STARCIN ภาคที่ 5 Elforia ตอนที่ 24 รวงผึ้ง
14 มกราคม พ.ศ.2576
"อา ! ในที่สุดพี่กิก็ให้พวกเราลงดันเจี้ยนสักที แสดงว่าพวกเราสามารถเป็นกำลังให้พี่เขาได้แล้วสินะ" คิโนริฉีกยิ้มเบิกบานเดินหน้าตั้งนำหน้าเพื่อน ๆ ของเธอไปยังหนึ่งในดันเจี้ยนที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตของเอลโฟเรีย
"มันเป็นเรื่องน่าดีใจตรงไหนที่ได้ลงดันเจี้ยน?" เอส่ายหัวพร้อมกับถอนหายใจ
"แหม่ ๆ อย่าทำเป็นปอดแหกไปเลยเจ้าเอ ยังไงพวกเราก็มีคุณมังกี้กับพี่สเตล่ามาด้วย" หลานยิ้มเยาะมองหน้าเอด้วยท่าทางยียวนชวนโมโห
"เด็ก ๆ เรามาถึงแล้ว"
เบื้องหน้าของพวกเขาเป็นดันเจี้ยนที่มีขนาดใหญ่ดูได้จากปากทางเข้ามีคนงานเอลฟ์เดินเข้าออกเป็นว่าเล่นดูไม่เหมือนสถานที่ที่จะมาฝึกต่อสู้จริงเสียเลย
"สวัสดีครับมังกี้แล้วก็เธอด้วยสเตล่า"
พวกเขาต่างก็ยิ้มทักทายกันเป็นปกติสุขราวกับเป็นภาพในฝันที่พวกซึฮากิอยากเห็นมาโดยตลอด สถานที่ที่พวกเขาสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นความตายอาจจะแค่ทะเลาะกันเรื่องแย่งงานบ้างแต่ก็ถือว่าไม่รุนแรง
"ดีจ้า...เจี๊ยก" มังกี้เหลือบมองแผ่นหลังและหัวของสเตล่า หากคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นเซนไม่ใช่สเตล่าเธอคงจะปีนขึ้นไปเกาะหัวแล้วแต่ด้วยส่วนสูงที่ไม่ต่างกันมากนักดูจะเป็นการรบกวนเกินไป
"ตอนนี้เส้นทางยังว่างอยู่เดินต่อไปแล้วจะมีทางแยก ทางขวาจะไปทางที่ที่พวกเราทำงานอยู่ส่วนทางซ้ายจะเป็นจุดที่มีมอนสเตอร์"
"ขอบคุณค่ะ ! คุณลุง" คิโนริกล่าวขอบคุณเสียงดังหนักแน่นด้วยรอยยิ้มร่าเริงจนแก้มป่อง
"ยิ้มได้สวยสุด ๆ ไปเลยล่ะ ขอให้โชคดี" เอลฟ์หนุ่มยิ้มเห็นฟันตอบรับพลางยกนิ้วโป้งให้ด้วย
เมื่อเดินเข้าไปได้สักพักตลอดเส้นทางที่โล่งโจ้งมีเพียงคบไฟที่ติดไว้ตามทางจนได้เจอทางแยกอย่างที่เอลฟ์คนเมื่อกี้บอก
"ฉันได้ยินเสียงขุดหินด้วยล่ะดูเหมือนจะทำงานกันหนักน่าดูเลย อยู่แต่ในถ้ำมืด ๆ แถมยังเต็มไปด้วยฝุ่นอีกถ้าเป็นฉันละก็เป็นลมไปแล้วแน่ ๆ" แมรี่เงี่ยหูฟังเมื่อมายืนอยู่ตรงทางแยก เธอถึงกับต้องเอามือปิดจมูกเพราะฝุ่นจากที่ที่พวกเขาทำงานมันฟุ้งออกมา
"เหอะ ๆ อีกหน่อยเดี๋ยวก็ได้คลุกฝุ่นแล้ว" เสียงหัวเราะแห้ง ๆ ของเอทำเอาแมรี่หันขวับจ้องตาเขม็ง
"คลุกไปคนเดียวเถอะ"
หลังจากที่เดินเข้ามาได้ไม่ถึงสิบนาทีจนมาถึงจุดที่ไม่มีคบเพลิงมีเพียงความมืดมิดอยู่ตรงหน้า แม้พวกเขาจะเดินคุยเล่นมาตลอดทางแต่เมื่อยืนอยู่จุดนี้ต่างก็รู้สึกหวั่น ๆ ไม่แพ้กัน
"พร้อมแล้วนะเด็ก ๆ จำที่ฝึกกันได้ใช่ไหม?" สเตล่าเฝ้ามองอยู่ข้างหลังปล่อยให้เด็ก ๆ ได้แสดงฝีมือ
"ฉันจะนำทางเอง" รอนเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่กว่าใครเพื่อนเดินนำหน้าเป็นดั่งโล่ป้องกันที่สามารถใช้เวทไฟส่องแสงสว่างได้อีกด้วย
"[ตรวจจับ]"
แมรี่เป็นคนเดียวที่สามารถใช้เวทตรวจจับได้แถมยังใช้ได้ตั้งแต่เลเวลสามซะด้วย เทียบกับพวกเราแล้วถือว่าพัฒนาไปไวมาก สเตล่าเฝ้ามองดูการกระทำเก็บรายละเอียดของพวกเธอเพื่อใช้ในการวิเคราะห์และสอนต่อไป
"พบสิ่งมีชีวิตสามตัวด้านหน้า สองตัวลึกเข้าไปอีกดูเหมือนจะหลับกันอยู่"
"ถ้าอย่างงั้นก็ต้องจู่โจมแบบสายฟ้าแลบ" หลานกระตุกยิ้มเช่นเดียวกับเอ หลังจากที่ให้สัญญาณบุกพวกเขาสองคนก็กระโดดไปยังแนวหน้าโดยมีคิโนริควบคุมลูกไฟเป็นแสงนำทางให้
ถือว่าตัดสินใจได้ดี พื้นที่ค่อนข้างแคบทำให้ไม่สามารถสู้พร้อมกันได้หลายคนจึงส่งคนที่ถนัดการต่อสู้ระยะประชิดไป และเวทไฟของรอนก็ไม่อาจส่องสว่างถึงจึงให้คิโนริมารับช่วงต่อโดยการควบคุมลูกไฟพุ่งไปพร้อม ๆ กับเอและหลาน
คมมีดสะบัดฟาดเป็นเส้นตรงตัดผ่านมอนสเตอร์รูปลักษณ์เหมือนแมลงตายในทีเดียวส่วนหลานนั้นใช้กำปั้นหินปล่อยหมัดใส่อีกสองตัวตายคาที่ไปหนึ่งแต่อีกตัวทันรอดออกมาได้
"ฉันเอง !" ลูกไฟของคิโนริหมุนวนและพุ่งตามหลังมอนสเตอร์ตัวนั้นไล่ต้อนให้ตรงมาหาเธอและใช้ดาบเพลิงฟันได้พอดิบพอดีไม่ต้องไปวิ่งตามให้เสียเวลา
ถ้าเป็นมอนสเตอร์พวกนี้ก็คงไม่ต้องกังวลอะไร อย่างมากพวกมันก็ทำได้แต่แผลเล็กแผลน้อย
"พวกเด็ก ๆ เก่งกันมากเลยเนอะ...เจี๊ยก" มังกี้กล่าวกับสเตล่าด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆ ท่าทางสบายใจกว่าที่คิด
"อืม...ถ้าเป็นคนทั่วไปกว่าจะเพิ่มเลเวลมาถึงสามได้ก็อาจจะใช้เวลาสักห้าปี แต่พวกเธอสามารถทำได้ในเวลาไม่กี่เดือนหรือเพราะเป็นการสอนของกิ"
"ก็ถูกอย่างที่เธอพูด ซึฮากิมีความรู้ในเรื่องที่เราไม่อาจหยั่งถึงได้มากมาย...เจี๊ยก"
"ว่าแต่เธอก็พูดภาษาของที่นี่ได้คล่องแล้วสินะ อยากจะเป็นแบบพวกกิบ้างจริง ๆ ที่คุยได้โดยไม่ต้องเรียน"
"หมายความว่ายังไงหรือ...เจี๊ยก" น้ำเสียงของเธอดูจะสงสัยในคำพูดของสเตล่าเป็นอย่างมาก
จริงด้วยสิดูเหมือนจะมีแค่เราที่รู้ว่าพวกกิเป็นคนที่ถูกอัญเชิญมาจากอีกโลก หรือจะมีคนอื่นที่รู้อีกนะ?
"ไม่มีอะไรหรอก ดะ...ดูพวกเด็ก ๆ สิไปกันไกลแล้ว" สเตล่าเร่งฝีเท้าเดินตามหลังพวกคิโนริไปตลอดทางพวกเธอสามารถจัดการกับมอนสเตอร์ได้ไม่มีปัญหา
"หกตัวกำลังเคลื่อนที่เข้ามา"
"เปลี่ยนเป็นตั้งรับ" ทันทีที่คิโนริตอบรับรายงานจากแมรี่พวกเขาก็ถอยไปข้างหลังรอน กำแพงไฟสูงสองเมตรลุกขึ้นขวางกั้นพวกมอนสเตอร์ไม่ให้เข้ามาถึงตัวได้และในขณะเดียวกันเอก็ใช้เวทลมพัดกำแพงไฟดันออกไปปะทะกับแมลงพวกนั้น
คิโนริเข้าควบคุมเปลวเพลิงต่อจากรอนจากกำแพงไฟที่เคลื่อนไปข้างหน้ากลับขยับเขยื้อนได้เหมือนมีชีวิตโอบล้อมมอนสเตอร์ทั้งหมดไว้
"ตอนนี้แหละ !"
"เออน่า" แมรี่สร้างหินล้อมอีกชั้นและปิดผนึกเป็นกล่องสี่เหลี่ยมทำให้พวกมันโดนไฟคลอกจนตาย
"พวกเรานี่ประสานงานกันได้สุดยอดจริง ๆ" หลานกระตุกยิ้มเอามือผสานแปะกับมือของเอ
"ก็แน่สิพวกเรามันเจ๋งอยู่แล้ว ถ้าไม่นับเรื่องเลเวลละก็นะ"
ภายในวงล้อมการสนทนาโอ้อวดหยอกล้อกันจะมีเด็กสาวอยู่คนหนึ่งที่นิ่งเงียบเอาแต่ฟังอยู่ฝ่ายเดียว
"เป็นอะไรไปรูบี้ ทำไมไม่ไปอยู่ใกล้ ๆ กับพวกเขาล่ะ?" สเตล่าเอ่ยถามกับเด็กสาวเผ่ามนุษย์กระต่ายที่ยืนอยู่ด้านหลังห่างไกลกว่าใครเพื่อน
"หนูก็แค่ไม่อยากไปเกะกะ เพราะหนูเป็นฝ่ายสนับสนุนไม่เก่งด้านการปะทะตรง ๆ แบบพวกเขาหรอกค่ะ" แววตาอันอ่อนล้ากำลังเลื่อนมองใบหน้าของสเตล่าพลางยิ้มตอบรับเพื่อให้เธอรู้สึกสบายใจ
"เหรอ งั้นพี่ไม่รบกวนแล้วนะ"
สเตล่าถอยกลับไปด้านหลังคอยเฝ้ามองหาสิ่งที่จะมาทำอันตรายพวกเด็ก ๆ แต่ก็ดูเหมือนการฝึกจะเป็นไปอย่างราบรื่น
"หนึ่งตัวกำลังเข้ามาใกล้กับอีกสามตัวที่อยู่นิ่ง ๆ ห่างออกไปสิบเมตร"
"รับทราบ" เอพุ่งตัวออกไปจัดการกับตัวที่หลงมาก่อนเป็นอันดับแรกและหลานก็กระโดดขึ้นสูงเหนือหัวถีบตัวจากมือของเอพร้อม ๆ กับเอที่ผลักตัวหลานออกไป
"รับไปซะเจ้าพวกแมลงน่ารังเกียจ" เวทมนตร์ที่ห่อหุ้มกำปั้นทั้งสองของหลานมีส่วนที่แหลมยื่นออกมาเหมาะกับการเจาะทะลวงจากนั้นเธอก็ออกหมัดที่เต็มไปด้วยแรงพุ่งแทงและกระแทกพวกมันตายในทันที
"ต่อไปก็ตาฉันแล้วสินะ" คิโนริออกมายืนแนวหน้าหลังจากที่เอและหลานพักฟื้นมานา
เมื่อเดินเข้าไปเรื่อย ๆ จากสภาพแวดล้อมที่เป็นถ้ำแคบ ๆ ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวอุดมสมบูรณ์
"ลักษณะเปลี่ยนแสดงว่าไม่ใช่ดันเจี้ยนธรรมดาแน่นอน เด็ก ๆ ระวังตัวด้วยนะ!"
"ค่ะ ! พี่สเตล่า" เสียงตอบรับอย่างพร้อมเพรียงของพวกเธออีกทั้งยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มดูมีความสุขสนุกปนอยู่ด้วยกันแค่เห็นก็รู้สึกสบายใจแล้ว
"ขอแค่ไม่เจอดันเจี้ยนที่ชอบจับพวกเราแยกกันก็พอ กว่าจะตามหากันเจอลำบากสุด ๆ"
"เจ้าคงจะเจอบ่อยสินะ...เจี๊ยก"
"อืมก็ตั้งแต่มาอยู่กับพวกกิก็ได้เข้าดันเจี้ยนบ่อย ๆ น่ะ"
ระหว่างที่ผู้หลักผู้ใหญ่กำลังยืนคุยกันเพลิน ๆ พวกเด็ก ๆ ก็เดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยจนได้พบกับทะเลอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
"แปลกแฮะทำไมถึงมีทะเลในดันเจี้ยน [ล่วงรู้] " อย่างน้อยก็ยังไม่มีอะไรเป็นอันตราย
"ดูเหมือนจะมีแค่พื้นหญ้าโล่ง ๆ กับน้ำทะเลตรงหน้านะ ทีนี้เราจะทำยังไงต่อล่ะ?" เอเอ่ยทักนั่งคิดไปเรื่อยแต่ก็ถือเป็นโอกาสพักพอดี
"ว่าแต่น้ำพวกนั้นมันไม่เหมือนกับน้ำในแม่น้ำใช่ไหม? ตอนนั้นที่ขึ้นเรือหนีกันมาก็ได้แค่ดูไม่เคยได้สัมผัสกับมันจริง ๆ สักครั้งเลย" คิโนริค่อย ๆ ย่างก้าวลงไปที่หาดทรายสีขาวใช้เท้าแตะคลื่นน้ำที่ซัดมาเกยชายฝั่ง
"ระวังตัวด้วยนะคิโนริ...เจี๊ยก"
"ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะคุณมังกี้" ขณะที่เธอหันหลังให้กับทะเลสีครามทันใดนั้นก็มีปลาขนาดใหญ่กระโดดขึ้นมาอ้าปากกว้างพร้อมจะกลืนเธอในครั้งเดียว
"เวรแล้ว!" สเตล่าเปิดใช้งานเสริมกำลังในทันทีแต่เธอก็อยู่ไกลเกินไปที่จะเข้าไปช่วยทัน
"สวัสดีจ้าคุณปลา"
"หา?" สเตล่าถึงกับอุทานออกมาเมื่อได้เห็นมอนสเตอร์ปลากัดไม่โดนโดยที่คิโนริยังยืนอยู่ได้ไม่สะทกสะท้าน
เมื่อกี้นี้มัน อย่าบอกนะว่าใช้เสริมกำลังพร้อม ๆ กับสปีดอัพและเคลื่อนตัวหลบในจังหวะสุดท้าย
"วันนี้ได้ของกินแล้วสิ" ขณะที่เธอกำลังยิ้มแก้มป่องก็มีดวงไฟห้าดวงเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ โอบอุ้มร่างของมอนสเตอร์ปลาที่กำลังตะเกียกตะกายกลับลงทะเล
ดวงไฟเหล่านั้นค่อย ๆ แปรสภาพและเชื่อมต่อกันเป็นดั่งตะข่ายจับปลาพร้อม ๆ กับแผดเผาร่างของมันไปด้วยจนส่งกลิ่นหอมหวนลอยไปถึงสเตล่า
ถึงมอนสเตอร์ตัวนั้นจะไม่ได้แข็งแกร่งมากก็จริงแต่ปฏิกิริยาการตอบสนองของคิโนริสูงมากจนน่าตกใจ
"ไหน ๆ ก็ได้อาหารแล้วเรามานั่งกินพักให้สบายกันดีกว่า" เอยิ้มไม่หุบวิ่งดุ่ม ๆ เข้าไปหาคิโนริพลางมองมอนสเตอร์ปลาที่กำลังดิ้นทุรนทุรายจนตาย
หลังจากนั้นก็มีมอนสเตอร์ปลาโผล่หัวออกมาบ้างครั้งคราวแต่พวกมันกลับไม่กล้าเข้ามาใกล้หรือเพราะมีซากของเพื่อน ๆ มันที่ถูกจับกินจนเหลือแต่ก้าง
"อา ! อิ่มแปล้เลย" เอตะโกนลั่นพร้อมกับยืดเส้นยืดสายหลังจากที่นั่งกินปลากันมาพักหนึ่ง
"ดูเหมือนจะหาทางไปต่อไม่ได้แล้วนะ" สเตล่าเอ่ยทักพวกเด็ก ๆ
"เฮ้อ น่าเสียดายจริง ๆ ยังไม่ได้ออกแรงเต็มที่เลย" หลานถอนหายใจสั้น ๆ หยักไหล่ท่าทางอวดเบ่งว่าตนนั้นยังไม่ได้เอาจริงเลยสักนิด
"กลับเลยก็ดีนะท้องไส้เริ่มไม่ค่อยดี" ท่าทางเดินเชื่องช้า ๆ อย่างกับคุณปู่พยายามจะกัดฟันฝืนอัดอั้นข้าศึกไว้
วันแรกที่ได้ต่อสู้จริงในดันเจี้ยนเป็นไปได้ด้วยดีไม่มีใครบาดเจ็บ แต่สำหรับพวกเขามันจะรู้สึกน่าเบื่อไปก็ไม่แปลกเพราะสิ่งที่พยายามฝึกซ้อมกันมาแทบตายกลับไม่ได้ใช้เต็มที่
อีกด้านหนึ่ง ณ เมืองหลวงของอาณาเขตออร์คที่ซึฮากิมุ่งหน้าไปด้วยตัวคนเดียว ที่นั่นต่างกับข้อมูลที่ซึฮากิได้รับมาเป็นอย่างมากไม่เพียงแค่น้ำท่วมกินพื้นที่ไปกว่าครึ่งหนึ่งทำให้หาอาหารได้ยากขึ้นส่งผลต่อเสบียงที่เก็บไว้
"มนุษย์เหรอ? ฉันเป็นราชินีออร์คมีธุระอะไรถึงมาเยือนเมืองของเรา" ออร์คสาวที่รูปลักษณ์สูงใหญ่ดูพึ่งพาได้มากกว่าราชาออร์คเสียอีก เธอกล่าวทักทายด้วยท่าทางหวาดระแวงพร้อมที่จะแทงข้างหลังซึฮากิได้ตลอด
"ผมเป็นตัวแทนจากเอลโฟเรีย จะมาแจ้งว่าราชาออร์คฝ่าฝืนข้อห้ามของสนธิสัญญาบุกมาโจมตีเมืองของเราอีกทั้งยังมีการย้ายฝ่ายไปอยู่กับสำนักมนตร์ดำทำให้ฝั่งพันธมิตรเสียหายหนักขึ้น"
"ฉันก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าเขากำลังสมคบคิดกับสำนักมนตร์ดำ เข้ามาข้างในก่อนจะมัวแต่ยืนอยู่ไปถึงเมื่อไหร่?" แววตาของเธอเต็มไปด้วยความลังเลสองจิตสองใจเหมือนพึ่งไปทำอะไรผิดมา
บรรยากาศอันตึงเครียดหวาดระแวงของชาวบ้านที่เฝ้ามองผู้ปกครองของตนอยู่กับคนแปลกหน้าแค่สองต่อสองกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรไปหรือเปล่า
"เอาชาไหม? หรือจะเป็นน้ำเปล่า?"
"เข้าเรื่องเลยจะดีกว่าพอดีว่าผมรีบ"
ราชินีออร์คถอนหายใจเหมือนกับรู้ชะตากรรมที่ต้องพบเจอว่ามันอาจจะทำให้เผ่าพันธุ์ล่มสลายก็ได้
"นายมีเรื่องอะไรก็ว่ามา"
"ทางเราได้จับตัวออร์คที่ตั้งใจมาโจมตีเมืองเอลโฟเรียไว้เกือบหนึ่งร้อยตน พวกเขาไม่ได้รับอาหารมาเกือบสัปดาห์แล้วอาจจะทนได้อีกไม่นานนัก"
"ก็คือจะเรียกร้องค่าไถ่ตัวสินะแล้วต้องการอะไรล่ะ?"
"หัวไวดีเหมือนกันนะครับแต่เท่าที่ดูสถานการณ์ของคุณก็ไม่สู้ดีนัก อาหารขาดแคลน พื้นที่เพาะปลูกหรือแม้กระทั่งพื้นที่ล่าสัตว์ก็มีจำกัด รวมทั้งน้ำที่ท่วมขังก็เริ่มเน่าเสียส่งกลิ่น ดู ๆ แล้วพวกคุณก็ไม่น่ามีของอะไรมาจ่ายได้"
"พูดมาขนาดนี้ก็บอกมาเลยสิว่าต้องการอะไร?" ท่าทางหงุดหงิดเขย่าเท้าย้ำพื้นไม่หยุดของเธอทำให้ซึฮากิรู้ได้ทันทีว่าพูดได้ถูกจุด
"สนใจจะมาอยู่ภายในเครือเดียวกับเอลโฟเรียไหมครับ? ตอนนี้ทางเรามีเอลโฟเรียและเมืองวิทาที่ทำสนธิสัญญาร่วมกันแล้ว"
"ขออะไรบ้า ๆ ฉันไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจแบบนั้นหรอก" เธอลุกเดินท่าทางกระฟัดกระเฟียดกำลังจะออกไปข้างนอก
"เธอคิดว่ามีทางอื่นด้วยเหรอ? ทหารของเผ่าออร์คส่วนใหญ่ก็ตายในสงครามไม่ก็โดนจับเป็นเชลย แถมตัวราชาเองก็ตายไปแล้วด้วยและอีกไม่นานคนจากเผ่าอื่น ๆ ก็จะมาเพราะฝ่ายออร์คเป็นคนฝ่าฝืนสนธิสัญญาทรยศต่อเสียก่อน"
"เวรเอ๊ย ! แล้วพวกเราจะเป็นยังไงต่อถ้ายอมอยู่ภายใต้อำนาจของเอลโฟเรีย"
"ประการแรกคือทางเราจะช่วยจัดการเรื่องน้ำท่วมและภาวะขาดแคลนอาหารให้ ประการที่สองคือทางเผ่าออร์คจะต้องขายทรัพยากรให้กับทางเอลโฟเรียในราคาเท่าทุน ประการที่สามคือเมื่อได้รับสัญญาณหรือขอแรงงานจะต้องยอมรับและส่งคนมาให้ทันที ประการที่สี่คือพวกเราจะถือว่าเป็นพันธมิตรกันไม่ใช่เมืองขึ้นหรือทาสอะไรทำนองนั้นเพราะฉะนั้นทางเผ่าออร์คก็สามารถต่อรองหรือขอความช่วยเหลือได้เช่นกัน"
หลังจากราชินีออร์คกลับมานั่งที่ซึฮากิก็สาธยายกฎข้อบังคับที่ทางเผ่าออร์คจะต้องทำ
"พันธมิตรเหรอ?" ทันใดนั้นก็มีเสียงระเบิดดังสนั่นมาแต่ไกลสร้างความตื่นตระหนกให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก
"องค์ราชินีคะ ! พวกเราถูกโจมตีค่ะ"
"ว่ายังไงนะ !" เธอลุกพรวดพราดออกไปมองดูสถานการณ์ด้านนอกที่มองเห็นควันไฟได้ตั้งแต่ไกล
"ดูเหมือนจะมีเวลาไม่มากแล้วนะครับคุณราชินีออร์ค"
ขณะที่เธอกำลังหัวหมุนซึฮากิก็พยายามหว่านล้อมไม่หยุดเสมือนการบีบบังคับเสียมากกว่าและในตอนที่กำลังคิดหนักกับการตัดสินใจสิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตของเผ่าไปตลอดระหว่างนั้นก็มีเสียงกรีดร้องของชาวบ้านไม่เว้นแม้แต่นาที
"ก็ได้ ๆ ฉันยอมรับข้อเสนอ" เธอยอมจำนนกัดฟันเซ็นสนธิสัญญาที่ไม่รู้ว่าเผ่าของตนจะเป็นเช่นไรต่อแต่ตอนนี้ต้องให้อยู่รอดเสียก่อน
"เป็นการตัดสินใจที่ดี"
ซึฮากิพุ่งตัวออกไปยังแนวหน้าของการป้องกันได้พบกับคนจากเผ่ามนุษย์ที่กำลังโกรธเกรี้ยวระบายอารมณ์ด้วยการฆ่าฟันพวกออร์ค
"เฮ้ย ๆ หน้าเจ้านั่นมันคุ้น ๆ นะ" พวกเขาเงยหน้ามองซึฮากิที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศเขาจ้องมองลงมายังสนามรบที่ดูยังไงฝั่งออร์คก็ไม่มีทางชนะได้
"ตอนนี้เผ่าออร์คถูกพวกเราเอลโฟเรียยึดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากคิดจะรุกหน้าต่อไปก็จงจำไว้ว่าพวกนายเป็นคนประกาศสงครามกับเอลโฟเรีย"
"ที่เจ้านั่นพูดมันหมายความว่ายังไง?"
"จะไปรู้เหรอก็หัวหน้าสั่งให้เรามาจัดการเผ่าออร์คหรือจะมีพวกอื่นมาตัดหน้าเราไปแล้ว"
ขณะที่กองทัพทหารกำลังสับสนอย่างน้อยก็หยุดการโจมตีไปได้สักพักจนในที่สุดผู้บัญชาการกองพันนี้ก็โผล่หัวออกมา
"ข้าเป็นผู้นำทัพบุกในครั้งนี้มีนามว่า ราว ท่านผู้นำเอลโฟเรียอาจจะจำข้าไม่ได้" ท่าทางนอบน้อมของชายวัยกลางคนก้มโค้งทักทายเช่นเดียวกับซึฮากิที่ค่อย ๆ ลงมาที่พื้น
"ราวหัวหน้าหน่วยทหารราบปีกขวาของกองทัพมนุษย์ที่ทำสงครามกับสำนักมนตร์ดำ ฉันก็พอจะจำได้อยู่แต่ก็ไม่เคยคุยด้วยสักคำ"
"จำข้าได้ด้วยสินะ แล้วทำไมท่านผู้นำเอลโฟเรียถึงมาที่แห่งนี้ล่ะ?"
"ก็ทำเหมือน ๆ กับที่พวกคุณทำนั่นแหละ ยึดครองยังไงล่ะแต่ผมไม่ได้เอาทหารมาทำแบบนั้นเพราะมันจะทำให้เกิดความสูญเสียทั้งประชากรและพื้นที่โดยรอบ"
"เป็นเช่นนั้นสินะครับ ถ้าอย่างงั้นพวกเราคงต้องขอให้ท่านออกไปแต่โดยดีและทางเราอาณาจักรมนุษย์จะเป็นคนยึดเผ่าออร์คเอง"
"ยังไม่เข้าใจสินะ ผมทำสนธิสัญญากับเผ่าออร์คเรียบร้อยแล้วและตอนนี้พวกคุณก็กำลังบุกรุกพื้นที่ของเอลโฟเรีย"
"เหอะท่านผู้นำเอลโฟเรีย ท่านไม่ควรจะมาขวางพวกเราเลย"
"อ้อเหรอ ถ้าวาเลี่ยมได้ยินคงจะโมโหแน่ ๆ ขนาดเมืองวิทาที่เผ่าพันธุ์ทรงอำนาจในอาณาจักรอาฟยังต้องยอมรามือให้กับเอลโฟเรีย แล้วคิดว่าเผ่าออร์คที่พื้นที่ทำกินก็ไม่ค่อยดี ทรัพยากรก็น้อยนิดยากที่จะหาประโยชน์ยังจะดึงดันบุกยึดอีกหรือ"
มันรู้ได้ยังไงว่าวาเลี่ยมไม่ได้เป็นคนสั่งการ
"แล้วยังไงครับ พวกเราไม่อาจขัดคำสั่งได้ถ้าอยากจะเจรจาต่อรองก็ต้องไปคุยกับท่านดยุกดาลองด้วยตนเอง"
เพียงแค่พริบตาเดียวผู้คนในรัศมีกว่ายี่สิบเมตรก็ทรุดตัวลงดิ้นทุรนทุรายเหมือนมีใครมาบีบคอ
"ทะ...ท่านทำอะไร"
"นี่เป็นแค่คำเตือน จงถอยกลับไปซะแล้วรายงานคนที่สั่งด้วยว่าที่แห่งนี้เป็นของเอลโฟเรียแล้ว" ซึฮากิคลายเวทสุญญากาศทำให้พวกเขากลับมาหายใจได้ปกติ
เป็นเวทที่ใช้ข่มขู่ได้ดี เพราะไม่มีใครที่รู้จักมันเลยแม้แต่คุณวิกตอเรียแต่ถ้ารู้ว่ามันทำงานยังไงก็คงจะหลีกหนีได้ไม่ยาก
"ทำไมเขาถึงต้องทำขนาดนั้นด้วย ทั้ง ๆ เจ้าราชาโง่นั่นหักหลังแถมแผ่นดินของเราก็ไม่ค่อยมีอะไรดี" ราชินีออร์คเฝ้ามองอยู่ไม่ห่างพลางคิดหาเหตุผลที่เอลโฟเรียยื่นมือเข้ามาช่วย
"ฝากพี่น้องที่เหลือด้วยล่ะ" เสียงฝีเท้าเดินย้ำดังกระหึ่มกำลังเดินทัพไปสมทบกับผู้นำเผ่าอื่นเพื่อกวาดล้างสำนักมนตร์ดำ ชาวบ้านเต็มไปด้วยความรู้สึกโศกเศร้าที่ราชาของเผ่าต้องไปออกรบโดยไม่รู้ว่าจะได้กลับมาหรือไม่
"ที่รักได้โปรดคิดอีกทีเถอะ ถ้าทำแบบนั้นเราจะถอยหลังไม่ได้แล้วนะ" น้ำตาอันบริสุทธิ์ของผู้เป็นภรรยากำลังไหลย้อยลงบนแก้มทั้งสองจนเขาต้องปาดเช็ดให้
"ต่อให้เราชนะสงครามนี้แต่เพราะสนธิสัญญาไม่ให้มีการล่วงเกินหรือบุกรุกพื้นที่เผ่าอื่น เราก็จะไม่มีอาหารสำหรับทุกคนยิ่งกับน้ำที่ขังรวมกันเน่าขึ้นทุกวันก็ยิ่งทำให้ยากต่อการอยู่รอด"
"แต่ถ้าที่รักทำแบบนั้นแล้วเกิดสำนักมนตร์ดำแพ้ขึ้นมาล่ะ? เราก็คงจะโดนประณามและสังหารหมู่เป็นแน่" อ้อมอกอันอบอุ่นโอบกอดภรรยาพลางนึกคิดถึงวันที่พวกเขามีความสุขด้วยกัน
หลังจากที่บอกลาเสร็จสรรพก็เหลือเพียงการรอคอยเฝ้าหวังให้พวกเขารอดกลับมา...แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความหวัง
"ออร์คโดนฆ่าหมดเลยเหรอ !" หลังจากที่สายข่าวรายงานกลับมายังบ้านเกิดของเผ่าออร์คผู้คนต่างก็ตกอยู่ในความสับสนสิ้นหวังบางพวกก็พยายามหลบหนีไปที่แห่งอื่นแต่ส่วนใหญ่กลับเลือกที่จะอยู่ที่เดิม
"เขาคงเป็นความหวังสุดท้ายของเรา" ราชินีออร์คได้แต่ทำใจมองดูซึฮากิเจรจากับเหล่าทหารตรงหน้าก่อนที่ชาวบ้านจะล้มตายไปมากกว่านี้
"จงกลับไปตอนที่ทางเรายังให้โอกาส ถ้ายังดึงดันต่อก็คงต้องให้มังกรไปถล่มเมืองของพวกนายซะ"
"เวรเอ๊ย มังกรตัวนั้นแน่ ๆ" ทหารหลาย ๆ นายที่เคยอยู่ในสงครามสำนักมนตร์ดำต่างก็รู้ถึงความน่ากลัวของมังกรเป็นอย่างดี
"พวกเราถอย !" เขาจำเป็นต้องกัดฟันสั่งถอยทัพ
"แต่หัวหน้าครับ-"
"แกอยากจะให้เมืองพินาศหรือยังไง ! บอกให้ถอย"
ดูเหมือนสถานการณ์จะเป็นไปด้วยดีหลังจากที่ทหารถอนกำลังออกไปชาวบ้านออร์คก็โผล่ออกมาเก็บกวาดเศษซากรวมทั้งศพของพรรคพวกที่ต่อต้านกองทัพไว้
"ในฐานะที่เป็นตัวแทนเผ่าออร์ค ฉันขอขอบพระคุณเป็นอย่างมากค่ะ ท่าน..."
"ซึฮากิเรียกแค่ชื่อก็ได้ แล้วคุณล่ะ?" ซึฮากิพยักหน้าตอบรับการโค้งคำนับจากเผ่าออร์คทั้งหลาย
"ฉันชื่อมาลีน่าค่ะ จากนี้ไปพวกเราขอน้อมรับทุกคำสั่งขอเพียงแค่พวกเรามีอาหาร ที่อยู่และมีชีวิตรอดต่อไปค่ะ" เสียงอันสั่นเทากับน้ำตาแห่งความสุขที่พวกเธอมีโอกาสได้ใช้ชีวิตต่อแม้จะต้องยอมก้มหัวถวายตัวก็ทำได้
ที่ห้องโถงสูงสิบเมตรไม่มีแม้แต่โต๊ะหรือเตียงเลยสักตัวมีเพียงชายสูงวัยยืนนิ่ง ๆ ราวกับเป็นรูปปั้น
"โยนตายแล้วครับ" ทันทีที่ชายหนุ่มบอกกล่าวกับชายสูงวัยเขาก็ก้าวเดินจากที่ยืนอยู่
"ไม่น่าเชื่อจริง ๆ ว่าเขาจะตายไวขนาดนี้"
"จากการสืบสวนรู้สึกว่าเขาจะบรรลุพลังเดอะก่อนตายด้วยนะครับช่างน่าเสียดายจริง ๆ แถมยังมีเรื่องน่าแปลกอีกหลายจุด อย่างการที่เขาไม่ได้ตายในสงครามแต่กลับตายที่เมืองเอลโฟเรีย อีกทั้งยังมีมังกรเผ่าพันธุ์ที่ไม่มีสัมพันธ์กับใครโผล่ออกมาในสงคราม"
ชายสูงวัยกระตุกยิ้มก่อนจะเอ่ยออกมา "ดูเหมือนจะถึงเวลาที่ต้องเคลื่อนไหวเสียแล้ว"
"รับทราบครับ" ชายหนุ่มผู้นั้นหายตัวไปทันที
ดูเหมือนจะมีเรื่องน่าสนุกให้เห็นสักที
กองทัพนักฆ่ามากกว่าหมื่นคนยืนเรียงรายอยู่ด้านนอกห้องโถงโดยที่ด้านหน้านั้นมีผู้บริหารทั้งหกคนที่เหลืออยู่ พวกเขาไม่มีท่าทีเสียใจหรือเศร้าโศกเลยสักนิดแต่กลับยิ้มเห็นฟันราวกับเด็กที่กำลังจะได้ออกไปเล่นกับเพื่อน
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 235
แสดงความคิดเห็น