ตอนที่ 4 เจอของดี
“ท่านย่า ท่านย่าขอรับ ข้ากลับมาแล้ว” เสียงตะโกนที่ดังลั่นมาแต่ไกล ทำให้นางหูถึงกับสะดุ้ง มือเหี่ยวย่นเกือบจะปล่อยหม้อที่ถือไว้หลุดจากมือ นางหันหน้าไปมองหลานชายและเอ่ยเสียงดุ
“หมิงเอ๋อร์ เหตุใดจึงส่งเสียงดังนักเล่า ย่าเกือบทำหม้อหลุดมือ”
“ท่านย่า ข้ามีของดีมาฝากขอรับ” จางอี้หมิงวางตะกร้าผักบนพื้น เขาก้มลงหยิบสิ่งที่ถือไว้ออกมา มันเป็นห่อขนาดไม่ใหญ่นักทำมาจากใบไม้ใหญ่ซ้อนกัน มือเล็กๆคลายออกเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน แม้จะเก็บมาเพียงเล็กน้อยแต่เขามั่นใจว่านางหูไป๋หงต้องพอใจอย่างแน่นอน อี้หมิงยื่นมันให้ท่านย่าดูพร้อมรอยยิ้มกว้าง แต่เขาก็ต้องประหลาดใจเพราะสิ่งที่ได้กลับมาไม่ใช่คำชมอย่างที่ตนหวัง แต่เป็นเสียงดุยกใหญ่
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าเก็บสิ่งใดมา ย่าไม่เห็นรู้จัก แล้วเอาผักป่ามาให้ย่า”
“ท่านย่า ท่านไม่รู้จักสิ่งนี้หรือขอรับ”
“มันคืออะไรเล่า”
“มันคือผำหรือไข่น้ำขอรับ นำมาทำน้ำแกง ผัดใส่ไข่ อร่อยมากเลยขอรับ ข้าเก็บมานิดเดียว เพราะว่ากลัวตกลงไปในบึง รอบหน้าข้ารบกวนท่านย่าไปเก็บให้ข้าหน่อยได้ไหมขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์ อย่าบอกนะว่าเจ้าเดินออกนอกเส้นทางไปทางบึงน้ำ มันอันตรายมาก ครั้งหน้าเจ้าห้ามไปคนเดียว เข้าใจที่ย่าบอกหรือไม่”
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ต่อไปข้าจะไม่ทำให้ท่านย่าเป็นห่วงอีกแล้ว ข้ายังมีผักอีกอย่างนะขอรับ ท่านย่าพอจะรู้จักผักชนิดนี้หรือไม่” จางอี้หมิงคอตกและวางห่อไข่น้ำลงบนพื้น เขาหยิบผักอีกชนิดออกมา มันเป็นผักที่มีลักษณะเป็นปล้อง เส้นยาว ใบและลำต้นออกสีเขียว ผู้คนนิยมนำมารับประทานไม่น้อย เด็กน้อยยื่นให้ท่านย่าดูพลางจ้องมองด้วยดวงตาใสซื่อ นางหูต้องรู้จักแน่
“มันมิใช่หญ้าหรือหมิงเอ๋อร์”
ผิดคาด...ท่านย่าไม่รู้จักผักชนิดนี้หรอกหรือ
“หญ้าหรือขอรับ” อี้หมิงเอียงคอ “เหตุใดท่านย่าจึงบอกว่ามันคือหญ้าขอรับ”
“ไม่มีใครเอาต้นนี้ไปทำอาหาร” นางหูตอบ “มันมีเยอะแยะตามลำธาร เจ้าคิดว่ามันกินได้หรือหมิงเอ๋อร์”
“ท่านย่า นี่เรียกว่าผักบุ้ง มันกินได้ขอรับ เอามาผัดไฟแดง อร่อยมากเชียวล่ะ”
“ผัดไฟแดงเป็นอย่างไรหรือ”
“ผัดไฟแดงคือการผัดผักบุ้งในน้ำมันด้วยไฟที่แรงมาก ๆ ขอรับ”
“การผัดคืออันใด แล้วน้ำมันคืออันใด” ท่านย่าขมวดเรียวคิ้ว “เจ้าพูดสิ่งใดกันหมิงเอ๋อร์”
“ห๊า!!! ท่านย่าไม่รู้จักน้ำมันสำหรับผัดหรือขอรับ”
หูไป๋หงส่ายหน้าเป็นคำตอบ ตั้งแต่นางเกิดมาจนอายุปูนนี้ ผ่านอะไรมามากมายแต่ไม่เคยได้ยินคำว่าผัดและน้ำมัน จางอี้หมิงถึงกับยกมือขึ้นตบหน้าผากตนเอง เขาหลุดมาอยู่ยุคไหนกันแน่ เหตุใดจึงยังไม่มีการทำอาหารด้วยน้ำมัน ยังไม่รู้จักการผัดหรือผักบุ้ง ในนิยายที่เขาเขียนมาหลายเรื่องมันยังไม่มีเหตุการณ์แบบนี้
“หมิงเอ๋อร์ เราพักเรื่องผัก เรื่องผัด พวกนี้ไว้ก่อนดีหรือไม่ ย่าขอทำอาหารให้พ่อกับแม่ของเจ้าเสียก่อน ป่านนี้อาจจะหิวจนเป็นลมแล้วก็ได้” นางหูเอ่ยตัดบท ตอนนี้ลูกชายและลูกสะใภ้คงหิวแย่ ทำงานกันตั้งแต่เช้าจนตะวันขึ้นตรงหัว
“นี่ขอรับ ผักป่าที่ข้านำไปล้าง” เด็กน้อยหยิบตะกร้าผักขึ้นมาและยื่นให้ผู้เป็นย่า เขาไม่ลืมหยิบผักบุ้งแยกออกมาด้วย
จางอี้หมิงเดินไปดูว่าวิธีการทำอาหารที่ท่านย่าเอ่ยถึงว่าเป็นอย่างไร การทำงานเป็นคนขายอาหารตามสั่งดึงดูดให้เขาสนใจและอยากเรียนรู้การทำอาหารในยุคนี้ เผื่อจะช่วยได้บ้างไม่มากก็น้อย ไม่อยากจะคุยแต่รสมือของเขาเป็นเลิศไม่แพ้ใคร
นางหูต้มโจ๊กธัญพืชไว้รออยู่แล้วระหว่างที่หลานชายนำผักป่าไปล้าง เมื่อได้ผักที่สะอาดแล้ว นางจึงนำมาเด็ดให้สั้นลงแล้วใส่ลงไปในหม้อ ปิดฝา ทิ้งไว้ไม่นานก็ยกลงจากเตา จางอี้หมิงถึงกับตกใจจนตาโตที่ขั้นตอนในการทำมีแค่ต้มธัญพืชแล้วใส่ผักป่าลงไปเท่านั้น ไม่ได้ใส่เครื่องปรุงอะไรเลย
“ท่านย่าขอรับ เหตุใดถึงไม่มีเครื่องปรุงอันใดใส่ลงไปเลยเล่าขอรับ”
“เครื่องปรุงบ้านเราไม่มีนะหมิงเอ๋อร์ ครอบครัวเราไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อเครื่องปรุง ได้แต่กินโจ๊กผักต้มแบบนี้แหละ”
ตายแล้วไอ้นนท์ นี่มันไม่ยากจนแล้ว แต่มันโครตจนเลยต่างหาก จนถึงขนาดที่ไม่มีอะไรจะกินแล้ว แล้วแบบนี้เมื่อไหร่เขาจะโตกันล่ะ ว่าแล้วก็ก้มลงมองไปยังร่างกายที่ผอมแห้งของตนเอง สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาอย่างสังเวชใจ
“เครื่องปรุงมีอันใดบ้างขอรับ”
“เกลือ ให้รสเค็ม น้ำตาลให้รสหวาน ซีอิ้ว เหล้า แล้วก็เครื่องเทศต่าง ๆ ใช้ปรุงรส หมิงเอ๋อร์ถามทำไมหรือ”
ยังดีที่มีซีอิ้ว นึกว่าจะไม่มีเครื่องปรุงรสอื่นแล้วนอกจากเกลือกับน้ำตาลเหมือนนิยายเรื่องอื่น
“เกลือ น้ำตาล ซีอิ้ว เครื่องเทศพวกนี้คงมีราคาแพงมากเลยใช่ไหมขอรับ บ้านเราถึงไม่มีแม้สักอย่าง”
“ใช่จ๊ะ เครื่องปรุงมีราคาแพงมาก เกลือแพงที่สุด รองลงมาคือซีอิ้ว น้ำตาล แล้วก็เครื่องเทศต่าง ๆ ” ท่านย่าพยักหน้า นางตอบไปด้วยท่าทางที่ไม่ได้ทุกข์ร้อนนักแต่ในใจกลับปวดร้าว ยิ่งหลานชายเอ่ยถามด้วยความใสซื่อก็ยิ่งน้อยใจในชะตาลิขิตของตนเอง
“หมิงเอ๋อร์อยู่บ้านคนเดียวได้หรือไม่ ย่าจะเอาอาหารไปส่งให้บิดามารดาของเจ้าที่ไร่หัวหน้าหมู่บ้าน” หญิงชราเอ่ยถามพร้อมแย้มรอยยิ้มบางๆ นางตักโจ๊กใส่ภาชนะเพื่อเตรียมนำไปให้บุตรชายและสะใภ้
“ท่านย่า ข้าไปด้วยขอรับ ข้าอยากเห็นไร่และรอบ ๆ หมู่บ้าน”
จางอี้หมิงอ้อน เขาไม่ยอมอยู่บ้านคนเดียวแน่ มันน่าเบื่อจะตายไป การออกไปข้างนอกเดินรอบ ๆ หมู่บ้านอาจจะทำให้เขามีหนทางที่จะหาอาหารและเงินเข้าบ้านได้ เพราะนิยายเรื่องไหน ๆ มันก็ต้องเข้าป่าหาอาหารกันทั้งนั้น
“ได้สิ” หูไป่หงมองหลาน “ไปกันเถอะ ป่านนี้พ่อแม่เจ้าคงรอนานแล้ว”
สองย่าหลานเดินทางไปที่ไร่ของหัวหน้าหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไป ใช้เวลาเดินประมาณหนึ่งเค่อครึ่งก็ถึง นางหูจับมือหลานชายไว้ตลอดเวลา ในตอนแรกเด็กชายไม่ยินยอม เขาอายุขนาดนี้แล้วสามารถเดินเองได้โดยไม่ต้องจับมือถือแขนให้กลัวหลง แต่เพราะท่านย่าขู่ว่าจะไม่พาไปด้วยแล้ว จางอี้หมิงจึงยอมแต่โดยดี
เดินจูงมือกันแบบนี้ก็อบอุ่นดีเหมือนกัน
ระหว่างทางเด็กตัวน้อยเอ่ยถามถึงเรื่องราวในหมู่บ้านหลัวถงตั้งแต่เดินออกจากบ้านจนถึงไร่ที่จางอี้เทากับหลี่อ้ายทำงาน ท่านย่าเต็มใจตอบคำถาม นางเล่าเรื่องราวมากมายในขณะที่หลานชายก็เอ่ยถามไม่หยุด เสียงเจื้อยแจ้วจึงดังตลอดทาง
จากข้อมูลที่สอบถามมา จางอี้หมิงจึงได้ข้อสรุปว่าโลกใบนี้และหมู่บ้านหลัวถงเป็นโลกคู่ขนาน มีกลิ่นอายคล้ายประเทศจีน ไม่ว่าจะการแต่งกาย ภาษา วัฒนธรรมต่าง ๆ เพียงแต่มีบางอย่างที่มันขัดกับความรู้ที่เขารู้มา
แคว้นที่เขาอาศัยอยู่นี้ชื่อว่า แคว้นฉิน มีการปกครองด้วยองค์จักรพรรดิ เมืองหลวงมีชื่อว่า ซูโจว ที่นั่นเคยเป็นบ้านของเขาก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านหลัวถง ซึ่งเป็นหมู่บ้านหนึ่งในเมืองไห่ถัง เมืองเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีสิ่งใดนัก แม้แต่การเดินทางจากเมืองหลวงมายังหมู่บ้านหลัวถงเองก็ใช้เวลานานกว่า 10 วัน
ขณะนี้บ้านเมืองอยู่ในช่วงสงบศึกหลังสงครามเพียงแค่สิบห้าปี อาหารจึงยังไม่เพียงพอ แรงงานยังคงขาดแคลน แต่ศิลปะการแสดงเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
สำหรับการเดินทางจากหมู่บ้านหลัวถงเข้าไปในเมืองไห่ถัง ใช้เวลาเดินเท้า 1 ชั่วยาม หากเดินทางด้วยเกวียนจะใช้เวลาเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าเป็นรถม้าหรือม้าก็จะย่นระยะเวลาไปอีกครึ่งหนึ่งของการเดินทางด้วยเกวียน
ค่าแรงชาวบ้านทั่วไปขั้นต่ำอยู่ที่ 30 อีแปะต่อวัน โดยคนจ้างไม่ได้เลี้ยงอาหาร ชาวบ้านกินอาหารวันละ 2 มื้อ คือมื้อแรกเวลาประมาณ ยามอู่ (11.00 – 12.59) มื้อสุดท้าย ประมาณ ยามโหย่ว (17.00 – 18.59) การซื้อขายสินค้าจ่ายเป็นเงินตำลึง
ครอบครัวจางไปรับจ้างทำงานในไร่ของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อแลกกับธัญพืชโดยไม่รับเงินค่าจ้างแต่อย่างใด
ค่าเงิน 1000 อีแปะ เท่ากับ 1 ตำลึง 100 ตำลึง เท่ากับ 1 ตำลึงเงิน และ 10 ตำลึงเงิน เท่ากับ 1 ตำลึงทอง
เครื่องปรุงมีเพียงเกลือและน้ำตาลเท่านั้น ซึ่งมันก็ราคาแพงมาก ชาวบ้านยากจนเช่นครอบครัวของเขาในตอนนี้ถึงไม่มีเครื่องปรุงใช้เลย อย่าว่าแต่เครื่องปรุงเลย แค่ธัญพืชหยาบก็หาได้ยากแล้ว
สำหรับวิธีการปรุงอาหาร ชาวบ้านรู้จักแค่การต้ม ย่าง นึ่ง อบ เพียงเท่านั้น
ชาวบ้านมีอาชีพหาของป่า สมุนไพร เกษตรกรรม และการประมง เพราะหมู่บ้านหลัวถง ด้านหลังติดภูเขา ด้านหน้าติดทะเล ช่างเหมาะจะเป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจโดยแท้
สำหรับอาชีพประมง มีชาวบ้านเพียงไม่กี่หลังที่มีเรือหาปลา นอกจากนั้นจะเป็นการจับปลาจากการดำน้ำและใช้แห ปกติแล้วคนหาปลาจะนำปลาไปขายในเมืองด้วยตนเอง แต่ชาวบ้านทั่วไปมักนำสิ่งของที่หามาได้นำไปขายให้กับท่านลุงผิง ชายแก่วัยเกือบห้าสิบ ที่มีเกวียนรับคนจากหมู่บ้านเข้าเมือง โดยคิดค่านั่งเกวียนไปและกลับ คนละ 10 อีแปะ ลุงผิงจะนำสินค้าไปขายในเมืองอีกที นอกจากนี้ลุงผิงยังรับซื้อของในเมืองกลับมาขายในหมู่บ้านด้วย
บ้านของครอบครัวจางอยู่ตรงท้ายหมู่บ้าน ติดกับภูเขา มีข้อดีคือไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับชาวบ้าน ข้อเสียคืออาจจะมีสัตว์ร้ายลงมาทำร้ายร่างกาย แต่ก็ยังไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น มีจำนวน 30 หมู่ ถือว่ามีพื้นที่กว้างขวางพอสมควร ตอนนี้ยังไม่ได้ทำสิ่งใด เพราะย้ายมาได้เพียงเดือนกว่า จางอี้หมิงก็ล้มป่วย หัวหน้าหมู่บ้านจึงแนะนำให้เพาะปลูกในปีหน้า อีกอย่างจะเข้าฤดูเหมันต์ด้วย
“ท่านย่าขอรับ ท่านแม่จะทำงานในไร่ได้หรือไม่ขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์ ย่าก็ไม่รู้เหมือนกัน แม่ของเจ้าเป็นหญิงสาวในห้องหอ งานหนักไม่เคยได้จับ ย่าก็หวังว่าแม่ของเจ้าจะไม่เป็นอะไร” นางหูก้มลงตอบคำถามของหลานชายด้วยสีหน้าวิตกกังวล
“ข้าจะรีบโตขอรับ ข้าจะหาเงินมาให้ท่านย่า ท่านพ่อ กับท่านแม่เยอะ ๆ เลยขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าช่างเป็นเด็กดี กตัญญูรู้คุณคนยิ่ง ย่าจะรอวันนั้นนะ แต่ตอนนี้ย่าว่าพวกเรารีบเดินไปให้ถึงไร่ดีหรือไม่ ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าคงหิวข้าวแล้วเป็นแน่”
“ดียิ่งขอรับ”
บทสนทนาจบลงเท่านั้น สองย่าหลานรีบเร่งฝีเท้าขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัว หวังว่าจะไปถึงไร่ทันเวลาพักของจางอี้เทาและหลี่อ้าย แต่เมื่อเดินทางมาจนจวนจะถึงแคร่ไม้สำหรับพักผ่อน เสียงเซ็งแซ่ก็ดังออกมาจากกลุ่มชาวบ้านที่ยืมรวมตัวกัน จางอี้หมิงและนางหูมองหน้ากันด้วยความสงสัยก่อนจะเดินเข้าไป
“เกิดอะไรขึ้น” หูไป๋หงเอ่ยถาม นางจูงมือหลานชายเดินเข้าไปหา เมื่อเห็นว่าชาวบ้านกำลังโบกไม้โบกมือเหมือนเรียก
“สะใภ้จางน่ะสิ คงเป็นลมแดด” ชาวบ้านคนหนึ่งตอบ ก่อนคนที่เหลือจะเดินแยกย้ายกันไปพักผ่อนและแกะห่อข้าวออกมากิน เหลือเพียงครอบครัวจางเท่านั้น นางหูรีบเดินเข้าไปหา วางห่อข้าวที่ต้องนำมาส่งไว้บนแคร่ไม้ไผ่
“อาเทา สะใภ้เป็นเช่นใดบ้าง”
“ท่านแม่ น้องหญิงเป็นลมแดดไปกว่าสองเค่อแล้วขอรับ ทำยังไงก็ไม่ฟื้น ข้าว่าเราไปตามหมอผิงมาดูอาการดีหรือไม่ขอรับ”
“อย่าเพิ่ง ขอแม่ดูอาการนางก่อน” นางหูลงมือบีบนวดและใช้ใบไม้แถวนั้นมาพัด ผ่านไปชั่วอึดใจ สะใภ้จางจึงเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา
“ฟื้นแล้ว ท่านแม่ฟื้นแล้วขอรับ” เป็นจางอี้หมิงที่นั่งใกล้มารดาของตนเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ เด็กชายรีบร้องเรียกมารดา
“หมิงเอ๋อร์ ท่านแม่ ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” หลี่อ้ายคว้าตัวบุตรชายมาสวมกอดไว้หลอมๆก่อนจะคลายวงแขน นางหันไปมองสมาชิกในครอบครัวที่เหลือแล้วถามออกมา
“น้องหญิง เจ้าเป็นลมแดด ตอนนี้เรายังอยู่ที่ไร่ของหัวหน้าหมู่บ้าน”
“ท่านพี่ ข้าเป็นลมเช่นนี้คงทำงานต่อไปไม่ได้ เราจะได้ส่วนแบ่งอาหารหรือไม่เจ้าคะ” ในฐานะที่เป็นสะใภ้ หลี่อ้ายมีความกังวลขึ้นมาทันทีเมื่อได้รับคำตอบ ถ้าไม่ได้ส่วนแบ่งอาหารแล้วตนเองยังมาล้มป่วย คาดว่าครอบครัวคงแย่ยิ่งกว่านี้
“สะใภ้จาง ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะให้ส่วนแบ่งธัญพืชกับเจ้าเหมือนเดิม ป่วยก็กลับไปพักให้หายก่อน ถ้าดันทุรังทำงานต่อไป ข้าเกรงว่าร่างกายเจ้าคงย่ำแย่จนลุกไม่ขึ้นเป็นแน่” ซุนซูเย่ ลูกชายหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยขึ้น เขายิ้มปลอบใจและเดินกลับไปกินข้าวกับครอบครัวตนเองอีกมุมหนึ่ง
“ขอบคุณพี่ซูเย่ พวกข้าเกรงใจพี่ซูเย่ยิ่งนัก”
จางอี้เทาเอ่ยด้วยความเกรงใจ ครอบครัวเขาทำงานก็ไม่ใช่จะได้เต็มที่ เนื่องจากไม่เคยมีใครต้องทำงานหนักมาก่อน งานอันใดที่ได้รับมาก็ช้ากว่าชาวบ้านคนอื่น แต่ซุนซูเย่ก็ไม่เคยเอ่ยตำหนิ ทั้งยังคอยให้กำลังใจรวมถึงสอนงานต่าง ๆ มากมาย
“อาเทา เจ้ามากินข้าวก่อนเถอะ ตอนบ่ายจะได้ไปทำงานได้ตามปกติ ยิ่งอาเย่ไม่ตำหนิเรา ยิ่งต้องเกรงใจ” นางหูเอ่ย
“หลี่อ้าย เจ้าลุกขึ้นไหวหรือไม่ ลุกมากินข้าวก่อน เสร็จแล้วข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน คงต้องให้พักตามที่อาเย่บอก ไม่เช่นนั้นเกิดเจ้าล้มป่วยไปมากกว่านี้ คงไม่ดีเป็นแน่”
“ท่านแม่ หมิงเอ๋อร์ ท่านกินข้าวหรือยังขอรับ”
“พวกข้าก็ยังไม่ได้กินเช่นกัน แม่ต้องการเอาข้าวมาส่งให้ลูกก่อน”
“เช่นนั้น พวกเรามากินด้วยกันเถอะขอรับ”
จางอี้เทาเสนอ เขาชวนให้ทุกคนกินข้าวด้วยกันพร้อมหน้า ถึงแม้ว่าอาหารที่มีจะเป็นแค่โจ๊กธัญพืชผักป่า แต่เมื่อทำงานหนักและความหิวมาเยือน ทันทีที่ได้ลิ้มรสคำแรกก็ชวนให้รู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย
ขอบคุณท่านเทพทั้งหลายที่ยังให้พวกข้ามีข้าวกินในวันนี้ จางอี้เทากล่าวขอบคุณสวรรค์ในใจเงียบ ๆ
แต่ไม่ใช่กับจางอี้หมิง เขาจะไม่ยอมต้องทนกินอาหารหมูแบบนี้แน่ คิดสิคิด ในการหาข้อมูลต่าง ๆ ที่เราเคยทำมาก่อน ต้องเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ สิ่งแรกคือต้องไปหาของกินในป่า นิยายเรื่องไหน ๆ ของกินหรือสมุนไพรล้ำค่ามักอยู่บนเขาทั้งนั้น เห็นทีเขาต้องขึ้นเขาโดยเร็วซะแล้ว
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 330
แสดงความคิดเห็น