STARCIN ภาคที่ 5 Elforia ตอนที่ 20 กาลครั้ง
10 มกราคม พ.ศ.2576
“ขนมาทางนี้” รถลากที่บรรจุยาเสริมกำลังค่อย ๆ เคลื่อนมาเพื่อไม่ให้ยามีรอยตำหนิหรือเกิดความเสียหาย
“ถ่ายทอดคำสั่งจากผู้บริหาร ทุกคนภายใต้การควบคุมจะได้ยาหนึ่งชุดและหากทำผลงานได้ดีก็จะได้เพิ่มอีก โดยจะมีการเรียกตรวจดูอาการตอบสนองในอีกสองชั่วโมง”
“รับทราบ!”
เหล่านักฆ่าที่เคยแฝงตัวอยู่ในอาณาจักรอาฟกลับมารวมกันที่ฐานบัญชาการ พวกเขาต่างก็มีความสงสัยว่าเหตุอันใดถึงมีคำสั่งรวมพลมากขนาดนี้หรือสงครามกำลังจะบังเกิด
“ทำไมถึงเรียกรวมเยอะแบบนี้กันนะ?” เสียงชายผู้หนึ่งกล่าวถามเพื่อนร่วมงานที่ต่อแถวอยู่ด้วยกัน แม้จะไม่ได้สนิทชิดเชื้อแต่ทุกคนก็เป็นนักฆ่ามากความสามารถที่ทางสำนักมนตร์ดำฟูมฟักมา
“สถานการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเหมือนกัน แต่ให้เดาคนโลภคงจะมีงานใหญ่ให้ทำแน่ ๆ”
ไม่ใช่เพียงแค่สำนักมนตร์ดำเท่านั้นที่กำลังเตรียมกองกำลังแต่ข้างนอกเหล่าผู้นำของแต่ละอาณาจักรก็กำลังเตรียมบุกเช่นกัน ต่างคนต่างพากองทัพทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่ามาแต่ก็ยังทำเพียงตั้งแคมป์รอดูสถานการณ์
“ก็ตามนั้น ถึงพวกเราจะมีมากกว่าแต่เรื่องสภาพอากาศและพื้นที่ยุทธศาสตร์เราเสียเปรียบโดยเฉพาะการเคลื่อนพลจำนวนมากก็ยิ่งเป็นเป้าได้ง่าย”
“แล้วจะให้พวกเราพาทหารมาเยอะ ๆ ทำไมในเมื่อมันเป็นเป้าง่าย” คิคิเอ่ยด้วยท่าทางหงุดหงิดหายใจแรง
“แน่นอนว่าถ้าเราเข้าไปใกล้ก็จะถูกโจมตีได้ง่ายแต่หากเป็นระยะไกลล่ะ?” ซึฮากิหยิบธนูเวทที่เตรียมไว้ขึ้นมาและง้างคันธนูเล็งขึ้นไปบนฟ้าเล็กน้อยอัดพลังเวทเข้าไปและยิงกระสุนลมที่ไม่ได้รุนแรงมากนัก
“ของแค่นั้นจะไปทำอะไรพวกมันได้วะ”
“ช้าก่อนคิคิ” วาเลี่ยมมองตรงไปยังจุดที่กระสุนลมตกก่อนจะเอ่ยออกมาเช่นนั้น
“ทั้ง ๆ ที่พลังไม่ได้มากมายแท้ ๆ แต่กลับยิงไปได้ไกลขนาดนั้น”
“ไหนลองให้ทหารของพวกคุณมาลองใช้ธนูดูสิ” ธนูที่พวกเขาได้เตรียมมาไม่กี่ร้อยคันกลับหมดภายในพริบตา
“เรื่องกล้วย ๆ” หนึ่งในทหารชั้นสูงที่แต่งเต็มยศเกราะสีเงินอันแกร่งกล้าง้างคันธนูไปพร้อม ๆ กับมานาที่กำลังก่อร่างขึ้นแต่เมื่อมันยิงออกไปก็ไม่สามารถไปถึงระยะเดียวกับซึฮากิได้แต่หากพูดถึงเรื่องพลังแล้วถือว่ายอดเยี่ยม
“เห็นอะไรไหมครับว่าทำไมทหารส่วนใหญ่ถึงยิงธนูได้ไม่ไกลนัก”
ซึฮากิชายตามองทหารหลายร้อยคนยืนเรียงแถวยิงแต่ส่วนใหญ่ดูเหมือนพวกมือใหม่ที่พอจะใช้ธนูเป็นเท่านั้น
“พลัง? แรงยิง? หรือว่าธนูล่ะ”
ซึฮากิมองเข้าไปในดวงตาของเหล่าผู้นำที่กำลังรอคำตอบอยู่แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถามด้วยตนเอง
“สิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างก็คือลูกธนู”
“หา? เราไม่ได้ใช้ลูกธนูสักหน่อย” คิคิอุทานออกมาทันทีที่ได้ยิน
“ใช้สิ” ซึฮากิหยิบธนูขึ้นมาอีกครั้งและแสดงให้พวกเขาได้เห็นว่าลูกธนูที่เกิดจากมานาควบแน่นเป็นเช่นไร
“สวยงาม...” หนึ่งในผู้นำที่ตัวเล็กที่สุดผู้เป็นตัวแทนผู้นำชาร์ลอทที่ไปทำภารกิจที่อาณาจักรเซียเหม่อมองมันราวกับกำลังได้เห็นดวงดาวบนท้องฟ้าทั้งสวยงามและยากที่จะหยั่งถึง
“พวกเขาสักแต่จะใช้พลังเวทยิงออกไปโดยไม่คำนึงถึงลักษณะที่เหมาะกับการยิงระยะไกล หัวธนูควรที่จะหนักกว่าจุดอื่นและมีปีกธนูที่ช่วยให้นิ่งรวมทั้งองศาการยิงก็สำคัญเช่นกัน”
“มานาที่เปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ละเอียดขนาดนั้นใครมันจะไปทำได้ในเวลาแค่นี้” ผู้นำเผ่าก็อบลินกล่าวด้วยถ้อยคำอันฉงนแต่ท่าทีของเขาก็อยากรู้อยากเห็นจนต้องหยิบธนูมาทำตาม
“ผมก็คิดไว้แล้วแหละว่าฝึกไม่ทันแน่นอน ก็แค่พูดให้รู้ไว้เอาไว้ฝึกทีหลังก็พอ”
“กลับมาแล้ว !” เซนและคานะอุ้มหญิงสาวมาท่าทางอ่อนแรงแค่ยื้อลมหายใจไว้ก็ยากเต็มกลืนแล้ว
“ดีมาก ทีนี้พวกเขากำลังเคลื่อนไหวยังไงบ้าง?”
“พวกเขาถูกยกระดับกันหมดแล้ว โดยเฉพาะโยนเขาก้าวข้ามกลายเป็นเลเวลแปดแล้ว” หญิงสาวผู้นั้นกัดฟันใช้แรงเฮือกสุดท้ายเปล่งเสียงออกมา
“ว่ายังไงนะ! เลเวลแปดเหรอ”
ซึฮากิถึงกับต้องยกมือกันไว้ไม่งั้นพวกเขาเข้ามาคงรั้นจะถามไม่หยุดเป็นแน่
“พวกเขาจะเคลื่อนทัพตอนไหน?”
“คืนนี้ตอนฟ้ามืดสนิท...” หลังจากที่เอ่ยออกมาเธอก็สลายกลายเป็นควันสีดำหายไปทันที
“ทุกคนเตรียมเคลื่อนทัพ” เหล่าผู้นำต่างก็ออกคำสั่งกับทหารของตนแต่ด้วยจำนวนที่มากเกือบหมื่นคนทำให้เดินทางได้ช้า
“ผมมีคำขออีกหนึ่งอย่าง” ระหว่างที่กำลังย่างก้าวเข้าไปในทะเลทรายซึฮากิก็ได้เอ่ยขึ้นมาท่าทางเคร่งเครียดกว่าทุกที
“ผมขออำนาจสั่งการทั้งหมดจะได้หรือไม่?”
เหล่าผู้นำได้แต่มองหน้ากันอย่างกับรู้ใจระหว่างนั้นก็มีเจ้าปุยกระโดดไปมาเหมือนจะเล่นด้วย
“เหอะ จงฟังทหารของข้า ! ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจนกว่าสงครามจะจบอำนาจสั่งการสูงสุดจะอยู่ที่ซึฮากิตัวแทนจากเอลโฟเรีย”
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงุนงงของทหารพวกนั้นที่กำลังจ้องมองชายหนุ่มแปลกหน้าที่เป็นใครก็สงสัยทำไมถึงให้คนนอกอย่างซึฮากิมาจัดการทหารหลักหมื่นคน
“ทหารเผ่าภูตเคลื่อนไปทางตะวันออก ส่วนเผ่าฮาร์พีจะเป็นหน่วยโจมตีหน่วยแรก เผ่าออร์คเคลื่อนไปทางตะวันตกพวกเราจะล้อมพวกมันไว้ไม่ให้มีใครเล็ดลอดออกไปได้”
“จะทำอะไรก็ตามใจแล้วกันแต่ถ้าพวกเราสูญเสียคนไปอย่างไร้ประโยชน์ เมื่อถึงตอนนั้นฉันจะฆ่าแกเสีย” เธอถือเป็นผู้นำเผ่าที่พูดค่อนข้างพูดน้อย ตลอดเวลาที่ทุกคนช่วยกันตัดสินใจเธอก็มักจะเออออตามไม่ได้ออกความคิดเห็นด้วยตัวเอง
“ขอให้ทุกหน่วยส่งตัวแทนมาเพื่อรับทราบลำดับแผนการ หากพลาดนิดเดียวอาจจะทำให้พวกเราแพ้ได้ทันที”
“จัดมาเลยครับ” เซนกระตุกยิ้มมุมปากกระแทกกำปั้นเข้าด้วยกัน
เมื่อเวลาล่วงเลยไปจนอาทิตย์ลับขอบฟ้า ทะเลทรายที่เคยร้อนระอุค่อย ๆ เย็นลงจนเรียกว่าหนาวเลยก็ว่าได้ พื้นทรายนั้นทำให้เหล่าทหารมากมายเดินทางได้ยากลำบากอีกทั้งยังมีสายลมที่พัดเอาฝุ่นมากมายเข้าตาเข้าจมูกสร้างความน่ารำคาญไม่หยุด
“ทำไมนายถึงมาช้านักล่ะ คนอื่นเขาฉีดยาเสร็จไปหลายวันแล้วแต่ก็เอาเถอะ เดี๋ยวจะพาไปหาคนโลภแล้วกัน” หญิงสาวและพ่อหนุ่มวัยกลางคนกำลังเดินตามหลังผู้เป็นเสมือนหัวหน้าหน่วยมือสังหารไปยังห้องส่วนตัวของโยน
“คนโลภครับผมพาคนที่มาช้ามาครับ”
“เข้ามา” โยนกำลังจัดเตรียมยาที่เหลือให้พร้อมฉีดได้อย่างรวดเร็วรวมทั้งอาวุธเวทระดับสูงที่มีหินเวทอันบริสุทธิ์ผสมอยู่ด้วย
“พวกเขาสองคนพึ่งมาถึงเมื่อตอนเย็นครับ”
“เธอเองเหรอ ตอนแรกบอกจะไปตามเพื่อนอีกคนก็คงจะเป็นคนนั้นสินะ อืม...”
“ถ้าเป็นผู้หญิงละก็ฉีดยาไปแล้วส่วนเจ้าผู้ชายนั่นยัง”
“รับทราบครับ”
หนุ่มสาวสองคนได้แต่ก้มหน้าเล็กน้อยน้อมรับคำสั่งทุกอย่างโดยไม่ปริปากเลยสักคำ เข็มฉีดยายาวสามเซนติเมตรค่อย ๆ เจาะเข้าไปในผิวกายของชายวัยกลางคนคนนั้น
“นายเป็นคนที่อยู่ในอาณาจักรมนุษย์สินะ แล้วรู้อะไรไหมว่าทำไมเจ้าวาเลี่ยมถึงไปประชุมทัน”
“ผมพยายามตามเขาไปแล้วแต่ผู้ช่วยที่อยู่ข้าง ๆ ดันจับสังเกตได้จึงต้องล่าถอยออกมา”
“อ้อเหรอ...”
โยนเดินวนไปรอบ ๆ มองดูท่าทางกิริยาที่นิ่งสนิทสมกับเป็นเหล่าผู้คนที่ฝึกมาเป็นอย่างดี
“ฉันได้กลิ่นแปลก ๆ นะ กลิ่นมันเหมือนกับ...” ไม่ทันที่เขาจะพูดจบมีดสั้นสีดำสนิทก็ปาดคอไปเสียแล้วแต่ก็เขาก็ยังไม่ตายทันทีดิ้นทุรนทุราย
“กลิ่นของพวกขี้แพ้ที่ทำงานพลาดน่ะ ฮ่า ๆ ๆ” ทั้งหญิงสาวและหัวหน้าหน่วยช่วยกันนำร่างที่กำลังกระเสือกกระสนมีชีวิตไปโยนทิ้งให้สัตว์อสูรกิน
“เธอทำได้ดีมากที่เอาคนที่คิดจะหนีกลับมาได้ ฉันอุตส่าห์ส่งคนไปอยู่กับเจ้าวาเลี่ยมตั้งเยอะแต่เหลือแค่มันกับเธอหรือว่าฉันควรจะฆ่าเธอด้วยดีล่ะ?”
“ตามประสงค์ของท่าน” หญิงสาวผู้นั้นยื่นมีดสั้นของตนให้กับโยนและนั่งคุกเข่าลงไปต่อหน้า
“ดี !” โยนดึงมีดสั้นไปอย่างรวดเร็วและตวัดฟันไปหนึ่งครั้งแทบจะมองไม่ทันด้วยซ้ำก่อนจะวางคืนให้กับเธอ
“ฉันเห็นว่าเธอยังใช้งานได้อยู่ดังนั้นฉันจะยังไม่ฆ่าก็แล้วกัน” ผมของเธอถูกตัดในระดับเดียวกับลำคอเป็นดั่งสัญญาว่าครั้งต่อไปจะโดนที่คอเป็นแน่
“ขอบคุณมากค่ะ” เธอเหลือบตามองเพื่อนร่วมหน่วยที่เคยทำงานด้วยกันกำลังถูกสัตว์อสูรกัดกินฉีกร่างเป็นชิ้น ๆ
“ไม่ต้องคิดมากหรอก มันพยายามหนีการเรียกตัวก็สมควรแล้วส่วนพวกเธอก็ไปเตรียมตัวซะ”
“รับทราบ”
หลังจากที่รวมตัวกันครบขันพร้อมไปด้วยอาวุธครบมือกับชุดที่รัดกุมเคลื่อนไหวได้สะดวกและยังมีผ้าคลุมเพื่อป้องกันทรายและฝุ่นที่พัดเข้ามาพวกเขายืนต่อแถวกันประจำหน่วยพร้อมออกรบ
“จงฟัง! เหล่าสหายร่วมสำนัก พวกเราอยู่ภายใต้เงามืดมาหลายชั่วอายุคนแต่ทำไมเราถึงต้องทำเพียงงานพวกนั้นล่ะ? พวกเราเป็นผู้มีความสามารถความพยายามไม่แพ้เจ้าพวกเผ่าอมนุษย์” โยนตะคอกเสียงดังแต่แทนที่จะรู้สึกหวั่นเกรงกลับเป็นการปลุกกำลังใจลูกน้องภายในอำนาจให้อยากทำตามปณิธานของเขา
“สำนักมนตร์ดำของเรามีประวัติศาสตร์มายาวนานหลายร้อยปีเพื่อทำงานสกปรกให้กับพวกคนมีเงิน คนโลภ คนขี้เกียจ คนขี้งกไม่ว่าจะเป็นใครเราก็ทำงานให้แต่เมื่อไหร่ล่ะที่เราจะได้สิ่งที่ต้องการ หรือเราต้องการเพียงแค่เงินอย่างเดียว...”
เขาพูดไปก็กัดฟันไปเปล่งวาจาที่ออกมาจากจิตวิญญาณของความมุ่งมั่น เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่มากกว่าจะเป็นเพียงเงามืดของพวกมันแต่อยากจะกุมอำนาจและก้าวเท้าออกมาจากเงา
“ใครต้องการจะไปกับข้า!”
เสียงร้องเฮ้ดังสนั่นตอบรับปณิธานของโยนอย่างไม่ลังเล พวกเขาเคลื่อนทัพติดอาวุธมากมายขึ้นไปบนพื้นทรายที่แห้งและหนาวเย็น
เหอะ หลังจากที่ฉีดยาเข้าไปก็รู้สึกได้เลยว่าพลังกำลังเพิ่มขึ้น แบบนี้พวกเราไม่แพ้แน่
รอยยิ้มแสยะออกราวกับกำลังมองเห็นกองศพตรงหน้า ศพของพวกอมนุษย์ที่เคยทำร้ายย่ำยีพวกเรามามากกำลังจะได้จัดด้วยมือของตนเอง ความรู้สึกปลื้มปีติยินดีอย่างบอกไม่ถูกไม่เคยได้รู้สึกเช่นนี้มาก่อนกำลังหลั่งไหลเข้ามา
“เวทผสาน [วายุผกผัน] ” เสียงของหญิงสาวที่ประจำอยู่ด้านข้างของแถวร่ายเวทสร้างพายุขนาดย่อม ๆ รวมกับควันสีดำที่โผล่มาจากไหนไม่รู้พัดขึ้นไปบนท้องฟ้าในยามราตรี
“หา?”
เพียงแค่ไม่กี่นาทีก็มีเสียงระเบิดสนั่นมีแรงกระแทกผลักพวกเขาจนล้มลง
“กางบาเรียซะแล้วจัดการไอ้พวกเวรที่ทำอย่างงั้น” มีคนรู้ที่ตั้งของเราได้ยังไงวะหรือว่าจะเป็นพวกโจร
“ท่านครับ! พวกเราเห็นฮาร์พีอยู่บนท้องฟ้าครับ”
“หน็อยเจ้าเผ่านกเวรนั่น เตรียมเวทหมอกซะเราต้องปิดการมองเห็นของพวกมัน”
“ท่าน...” เสียงสั่น ๆ ของชายหนุ่มหนึ่งในลูกน้องกำลังเงียบลงระหว่างที่เงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าพยายามมองหาฮาร์พี
“ฉิบหายแล้ว ! บาเรีย”
ไม่ทันพวกเขาจะได้ตั้งหลักเพราะระเบิดที่ก่อให้เกิดเปลวเพลิงนั้นทำให้พวกเขาจำเป็นต้องดับมันก่อนที่จะมีคนเสียชีวิต แต่เพียงแค่ไม่กี่อึดใจกลับมีห่ากระสุนเวทยิงมาราวกับส่งมาจากฟากฟ้าย้อยลงตกไปทั่วขบวนนักฆ่า บางคนก็สามารถสร้างโล่ปกป้องตัวเองได้แต่บางคนก็กำลังยุ่งวุ่นกับไฟทำให้ถูกกระสุนเจาะทะลุร่าง
“พวกมันอยู่ไม่ไกลแน่ ๆ ไปจัดการมันซะ!” โยนกัดฟันกรอดวิ่งฝ่ากระสุนเวทออกไปอย่างรวดเร็วราวกับเป็นสายลมที่พัดผ่านไป
แต่เมื่อโยนวิ่งออกไปได้ไกลพอก็สามารถเห็นกลุ่มคนอยู่ในระยะสายตา เขาไม่รอช้าฟาดคมมีดที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวตัดผ่านความมืดตรงไปยังกลุ่มคนเหล่านั้น
“โฮะ ๆ ดูเหมือนจะเป็นไปตามแผนของพ่อหนุ่มซึฮากิเลยสินะ” ชายร่างยักษ์ที่สูงสองเมตรกำลังย่างกายเข้ามาในระยะสายตาที่สามารถมองเห็นใบหน้าได้ ชายหนุ่มเหล่านั้นถืออาวุธที่แตกต่างกันไปอีกทั้งยังฉีกยิ้มเหมือนกำลังสนุก
“พวกแกมันเผ่าก็อบลิน...ไม่ใช่ว่ากำลังแย่งกันยึดอาณาจักรเอลฟ์อยู่เหรอ?”
“ใครมันจะป่าเถื่อนไล่ขโมยของของคนอื่นกันล่ะ พวกเราก็แค่ทำข้อตกลงกันเรียบร้อยดีและมาที่นี่ก็เพื่อกำจัดเสี้ยนหนามยังไงล่ะ”
“พูดมากว่ะ” โยนพุ่งเข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็วง้างแขนที่เต็มไปด้วยมานาที่ปลายมีดวาดจากด้านข้างเฉือนเป็นแนวนอน
“เหอะ ๆ ได้แค่นี้เองเหรอ?” พ่อหนุ่มตัวเขียวเหวี่ยงค้อนยักษ์กระแทกร่างของโยนออกไป แรงปะทะที่มากพอจะพังรถทั้งคันแต่โยนก็ยังสามารถลุกขึ้นได้เช่นกันก่อนจะแหยะยิ้มขว้างระเบิดควันใส่บดบังวิสัยทัศน์
“ระวังกันให้ดี มันอยู่เลเวลแปดแล้วอาจจะมีเวทมนตร์แปลก ๆ ก็ได้”
ขณะที่ฝุ่นควันค่อย ๆ ลอยไปทั่วก็มีเสียงร้อยลั่นดังมาจากด้านข้างของหน่วยจู่โจมของเผ่าก็อบลิน ร่างกายอันใหญ่โตกำลังทิ้งตัวร่วงลงพื้นท่าทางทุกข์ทรมานเหมือนหายใจไม่ออก
“เวรเอ๊ย !”
“เดี๋ยวฉันช่วย” ซึฮากิที่ตามมาตลอดร่ายเวทลมพัดเอาควันพวกนั้นออกไปหมดแต่โยนก็หายตัวไปแล้ว
“ระลอกสอง !” ซึฮากิส่งสัญญาณให้กับเผ่าก็อบลินทำให้พวกเขาโยนก้อนหินที่ผูกติดกับผ้าขนาดใหญ่ขึ้นไปบนท้องฟ้า
“สัญญาณตั้งรับมาแล้ว!” วาเลี่ยมส่งต่อคำสั่งไปยังพรรคพวกของเขาเมื่อได้เห็นผ้าขนาดใหญ่กำลังร่อนลงพื้นจากที่ไกล ๆ อย่างกับเห็นว่าวจุฬากำลังโดนลมพัดพา
“ยิง !” ทันทีที่พวกเขาเห็นเงาตะคุ่มจากไกล ๆ บนพื้นทรายที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามา พวกเขาก็ไม่รอช้าสาดกระสุนเวทและตั้งโล่ป้องกันในแนวหน้าเรียงกันเป็นแถวยาวไปหลายสิบเมตร
กองทรายที่กระเด็นกระจายไปทั่วหลังจากถูกแรงของกระสุนเวทจำนวนมากแต่พอได้สังเกตดี ๆ กลับไม่พบร่องรอยของศพเลยสักคน
“สถานการณ์ !”
ขณะที่ทุกคนตกใจกับเสียงร้องโดยไม่ทันได้สังเกตว่ามีกลุ่มคนกำลังตรงเข้ามาเพิ่ม เหล่านักฆ่าที่ไม่มีที่ซ่อนตัวต้องอาศัยความมืดผสมกับควันอำพรางเพื่อสังหารศัตรูตรงหน้าและเมื่อพวกเขาได้ย่างกายเข้ามาในรัศมีของเวทมนตร์เมื่อนั้นความตายก็จะเรียกหา
“ตั้งขบวนไว้ทุกคน” ทหารชั้นสูงผู้มากความสามารถในเผ่ามนุษย์กำลังก้าวเท้าออกมาเผชิญหน้ากับกองทัพนักฆ่าที่เล็ดลอดมา
" จงสั่นสะท้าน [แผ่นธรณีพลิกผัน] " เมื่อเขารวบรวมมานาได้เรียบร้อยก็ทิ่มหอกลงพื้นเพื่อสัมผัสโดยตรง ทั้ง ๆ ที่มีแต่พื้นทรายแต่เขากลับพลิกพื้นขึ้นและคว่ำไปข้างหน้าหวังให้ทับพวกนักฆ่าให้หมดอีกทั้งยังปิดเส้นทางให้เหลือน้อยลง
“ตอนนี้แหละกระหน่ำใส่ไม่ยั้งไปเลย” ห่ากระสุนเวทที่เตรียมไว้อย่างดีพุ่งออกไปเหมือนกับสายฝนกำจัดพวกนักฆ่าที่ถูกก้อนดินปิดกั้นเส้นทางสามารถกำจัดไปได้มากถึงหนึ่งในสามแต่พวกมันก็สามารถหนีรอดออกมาได้อยู่ดี
“แนวหน้าบุก!” กองอัศวินแต่งเต็มไปด้วยชุดเกราะแบบพิเศษที่มีหินเวทผสมอยู่ด้วยช่วยให้สามารถร่ายเวทป้องกันได้อย่างรวดเร็ว พวกเขายกชูดาบขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มบุกพร้อมกับร่ายเวทเสริมกำลังไปด้วย
สงครามระหว่างกลุ่มนักฆ่าที่เก่งในด้านการลอบสังหารหากสู้กันก่อนที่พวกเขาจะได้ยาคงไม่ใช่เรื่องยากอะไรเพราะพวกเขามักจะหลบซ่อนและวางแผนมากกว่าการต่อสู้ตรง ๆ เช่นนี้ แต่ตอนนี้มันไม่เป็นเช่นนั้นเพราะยาเสริมกำลังที่ใช้ทำให้พวกเขาสามารถต่อกรกับอัศวินหลายร้อยคนได้ด้วยคนไม่กี่สิบ
“ทำไมมานาพวกมันไม่หมดสักทีวะ” ชายวัยกลางคนผู้ที่เป็นดั่งแนวหน้าของอาณาจักรมนุษย์และมีเลเวลมากถึงแปดยังเกรงกลัวความระห่ำของสำนักมนตร์ดำ พวกเขาเหมือนกับกลายเป็นเครื่องจักรสังหารที่ไม่เกรงกลัวความเจ็บปวดวิ่งฝ่าฟันราวกับสัตว์อสูร
“สถานการณ์ดูแย่นะดูลุค” วาเลี่ยมเองก็ได้แต่เฝ้ามองเพราะตัวเขานั้นเก่งในด้านการบริหารมิใช่การทำสงครามแต่ด้วยความรู้และประสบการณ์หรือเป็นใครมาเห็นก็ต้องรู้เช่นกันว่าฝั่งเขากำลังถูกไล่ต้อนกลับมาและยังสูญเสียผู้อัศวินไปหลายร้อยคน
“แย่มากครับท่าน นี่ขนาดพวกเราแบ่งกำลังจากเผ่าอื่นไปด้วยยังตรึงมือขนาดนี้ หากพวกมันรวมตัวและบุกไปยังเมืองที่ประชาชนอยู่คงได้เกิดหายนะแน่ ๆ”
“ในเมื่อเจ้ารู้เช่นนั้นก็จงหยุดพวกมันให้ได้ ถ้ามันผ่านพวกเจ้าที่เป็นกลุ่มอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดไปได้มันก็จบ” ผู้ช่วยของเขาพาวาเลี่ยมไปยังที่พักเพื่อความปลอดภัยทั้ง ๆ ที่เขาไม่จำเป็นต้องมาสนามรบเลยก็ได้
ไม่ใช่เพียงแค่เผ่ามนุษย์เท่านั้นที่สู้สุดชีวิต เผ่าร่วมรบทั้งหมดก็กำลังพยายามสุดความสามารถโดยเฉพาะเผ่าก็อบลินที่บุกไปแนวหน้าเป็นตัวตั้งตัวตีลดจำนวนของนักฆ่าที่หลุดไปแนวหลังให้น้อยที่สุด
“พวกแกมันก็มีดีแค่แรงเยอะเท่านั้นแหละ ต่อให้ร่างกายจะแข็งแกร่งแค่ไหนถ้าโดนพิษเข้าไปก็ตายอยู่ดี” การเคลื่อนไหวที่ว่องไวผสมผสานกับลมที่พัดเอาฝุ่นทรายเข้ามาทำให้เผ่าก็อบลินมองได้ยาก
“อ๊าก! ช่วยด้วยข้ารู้สึก...” ความปวดแสบปวดร้อนจากภายในราวกับถูกไฟเผาลำพังแค่ฝืนยืนขึ้นยังลำบาก
“ทำใจไว้สหายของข้า” ผู้นำเผ่ากระโจนไปหาคู่ต่อสู้ที่เคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วและเขาก็สามารถจับได้หนึ่งคนด้วยการคาดคะเนล้วน ๆ ก่อนจะใช้ค้อนยักษ์ฟัดร่างแหลกไปทันที
ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาประชุมวางแผนทุกคนต่างรับฟังทุกข้อเสนอของซึฮากิอาจจะเป็นเพราะแผนมันใช้การได้อยู่แล้วหรือเพราะเห็นเจ้าปุยอยู่ข้าง ๆ ก็ไม่อาจทราบได้
“ผมกับสเตล่าจะแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มของพวกมัน และเมื่อพวกมันเดินไปยังจุดนี้เราจะยิงควันขึ้นไปข้างบนจังหวะนั้นให้เผ่าฮาร์พีที่เตรียมระเบิดไว้โยนมันลงมา แนวหน้าที่จะรับมือในระยะหนึ่งร้อยเมตรก็คือเผ่าก็อบลินและเผ่ามนุษย์จะอยู่ด้านหลังห่างออกไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร”
“ทำไมถึงต้องแยกกันด้วยล่ะ?”
“นักฆ่าพวกนี้ถนัดการเคลื่อนไหวเป็นพิเศษหากเราอยู่รวมกันจะยิงจับตัวพวกมันได้ยากอีกทั้งยังเป็นเป้าสายตาโดนโจมตีได้ง่ายดังนั้นเราแบ่งเป็นหลาย ๆ จุด การโจมตีเปิดในระลอกแรกถือว่าสำคัญเพราะเป็นช่วงเวลาที่ศัตรูยังไม่ได้ตั้งตัว”
“แต่ว่าพวกมันยังมีนักฆ่าระดับสูงที่มีเลเวลห้าขึ้นไปอีกนะ แถมเจ้าคนโลภก็ก้าวข้ามเลเวลเจ็ดไปแล้วด้วย”
“เขาจะบุกเข้ามาไวยิ่งกว่าใครและคงเล็งเป้าเป็นพวกผู้บัญชาการหรือผู้นำเผ่าแน่ ๆ”
ถึงตอนนั้นข้าจะไม่เชื่อก็ตามว่าเจ้าคนโลภจะก้าวข้ามเลเวลไปแล้ว...
กองทัพของมนุษย์ที่กำลังยื้อไว้จำเป็นต้องล่าถอยด้วยจำนวนคนที่เหลือไม่ถึงครึ่ง สิ่งที่พวกเขากำลังหนีกันอยู่นั้นก็คือโยนผู้บริหารของสำนักมนตร์ดำและเป็นผู้นำของสาขาอาณาจักรอาฟ
“พวกนั้นจะค่อย ๆ โดนพิษตายกันไปเองแกก็ไม่เว้นเช่นกันดูลุค”
ร่างกายกำยำที่เคยเดินอย่างองอาจบัดนี้กลับล้มนอนกับพื้นถูกเท้าของโยนเหยียบย่ำไร้ซึ่งศักดิ์ศรี
“เหอะ ๆ ๆ แกมันก็เป็นได้แค่นักฆ่าในเงาไปวัน ๆ เท่านั้นแหละ” ดูลุคหนึ่งในคนที่อยู่เลเวลแปดเช่นเดียวกับโยนแต่กลับถูกโค่นลงได้ไม่ยากเย็น เขาหัวเราะแห้ง ๆ ถุยน้ำลายที่ปนเลือดใส่หน้าของโยนไม่รู้สึกกลัวความตายที่กำลังมาเยือนเลยสักนิด
“ไอ้เวรนี้” โยนสะบัดมีดสั้นด้วยมานาจำนวนหนึ่งเพื่อปลิดชีพของดูลุคแต่ก็มีใบมีดวายุพุ่งมาขัดขวางเสียก่อน
“พวกเรามาช่วยแล้ว”
เผ่าคนแคระที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์แบกสังขารที่มีแผลมากมายมาหลังจากกำจัดนักฆ่าในส่วนของตัวเองเรียบร้อย
“มาช้าไปหน่อยเพราะพวกมันเก่งกว่าที่คิด” โยนถึงกับตกตะลึงเมื่อได้เห็นใบหน้าของหัวหน้าหน่วยของสำนักมนตร์ดำและหญิงสาวที่เขาไว้ชีวิตเดินมากับพวกคนแคระ
“พวกแกมันคนทรยศ!” โยนตะโกนด่าด้วยความโกรธเกรี้ยวเหวี่ยงมีดสั้นออกไปมันค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นคลื่นสีดำทมิฬเพียงได้เห็นก็รู้สึกถึงความเจ็บปวด อีกทั้งยังเข้าประชิดตัวด้วยความเร็วเท่า ๆ กับมีดสั้นก่อนหน้านี้และวาดมีดสั้นอีกเล่มเสยขึ้นจากด้านล่างสร้างการโจมตีผสานที่รวดเร็วจนไม่อาจป้องกันได้ทัน
“หา? อ-อะไรกัน” ร่างของหัวหน้าหน่วยสำนักมนตร์ดำค่อย ๆ สลายกลายเป็นควันสีดำก่อนจะเผยให้เห็นร่างจริง
“คิดไว้อยู่แล้วแหละว่าต้องพุ่งมา” ใบหน้านั้นกำลังสลายกลายเป็นรูปลักษณ์ของซึฮากิที่กำลังจ้องมองโยน
“ลาก่อน...” ใบมีดของโยนถูกป้องกันไว้ได้ด้วยเกราะอันหนาเตอะที่เตรียมไว้ และระหว่างที่โยนกำลังเสียหลักเพราะแรงที่พุ่งเข้ามาก็ถูกซึฮากิตัดคอไปเสียแล้ว
“สุดยอดไปเลยทำไมถึงจัดการกับเลเวลแปดได้ง่ายขนาดนี้” คนแคระข้าง ๆ ถึงกับอุทานออกมา
ก็จริง ต่อให้โดนผลาญมานากับพละกำลังไปเยอะแล้วแต่กลับไม่มีการป้องกันอย่างเสริมกำลังเลย
จู่ ๆ บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างกับจะมีพายุฝน เผ่าฮาร์พีและเผ่าภูตจำเป็นต้องถอยเพราะแรงลมและฝนทำให้เคลื่อนไหวได้ยากอีกด้านก็เหลือเพียงเผ่ามนุษย์หมาป่าและออร์คที่คอยต้านการโจมตีไว้
“น่าสนใจจริง ๆ ที่ฆ่าตัวแทนของข้าได้” ร่างอันผอมแห้งที่ดูอ่อนปวกเปียกเสมือนเป็นแค่คนรับใช้ในสำนักมนตร์ดำกำลังย่างเข้ามาเผชิญหน้ากับซึฮากิ
อย่าบอกนะว่า
ร่างอันผอมแห้งดูไม่ได้ค่อย ๆ สลายไปกลายเป็นใบหน้าของโยนที่กำลังแสยะยิ้มอย่างกับคนบ้า มานารอบ ๆ ตัวเขานั้นกำลังก่อรวมกันปกป้องร่างกายไว้ ด้วยความหนาแน่นมากมายเช่นนั้นจำเป็นต้องทำให้มานาของเขาเหลือน้อยเท่านั้นถึงจะเข้าถึงตัวได้
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 236
แสดงความคิดเห็น