ตอนที่ 5 เยือนสวรรค์
เวลาสำหรับมื้ออาหารผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางหูและจางอี้หมิงจึงพาหลี่อ้ายกลับบ้าน เด็กน้อยบอกลาจางอี้เทาที่กำลังกลับไปทำงานตามปกติ พวกเขาเดินตามเส้นทางเดิมแต่เพราะขากลับมีคนป่วยมาด้วย การเดินทางจึงช้าลงไปเกือบเท่าตัว
“หลี่อ้าย นอนพักตรงนี้ก่อน แม่จะไปเอาน้ำมาให้เจ้าดื่ม” หูไป๋หงเอ่ยกับลูกสะใภ้ นางให้หลี่อ้ายนั่งรอใต้ร่มไม้ก่อนจะเดินไปตักน้ำ พวกเขาเดินกันมาได้สักพักแล้ว จางอี้หมิงไปรอบๆ เมื่อไม่รู้ว่าตรงนี้คือที่ใดและเวลาใดจึงเอ่ยถาม
“ท่านย่าขอรับ ตอนนี้ยามไหนแล้วขอรับ”
“น่าจะยามเว่ย (13.00 – 14.59) นะหมิงเอ๋อร์ มีอะไรหรือเปล่า”
“ข้าอยากขึ้นเขาไปหาผักป่าหรือของกินขอรับ ถ้าเรารีบไปตอนนี้อาจจะหาอะไรมากินได้บ้างก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน”
“ไม่ได้ หมิงเอ๋อร์ เจ้าเพิ่งฟื้นขึ้นมาวันนี้ เหตุใดจึงดื้อรั้นอยากออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก รอให้บิดาของเจ้ากลับมาจากไร่เสียก่อน ถ้าบิดาเจ้าไม่อนุญาต ย่าก็ไม่อนุญาตเช่นกัน ตอนนี้มารดาเจ้าล้มป่วยอยู่คนหนึ่งแล้ว หากเจ้าต้องมาล้มป่วยอีกคน ครอบครัวเราคงรับไม่ไหวแน่”
นางหูถึงกับปฏิเสธทันควัน สถานการณ์ตอนนี้เป็นดังคำที่นางว่า ครอบครัวนี้ไม่มีเงินเหลือแม้แต่อีแปะเดียว เงินก้อนสุดท้ายที่มีก็จ่ายค่ายาของจางอี้หมิงไปหมดแล้ว โชคดีที่ยังมีอาหารที่แลกมาจากการทำงานในไร่ให้พอประทังชีวิต
“ท่านย่า ข้าขอโทษขอรับ” จางอี้หมิงหน้าหง่อย เขาพยักหน้ารับรู้ “ข้าไม่ดื้อแล้วขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์ เข้าใจย่าใช่หรือไม่”
“ข้าเข้าใจขอรับ”
“ปล่อยให้แม่ของเจ้าพักผ่อนเถิด” นางมองใบหน้าสลดของหลานชายก่อนจะเอ่ยชวน “หมิงเอ๋อร์ไปอาบน้ำกับย่าที่ลำธารกันเถอะ แล้วพาย่าไปดูผักที่เจ้าว่ามันกินได้ เผื่อว่ามันจะเอามาทำอาหารได้”
“ท่านย่า ไป ๆ ไปขอรับ” เขารีบพยักหน้า เด็กน้อยหันไปมองหน้ามารดาที่ซีดเซียวและรีบสาวเท้าก้าวตามท่านย่า
สองย่าหลานเดินไปที่ลำธารใหญ่ที่เดิม จางอี้หมิงจูงมือท่านย่าไปดูบึงที่เต็มไปด้วยไข่น้ำ เรียวปากเล็กส่งเสียงเจื้อยแจ้วบอกถึงวิธีการคัดเลือกสำหรับนำมาทาน เขาหันไปมองตามแนวริมฝั่งแล้วพานางหูเดินไปดูผักบุ้ง พวกมันแผ่ขยายยาวไปตามบึงมีบางส่วนยื่นออกไปอยู่ในน้ำด้วย เขาอธิบายวิธีการเก็บและการทำอย่างดี
“หมิงเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงรู้เรื่องทั้งหมดนี่”
“เอ่อ...คือ คือว่าข้า...”
(เอาแล้วไงไอ้นนท์ จะตอบไงล่ะที่นี่ ร่างนี้อายุแค่ห้าขวบเท่านั้นเอง ขืนพูดอะไรผิดไปมีหวังความแตกแน่ เอ๊ะ! ในนิยายเราใช้มุขนี้นี่หว่า แถมคนรอบข้างเชื่อด้วย เอาล่ะ มาลองใช้ในสถานการณ์จริง)
“ท่านย่า ความจริงแล้วตอนที่ข้านอนหลับยาวนานนั้น ในฝันท่านเทพได้มารับข้าไปเที่ยวเมืองสวรรค์ขอรับ ท่านเทพสอนข้ามากมายเกี่ยวกับผักพวกนี้และยังบอกอีกว่าจะมาพาข้าไปเที่ยวบ่อย ๆ ท่านเทพเป็นคนมอบความรู้ทั้งหมดให้ข้าขอรับ”
จางอี้หมิงเงยหน้าตอบนางหู เขาปั้นหน้าซื่อทำเหมือนกับเด็กน้อยที่ไม่รู้จักการตลบตะแลงหรือการโกหกแม้แต่น้อย หูไป๋หงได้ยินหลานชายตอบเช่นนั้นก็ตื่นตกใจ รีบคว้าเอาร่างเล็กมากอดไว้แน่น
“หมิงเอ๋อร์ เป็นความจริงหรือที่ท่านเทพมาพาเจ้าไป โธ่สวรรค์...ขอบคุณ ขอบคุณที่คืนหมิงเอ๋อร์ หลานข้ากลับคืนมา ได้โปรดอย่าพรากหลานชายเพียงคนเดียวของข้าไปอีกเลย”
นางหูรีบปล่อยหลานชายออกจากอ้อมแขน หันหน้าไปทั้งสี่ทิศและก้มกราบปะปลก ๆ เอ่ยขอบคุณสวรรค์ด้วยความปลาบปลื้ม นางรีบหันมาคว้าหลานชายพร้อมสวมกอดอีกครั้ง
“ท่านย่า ไม่เป็นไรแล้ว ข้าไม่เป็นไรจริง ๆ ตอนนี้ข้าแข็งแรงมาก ท่านย่าก็เห็น เพราะท่านเทพช่วยรักษาข้าน่ะขอรับ ต่อไปนี้พวกเราจะมีความสุขแน่นอนขอรับ ท่านเทพได้บอกข้าไว้ในการพบกันครั้งก่อน”
จางอี้หมิงเอ่ยกับย่าของตนเองแต่มือข้างขวาก็แอบไขว้ไว้ด้านหลัง
(ข้าขอโทษขอรับท่านย่า)
“ดี ดีจริง ๆ งั้นพวกเรามาช่วยกันเก็บผักพวกนี้ไปกันเถอะ”
“ท่านย่า เก็บแค่ผักบุ้งก็พอนะขอรับ เพราะไข่น้ำถ้าไม่ปรุงด้วยเครื่องเทศ มันจะคาวและไม่อร่อย แต่ผักบุ้งพอกินได้ขอรับ”
นางหูและจางอี้หมิงช่วยกันเก็บผักบุ้งมาได้พอประมาณ ทั้งสองรีบกลับไปหาหลี่อ้าย พาสะใภ้จางเดินกลับไปยังบ้านของตนเอง ไม่ทันไรหัวหน้าครอบครัวก็เดินกลับเข้าบ้านพร้อมธัญพืชหยาบที่ได้จากการไปทำงานในวันนี้
“ท่านแม่ เข้าบ้านก่อนเถอะขอรับ แล้วข้าจะเล่าให้ฟัง”
จางอี้เทาเดินเอาห่อธัญพืชหยาบกับห่อเนื้อสัตว์วางไว้กลางบ้าน เขานั่งลงเพื่อพักผ่อนให้เบาอาการปวดล้า จางอี้หมิงเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งไปหยิบน้ำมาให้บิดา เขาไม่ลืมเอาผ้าเช็ดหน้าพร้อมขันน้ำใบเล็กมาด้วย
“หมิงเอ๋อร์ ช่างเป็นเด็กดีเสียจริง ขอบใจเจ้ามาก”
“ไม่เป็นไรขอรับ ข้ารักท่านพ่อ ท่านพ่อทำงานเหนื่อย ข้าอยากช่วยท่านพ่อทำงานขอรับ”
“อาเทา นี่มัน....” นางหูที่เดินเข้าไปดูห่อผ้าถึงกับเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
สิ่งที่นางเห็นในตอนนี้คือเนื้อสัตว์แน่ ๆ ถึงแม้ว่าจะมีส่วนเนื้อติดประปราย ที่เหลือมีแต่ไขมันเป็นส่วนมากก็เถอะ แต่ก็มีค่ามากนัก เนื้อชินนี้หากกะด้วยสายตาก็น่าจะประมาณเกือบ 5 ชั่ง
“มีอะไรหรือเปล่า อาเทา”
“วันนี้ทำงานที่ไร่วันสุดท้ายแล้วขอรับ พืชผลเก็บเกี่ยวหมดแล้ว ท่านพี่เย่จ่ายค่าจ้างเป็นธัญพืชตามที่เราแจ้งไป แต่ท่านพี่เย่คงสงสารบ้านเราจึงแบ่งเนื้อเลวมาให้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยมีเนื้อเท่าไหร่ แต่ถ้าเราเลือกเอาหน่อย อาจจะทำน้ำแกงเนื้อได้สักมื้อน่ะขอรับ”
“อาเย่ช่างเป็นคนดีจริง ๆ ความจริงวันนี้อาเย่ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างเมียเจ้าเต็มวันก็ได้ แต่นี่นอกจากไม่ว่าแล้วยังจ่ายธัญพืชมาเต็มส่วนด้วย ส่วนเนื้อนี่ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเนื้อเลว แต่อย่างที่เจ้าว่า เราเลือกเอาสักหน่อยน่าจะได้น้ำแกงเนื้อสักมื้อ ตั้งแต่เรามาที่นี่ยังไม่เคยได้กินจานเนื้อเลย หมิงเอ๋อร์คงดีใจไม่เบา”
“ท่านย่า เหตุใดถึงเรียกว่าเนื้อเลวล่ะขอรับ” จางอี้หมิงที่นั่งฟังอยู่นานถึงกับขมวดคิ้ว
“เพราะมันมีเนื้อนิดเดียวอย่างไรเล่า เจ้าลองมองดูสิ ที่เหลือมีแต่ไขมันทั้งนั้น ไม่มีผู้ใดกินไขมันนะหมิงเอ๋อร์ เวลาเอาไปต้มมันทั้งเลี่ยนและยังทำให้รู้สึกอยากอาเจียน รสชาติก็ไม่อร่อยเอาเสียเลย”
“ท่านแม่ พี่เย่ยังให้เครื่องเทศมาอย่างละนิดหน่อยด้วยขอรับ” จางอี้เทาพูดขึ้นเมื่อได้ยินคำว่าเลี่ยน เขานึกขึ้นได้ว่าลูกชายหัวหน้าหมู่บ้านให้เครื่องเทศมาด้วย ซุนซุเย่รู้ว่าครอบครอบของเขายากจนคงไม่มีเครื่องปรุงสำหรับทำเนื้อ จึงเมตตาสงสาร
“ดีจริง ๆ ชาตินี้ครอบครัวเราคงตอบแทนบุญคุณครอบครัวซุนไม่หมดแน่”
นางหูยกยิ้ม ดวงตาสั่นระริกจนต้องยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา ตั้งแต่ออกจากเมืองหลวง อย่าว่าแต่อาหารจานเนื้อเลย แม้แต่เครื่องปรุง เครื่องเทศ ครอบครัวนางก็ไม่เคยได้แตะอีก
“ท่านย่า นี่ไม่ใช่เนื้อเลวแม้แต่นิด มันคืออาหารสวรรค์ มีค่าดั่งทองเชียวละขอรับ”
จางอี้หมิงถึงกับหัวเราะยิ้มกว้างออกมาอย่างมีความสุขเมื่อเขามองเห็นกองไขมันที่วางอยู่ตรงหน้า
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดไปแล้ว เหตุใดจึงหัวเราะออกมาเช่นนี้” นางหูเอ่ยถาม ท่าทางของหลานชายช่างพิลึกพิลั่นชวนสงสัย
“ท่านย่า นี่คืออาหารชั้นยอดเลยนะขอรับ ท่านย่าจำได้หรือไม่ ที่ท่านเคยถามข้าว่า น้ำมันคืออันใด การผัดคืออันใด วันนี้ข้าจะแสดงให้ดูขอรับ รับรองว่ามื้อนี้ท่านย่าต้องมีความสุขมากแน่ ๆ ขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์ อย่าบอกนะว่าท่านเทพบอกเจ้ามาอีกแล้ว”
“ท่านแม่ หมิงเอ๋อร์ กำลังคุยกันเรื่องอันใดขอรับ” จางอี้เทาถาม เขางุนงงกับบทสนทนาระหว่างมารดาและลูกชาย
“อาเทา หมิงเอ๋อร์เล่าให้แม่ฟังว่าในตอนที่สลบไป ในฝันท่านเทพมาพาหมิงเอ๋อร์ออกไปเที่ยวยังเมืองสวรรค์แล้วจึงพากลับมา ท่านเทพยังได้รักษาร่างกายของหมิงเอ๋อร์ให้แข็งแรงและสอนเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ให้ด้วย
วันนี้หมิงเอ๋อร์ นำผักกลับมาจากลำธาร 2 อย่างแล้วบอกว่ามันคืออาหาร ซึ่งแม่เห็นว่ามันคือหญ้าที่ขึ้นตามบึงน้ำ ไม่มีใครเอาหญ้ามากินกันแต่หมิงเอ๋อร์ยืนยันนักหนาว่ากินได้ อ้อ อีกอย่างคือการทำอาหาร หมิงเอ๋อร์บอกว่ามีการทำอาหารมากกว่าการต้ม นึ่ง ย่างและอบ”
“หมิงเอ๋อร์ เป็นความจริงหรือ”
“ขอรับ” เด็กน้อยยิ้มสดใส
(ขอขอโทษท่านพ่อ)
“ดีจริง ๆ ขอบคุณท่านเทพที่ช่วยรักษาหมิงเอ๋อร์ของพ่อให้แข็งแรง” จางอี้เทากอดลูกชายไว้แน่น เขาตื้นตันใจที่ลูกมีบุญมีวาสนา แต่ในขณะเดียวกันก็กลัวว่าจะเกิดอันตราย จึงเอ่ยเตือนลูกชายเอาไว้ก่อน“หมิงเอ๋อร์ เรื่องท่านเทพเจ้าจะพูดออกไปไม่ได้เป็นอันขาดรู้หรือไม่ ถ้าคนอื่นถามก็บอกว่ายาของหมอผิงรักษาเจ้า”
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ แต่ท่านพ่อขอรับ ข้าหายใจไม่ออก”
“โอ๊ะ หมิงเอ๋อร์ พ่อขอโทษ” จางอี้เทาจึงรีบคลายอ้อมกอดออกจากลูกชาย เขาดีใจมากจริง ๆ จนเผลอรัดวงแขนแน่นไปหน่อย
“ข้านึกว่าจะขาดใจเสียแล้ว” จางอี้หมิงสูดหายใจเข้าเต็มปอด ท่าทางราวกับคนใกล้จะขาดอากาศ จางอี้เทาถึงกับส่ายหน้าให้กับท่าทางของบุตรชาย
“ข้าขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะขอรับ” เมื่อนึกขึ้นได้ว่าร่างกายตนชุ่มไปด้วยเหงื่อมาตลอดทั้งวันก็อยากจะไปชำระกายคลายร้อน จางอี้เทาลุกขึ้นแล้วเดินแยกตัวออกไป
“ไปเถอะ” หูไป๋หงบอกก่อนที่บุตรชายจะเดินออกไป
“ท่านย่าขอรับ พวกเราไปทำอาหารสวรรค์กันเถอะขอรับเพราะมันต้องใช้เวลาในการทำพอสมควร เมื่อท่านพ่อกลับมาจากอาบน้ำ ท่านแม่คงตื่นพอดี เย็นนี้เราจะกินให้พุงกางไปเลย”
“เจ้าตัวน้อย โอ้อวดเสียจริง ไปสิ ย่าอยากรู้เช่นกันว่าอาหารเมืองสวรรค์จะอร่อยขนาดไหนเชียว”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 292
แสดงความคิดเห็น