฉันต้องหาทางรักษาให้ได้ สัญญาเลย รออีกหน่อยนะ” นั้นแหละคือเหตุผลที่อลันจึงกลายเป็นนักหาข่าว เพราะเขาต้องการหาคนที่สามารถรักษาหญิงอันเป็นที่รักให้ได้ แม้จะต้องใช้เวลานานสักเท่าไหร่ก็ตาม
อลันได้วางมือของเธอลงก่อนจะห่มผ้าให้อีกครั้ง โดยก่อนจะไปก็ไม่ได้ลืมหอมแก้ม
“ผมคงต้องไปแล้วนะครับ” อลันลงมาลาเจมิลี่หรือก็คือแม่ของทริกซี่นั้นเอง โดยขณะจะได้ออกจากบ้านก็ได้มีคนเข้ามาพอดี
“สวัสดีครับคุณโอเว่น” พ่อของทริกซี่นั้นเอง โดยที่ในมือของเขานั้นมีเป็ดมาด้วยสองตัว
“เอาไปกินไหมล่ะ ช่วงนี้นายดูผอมลงนะ” โอเว่นถามอลันหลังจากสังเกตเห็นแฟนหนุ่มของลูกสาวซูบลง
“ไม่ดีกว่าครับ พอดีผมก็จะไปอยู่แล้ว ขอให้ทานให้อร่อยนะครับ” อลันกล่าวลาก่อนจะรีบเดินออกจากบ้านไป
“เขายังคงพยายามหาทางรักษาทริกซี่อยู่สินะ ทั้งที่คนปรกติน่าจะตัดใจและหาคนใหม่ไปแล้วแท้” โอเว่นพูดลอยๆกับภรรยา
หลังจากออกจากบ้านของทริกซี่ อลันก็ได้ตรงไปยังตลาดและหาอะไรทานลองท้อง เพราะช่วงบ่ายของวันเขาจะเริ่มหาข่าวอีกครั้ง โดยคราวนี้เจ้าตัวจะแปลงเป็นขอทานเพื่อหาข่าวจากพวกอันธพาลแถวๆเขตขอทาน ซึ่งการเตรียมการก็ไม่ได้มีอะไรยุ่งยากเพียงแค่หาอะไรมาทาตัวให้เหม็น ก่อนจะจบลงที่เวทย์แปลงกายและตรงไปยังเขตขอทาน
การเริ่มทำงานเป็นขอทานก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ทำตัวให้น่าสงสารที่สุดเพื่อเรียกร้องความสงสาร โดยสารรูปตอนนี้ของอลันนั้นก็เป็นชายผมดำยาวรูปร่างซูบผอม พร้อมกับเสื้อคลุมที่ยาวเกือบจะถึงพื้นและขันอีกหนึ่งใบ ซึ่งพอเข้ามาถึงเจ้าตัวก็ได้ตรงไปหามุมดีๆเพื่อรอ รอให้ใครสักคนที่น่าจะพอมีข่าวที่น่าสนใจผ่านมา ก่อนจะเริ่มติดตามเพื่อฟังข้อมูลที่พอจะขายได้ และดูเหมือนว่าเหยื่อจะมาเร็วกว่าที่คาด
“แกเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับพวกที่หายตัวไปรึเปล่าวะ” ชายหนึ่งในสามคนพูดขึ้น
“ข่าวอะไรวะ” ชายคนที่สองพูดขึ้น
“ก็ข่าวเกี่ยวกับพวกนักประดิษฐ์ที่หายตัวน่ะสิ ข้าได้ยินมาจากพวกชั้นใต้ดินมันพูดกัน” ชายที่เปิดเรื่องได้ตอบคำถามเพื่อนของมัน
อลันที่แอบฟังอยู่พอได้ยินก็นึกได้ทันทีว่าเป็นข่าวเกี่ยวกับงานที่ลุคเพิ่งทำไป ทันทีที่นึกได้เขาก็ไม่รอช้าลุกขึ้นจากที่ก่อนจะเดินตามไปอย่างใกล้ชิด จนไปถึงคลับแห่งหนึ่งที่ซึ่งพวกมันก็ได้เข้าไป แต่เขาดันเข้าไม่ได้นะซิ
“บ้าจริง ไอ้พวกนั้นดันเข้าที่ยากๆซะงั้น” อลันได้ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหาแผนอื่น
สถานที่ที่พวกอันธพาลเข้าไปนั้นคือ ไฮท์ ซึ่งเป็นคลับสำหรับพวกขุนนางหรือพวกคนใหญ่โตต่างๆ ซึ่งการจะเข้าไปนั้นก็ไม่ยากอะไรหรอก เพียงแต่แค่ผ่านประตูเข้าไปเวทย์แปลงกายของอลันก็จะคลายทันทีนะซิ เนื่องจากในคลับนั้นมีไอเทมนาฬิกาลบล้างเวทย์ ซึ่งจะทำให้มานาในตัวคนที่อยู่ข้างในไม่เสถียรจากคลื่นเสียงที่ไปปั่นป่วนการไหลเวียนมานา
‘มีไม่กี่ทาง จะรอหรือปลอมตัวเข้าไป’ ชายหนุ่มยืนคิดสักพักก่อนจะตัดสินใจได้
อลันทำการล้างเนื้อล้างตัวที่เหม็นก่อนจะทำการเปลี่ยนร่างเป็นชายคนหนึ่ง ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ลืมที่จะเอาอะไรปิดหน้าปิดตาไปด้วย ก่อนที่จะเดินมาต่อแถวที่มีคนไม่มากนักแต่เต็มไปผู้คนที่สวมเสื้อผ้าราคาแพง จนกระทั่งมาถึงคิวของอลันที่ปลอมตัวเป็น….
“สวัสดีครับท่านเลเซอร์ ทอร์ช” การ์ดที่เฝ้าอยู่หน้าทางเข้าได้กล่าว
เลเซอร์ ทอร์ช ในตอนนี้กำลังพักรักษาตัวอยู่เนื่องจากเป็นคนไข้หวัดรุนแรง ดังนั้นอลันจึงเลือกเขาที่จะเป็นตั๋วผ่านเข้าไป ซึ่งพอผ่านประตูเข้าไปร่างเวทมนตร์ก็ได้คลายทันที และในจังหวะนั้นเองเขาก็ต้องรีบวิ่งเข้าไปด้านในเพื่อหลบเลี่ยงสายตาจากคนที่เดินสวนออกมา รวมถึงการ์ดคนอื่นที่กำลังเฝ้าอยู่ ซึ่งพอเข้ามาด้านในได้นัั้นแสงจากลูกไฟดิสโก้ก็ได้แยงตาของเขาเข้าทันที
เสียงดนตรี แสงหลากสี ผู้คนที่เต้นกัน เหล่าคนที่เสพยา ทั้งหมดที่ควรจะมีในคลับที่นี่มีหมด พอเห็นอย่างนั้นเพื่อความกลมกลืนเจ้าตัวจึงได้เดินไปสั่งเครื่องดื่มจากบาร์ โดยตลอดเวลาก็ทำการสอดส่องว่าพวกนั้นอยู่ที่ไหนกันแน่ แต่ไม่ว่าจะมองหายังไงก็หาไม่เจอเลยสักคน จนกระทั่งได้สังเกตเห็นประตูที่อยู่ด้านในสุดซึ่งจะมีคนเข้าออกเป็นระยะ พอเห็นอย่างนั้นอลันก็ไม่รอช้ารีบเดินแหวกฝูงชนจนมาถึงประตู
‘ไม่มีการ์ด ไม่มีคนเฝ้าประตู ที่นี่มันหละหลวมดีจังแหะ’ เขาคิดในใจเพราะตั้งแต่เข้าประตูมาก็ง่ายแล้ว นี่จะเข้าไปอีกห้องที่ดูท่าจะมีอะไรอยู่ แต่ก็ดันไม่มีคนเฝ้าเลยสักนิด
แสง เสียงดนตรี ผู้คนที่เต้น ที่นี่ไม่มีแบบนั้นเลย จะมีก็แต่เสียงเฮของพวกที่กำลังเชียร์คนที่กำลังสู้กันอยู่กรง หรืออีกพวกก็คือพวกที่กำลังนั่งพนันพร้อมคลอเคลียกับผู้หญิง ในทันทีที่เข้ามาอลันก็เจอเป้าหมายของเขาแทบจะทันที เนื่องจากพวกมันนั้นกำลังนั่งอยู่ใกล้กับขุนนางคนหนึ่ง และในเวลาไม่นานแผนการบางอย่างก็ได้ผุดขึ้นมาในหัว
“คู่ต่อไปคือชายหนุ่มที่ไม่รู้ที่มา มาคัส! กับอีกฝั่งชายผู้ล้มศัตรูห้าคนได้สบายๆ โกไรแอธ!” เสียงคนพากษ์ได้พูดแนะนำนักสู้ซึ่งชายที่ชื่อมาคัสก็คืออลันนั้นแหละ โดยการที่ปลอมตัวที่ไม่ใช้เวทมนตร์ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะเจ้าตัวได้เตรียมผงสีเพื่อเปลี่ยนสีผมเป็นมีดำ พร้อมกับหนวดปลอมเล็กๆน้อยๆมาเผื่อเอาไว้ก่อนแล้ว
การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นโดยการที่อลันโดนต่อยเข้าที่กลางลำตัว ก่อนที่จะตามด้วยซัดหมัดซ้ายเข้าที่สีข้าง ซึ่งหมัดเมื่อครู่ก็ทำให้ชายหนุ่มเกือบจะล้มลงทันที แต่เขาก็สามารถโต้กลับได้โดยเตะเข้าที่ต้นขาข้างขวา ก่อนจะคอยหลบและคอยเตะไปพลางจนอีกฝั่งเริ่มจะทรงตัวแทบไม่ไหว จนในจังหวะสุดท้ายอลันก็ได้ต่อยเข้าที่จมูกของโกไรแอธก่อนจะต่อยเสยคางไป และก็ทำให้ผลแพ้ชนะออกมาอย่างผิดคลาด เนื่องจากมีแต่คนที่ลงข้างโกไรแอธจนทำให้เงินมากมายไหลมาทางนี้ โดยน่าจะรวมถึงพวกนั้นที่อลันต้องการให้พวกมันหัวเสียอีกด้วย
“โอ๊ะ เงินตก”
หลังจากที่รับเงินรางวัลอลันก็ได้เดินผ่านแถวๆพวกมัน ก่อนจะแกล้งทำเงินตกและเก็บอย่างช้าๆเพื่อเรียกความโลภสักเล็กน้อย จนกระทั่งเก็บเงินครบก็ได้เดินออกไป ซึ่งก็ดูเหมือนว่าแผนที่วางไว้จะได้ผล เนื่องจากพวกมันได้เดินตามออกมา และดูท่าจะเป็นคำสั่งจากตัวหัวหน้าซะด้วย
อลันยังคงเดินแหวกผู้คนจนสามารถมาถึงทางออก ก่อนจะรีบผ่านประตูออกไปและวิ่งไปด้านข้างของคลับเพื่อทำท่ายืนนับเงิน และรอให้ไอ้พวกนั้นตามมาเห็น
“เฮ้ย พอดีแกทำให้หัวหน้าพวกเราเสียเงินไปเยอะว่ะ พวกข้าเลยจะมาขอเงินคืน” หนึ่งในสามคนพูดขึ้นก่อนจะทำการง้างหมัดเพื่อจะต่อยเข้าที่อลัน แต่ภายในพริบตาเดียวภาพตรงหน้าของมันนั้นก็ได้เปลี่ยนไป จากชายหนุ่มที่กำลังยืนพิงกำแพงนับเงิน เป็นภาพเพื่อนมันเองที่กำลังต่อยกันอยู่
ความจริงแล้วทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาทีหรอก แต่มันเป็นการควบคุมจิตใจจากเวทย์สะกดจิตต่างหาก โดยเวทย์นี้สามารถประยุกต์ใช้อยู่สองวิธีหลักๆ โดยวิธีแรกก็คือการฝังคำสั่งใส่เหยื่อที่พอเลยมาจุดหนึ่งคำสั่งที่ฝังไว้ก็จะทำงาน หรือวิธีที่สองที่ทำให้เหยื่อหยุดนิ่งเหมือนกับหลับไปแต่ก็ยังสามารถตอบสนองได้ตามปรกติ
โดยทันทีที่อันธพาลคนนั้นง้างหมัดอลันก็ได้สะกดจิตทั้งสามคนเอาไว้ ก่อนที่จะถามเรื่องเกี่ยวกับคนที่หายตัวไป ซึ่งพวกมันก็ให้คำตอบว่ามันได้ยินมาจากคนเมาคนหนึ่ง ว่าได้จับนักวิทยาศาสตร์ไปใช้งานสร้างอะไรสักอย่าง และอีกข่าวที่อลันคิดว่าเป็นเรื่องเล่าตลกแน่ เพราะว่าพวกมันได้บอกว่าเคยได้ยินเสียงโหยหวนจากบริเวณปราสาทของท่านเจ้าเมือง และทั้งหมดก็มีแค่นี้ที่พวกมันรู้
“เสียเวลาจริงๆ แต่เดี๋ยวนะ ถ้าสิ่งที่พวกมันบอกเป็นความจริงล่ะ” อลันเดินจากไปพร้อมกับครุ่นคิดบางอย่างในหัว โดยที่ภาพข้างหลังเป็นพวกอันธพาลสามคนกำลังต่อยกันเอง
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 193
แสดงความคิดเห็น