บทที่๖
“อารมณ์เสีย” ประภากระแทกตัวลงนั่งบนเตียงนอนด้วยความอารมณ์เสีย เพราะเพิ่งจะถกเถียงกับแม่และพี่ชายมาหยกๆ บนโต๊ะอาหาร จนหมดอารมณ์ที่จะรับประทานอาหารเช้า
เขมนันท์จึงพูดว่า
“ใจเย็นๆ ก่อนคุณภา อย่าอารมณ์เสียไปเลย”
“คุณว่าอะไรนะ” เธอเบิกตากว้างด้วยความไม่พอใจ
“เอ้อ...ผมก็บอกคุณว่าอย่าอารมณ์เสียไปเลย”
“คุณพูดมาได้นะ ก็เห็นๆ อยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นบนโต๊ะอาหาร”
“ผมเห็น...”
“เห็น? แล้วมาบอกฉันว่าอย่าอารมณ์เสียทำไม มันน่าอารมณ์ดีนักหรือไง”
“มันก็ไม่น่าอารมณ์ดีหรอก เอ้อ แล้วนี่คุณจะทำยังไงต่อไป” เขาถามภรรยา
อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนกอดอก และยิ้มร้ายอย่างมีแผน
“ก็ทำให้ทรัพย์สมบัติของตระกูลเป็นของพวกเราไงคะ”
“ด้วยการ...”
“ด้วยการปลอมลายเซ็นคุณแม่” เธอว่า
“หา! ปลอมลายเซ็นเหรอ” เขมนันท์ตกใจ “แต่ตอนนี้คุณแม่ยังไม่ตาย เอ๊ย ยังไม่เสียชีวิตเลยนะ แล้วจะทำได้เหรอ”
“ก็ทำตอนที่ท่านเสียชีวิตไง”
“แต่อีกนานนะคุณภา”
“ไม่นานหรอก”
“ดูเหมือนว่าคุณอยากจะให้คุณแม่ของคุณเสียชีวิตเหลือเกินนะ”
“ก็คุณแม่ไม่สนใจฉันก่อน ฉันก็ไม่สนใจท่านเหมือนกัน” ประภาว่า
“คุณว่ายังไง ผมก็ว่าตามคุณ” คราวนี้เขายอมเออออตามภรรยา
แล้วเธอก็บอกกับสามีว่า
“คุณต้องช่วยฉันนะคะ”
“แน่นอน ผมต้องช่วยคุณอยู่แล้ว เพราะผมเองก็...” อยากได้ทรัพย์สมบัติของตระกูลมาเป็นของผมคนเดียวทั้งหมด! แต่เขาก็ไม่พูดต่อให้จบ
“เพราะอะไรคะ” เธอชักสงสัยว่าเขาจะพูดอะไร
“เอ้อ เพราะคุณเป็นภรรยาของผมไง ผมก็ต้องช่วยภรรยาของผมอยู่แล้ว” แก้ตัวน้ำขุ่นๆ
“แล้วไปค่ะ” เธอว่า ก่อนจะชี้หน้าสามี “แต่อย่าให้ฉันรู้นะ ว่าคุณคิดจะหักหลัง ไม่งั้นละก็...ตาย” ประโยคท้ายเอามือทำท่าปาดคอเพื่อขู่
เขมนันท์ลุกขึ้นและกอดภรรยาจากด้านหลัง พร้อมกับบอกว่า
“ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก ผมรักคุณจะตาย”
‘อ้อ! ไม่ใช่สิ ผมรักทรัพย์สมบัติของตระกูลคุณต่างหาก’ เขาคิดในใจ
“ฉันก็รักคุณค่ะ” เธอยิ้มดีใจที่ได้ยินคำว่ารักจากปากของสามีอีกครั้ง “เราจะร่วมมือกันเพื่อเอาทรัพย์สมบัติของตระกูลของเรา ไม่ใช่ของพี่ปราภพ แล้วบ้านก็ต้องตกเป็นของเราเหมือนกันค่ะ คุณเขม”
“ครับ เราต้องร่วมมือกัน” ผู้เป็นสามียิ้ม
นาทีนี้อะไรก็ไม่สำคัญไปกว่าทรัพย์สมบัติของตระกูลสำหรับสามีภรรยาคู่นี้ เพราะหายใจเข้าก็สมบัติ หายใจออกก็สมบัติ ถึงขนาดคิดที่จะปลอมลายเซ็นของผู้เป็นแม่เมื่อท่านเสียชีวิต เรียกได้ว่าเป็นคนที่อกตัญญูมากๆ นั่นเอง!
วันนี้ร้านอาหารปิด เป็นเอกจึงได้หยุดมาช่วยแม่ขายของที่ตลาด เขาเป็นคนขยัน ทำได้ทุกอย่าง ชอบช่วยเหลือคน ด้วยความที่เขาเป็นคนใจบุญ และแม่ชอบพาเขาเข้าวัดทำบุญทุกวันพระ หรือถ้าวันไหนที่เขาไม่ได้ไปทำงานเขาก็จะไปช่วยหลวงพ่อทำนั่นทำนี่ที่วัดไปเรื่อย ซึ่งเป็นความสุขของเขาอย่างหนึ่งนั่นเอง!
“วันนี้ขายดีจังเลยนะครับแม่” ชายหนุ่มพูดกับแม่ยิ้มๆ
นางเพียรพยักหน้าให้ลูกชาย
“จ้ะ ขายดีมาก จนจะหมดแล้ว”
ทันใดนั้นเองนิชาภัทรก็วิ่งกระหืดกระหอบมา และพูดไม่เป็นภาษา เป็นเอกจึงบอก
“หายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ พูด พูดช้าๆ”
หญิงสาวจึงทำตามเพื่อน ก่อนจะบอกว่า
“แย่แล้ว...”
“เกิดอะไรขึ้น”
“ไอ้...ไอ้...”
“ไอ้อะไร”
“ไอ้มังกรกับพวกมันกำลังจะบุกมาที่ตลาด”
“หา! มันจะมาหาเรื่องใช่ไหม” เป็นเอกตกใจ
“ใช่” นิชาภัทรพยักหน้า
“สงสัยมันจะมาหาเรื่องเธอกับฉัน เพราะวันนั้นเธอกับฉันบังเอิญไปเห็นมันกำลังข่มเหงผู้หญิง แล้วเธอกับฉันก็ช่วยผู้หญิงคนนั้น มันคงแค้นพวกเรา” ชายหนุ่มว่า
พูดยังไม่ทันขาดคำ มังกร ซึ่งเป็นนักเลงท้ายซอยก็เดินนำลูกน้องสองคนตรงเข้ามาที่แผงผลไม้ของนางเพียร
“พวกเอ็งมาทำไมวะ” นิชาภัทรถาม
แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะ
หญิงสาวจึงถามอีกว่า
“เอ็งหัวเราะหาป๊ะป๊าเอ็งเหรอวะ ไอ้มังกร”
“เฮ้ย! ไอ้นิชา เอ็งว่าพ่อข้าเหรอวะ” เขาไม่พอใจเมื่ออีกฝ่ายลามปามไปถึงบุพการี
นิชาภัทรยืนเท้าสะเอวมองนักเลงท้ายซอยอย่างไม่เกรงกลัว ความจริงเธอกับมังกรก็ยืนห่างกันอยู่คนละฝั่ง เธออยู่ฝั่งคนขาย แต่เขาอยู่ฝั่งคนซื้อ เพราะฉะนั้นเธอไม่จำเป็นต้องกลัว
“ก็เออน่ะสิ! ข้าว่าพ่อเอ็ง ดีนะที่ข้าไม่ว่าแม่เอ็งด้วย ไอ้มังกร” นิชาภัทรนึกอยากกวนโทสะอีกฝ่าย
มังกรถึงกับควันออกหู จึงหันไปสั่งลูกน้อง
“เฮ้ย! ไปจัดการมัน”
แต่ลูกน้องทั้งสองคนกลับไปหยิบมันจากแผงที่อยู่ใกล้กัน จึงโดนลูกพี่ตบหัว
“โธ่เว้ย ไอ้โง่ กูไม่ได้หมายถึงมันแบบนี้ กูให้พวกมึงไปจัดการพวกมัน พวกมันน่ะๆ ไปสิวะ พวกมึงยืนเซ่ออยู่ทำไม” เขาชี้ไปยังเป็นเอกกับนิชาภัทร
“เข้ามาให้ไวเลย อย่ารอช้าสิ เข้ามาๆ ไอ้มังกร” นิชาภัทรกวักมือเรียกคู่อริ
แล้วลูกน้องของมังกรก็เดินตรงเข้าไปหาทั้งสองคน เป็นเอกจึงบอกกับผู้เป็นแม่
“แม่ครับ หลบไปก่อน ผมกับไอ้นิชามีเรื่องจะสะสางกับไอ้พวกสามตัวนี้”
“แต่...” นางเพียรมีท่าทีลังเล
ผู้เป็นลูกชายจึงบอกย้ำ
“หลบไปก่อนนะครับแม่”
“จ้ะ” แล้วนางก็เดินไปที่แผงขายผักของนางต้อย เพื่อนของนาง
“จะมีเรื่องกันอีกแล้วล่ะสิ เฮ้อ! ไอ้นิชานี่ก็ก๋ากั่นอย่างกับผู้ชาย ข้าล่ะปวดหัวจริงๆ” นางต้อยว่า
“อย่าไปว่ามันเลยนังต้อย” นางเพียรบอก “ก็ดีแล้วนี่ที่ไอ้นิชามันก๋ากั่นและเข้มแข็งเหมือนผู้ชาย ดีกว่าให้มันอ่อนแอเหมือนผู้หญิง”
“บางทีมันก็เหมือนผู้ชายเกินไป จนข้าคิดว่าข้าได้ลูกชายซะอีก” พูดจบนางก็ถอนหายใจ
“เอาเถอะ มันจะเป็นทอมเป็นอะไรก็ช่างมันเถอะ ขอให้มันเป็นคนดีก็พอ” นางเพียรว่า
ทางด้านเป็นเอกกับนิชาภัทรก็กำลังต่อสู้กับลูกน้องของมังกรอย่างดุเดือด จนผลไม้ที่อยู่บนแผงหล่นกระจายบนพื้น สุดท้ายลูกน้องทั้งสองคนสะบักสะบอมไม่เป็นท่า จนลูกพี่อย่างมังกรต้องออกโรงเอง
“โธ่เว้ย! พวกเอ็งนี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ ให้จัดการไอ้สองคนนี้ก็ทำไม่สำเร็จ ต้องให้ข้าออกโรงเองซะแล้ว หลบไป!” ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปหาเป็นเอกกับนิชาภัทร พร้อมกับถามอย่างหาเรื่อง “พวกเอ็งอยากเจ็บตัวนักเหรอวะ”
“โถๆ กลัวซะที่ไหนวะ” นิชาภัทรทำท่าล้อเลียน พร้อมกับหัวเราะ
“เจ็บก็ไม่กลัว แต่กลัวไม่เจ็บมากกว่า เข้ามาให้ไวโว้ย อย่ารอช้า เดี๋ยวเอ็งจะกลายเป็นหมาเหมือนลูกสมุนของเอ็ง” เป็นเอกทำท่าล้อเลียนสำทับอีกคน
อีกฝ่ายชี้หน้า
“พวกเอ็งอย่าท้านะ”
“ไม่ได้ท้าโว้ย เข้ามาเลยครับคุณมังกร...แต่จากมังกรเอ็งอาจจะกลายเป็นหมาก็ได้ ฮ่าๆๆๆ” ชายหนุ่มกวักมือเรียกคู่อริและหัวเราะสะใจ
“ไอ้เป็นเอก มึง!!” พูดจบมังกรก็พุ่งเข้าต่อยเป็นเอกด้วยความเคียดแค้น
แล้วเหตุการณ์ต่อจากนั้นก็ชุลมุนวุ่นวายกันเลยทีเดียว
พลันเสียงนกหวีดก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงห้าม
“หยุดเดี๋ยวนี้ หยุดทะเลาะวิวาทกันได้แล้ว จ่ามดมาแล้ว”
ร่างอ้วนๆ ของจ่ามดวิ่งด้วยความยากลำบากเข้ามาหาทั้งสี่คน แล้วก็บอกว่า
“ไปโรงพัก!”
“บ้าเอ๊ย! ต้องเสียเงินอีกจนได้” มังกรบ่นอย่างหัวเสียขณะก้าวลงจากโรงพัก
เพราะเหตุทะเลาะวิวาทกับเป็นเอกและนิชาภัทรทำให้เขาต้องขึ้นโรงพัก ไม่เพียงเท่านั้น ทำให้เขาต้องเสียเงินทองอีกด้วย เขาจึงอารมณ์เสียใช่เล่น
“แล้วใครใช้ให้ลูกพี่ไปหาเรื่องไอ้เป็นเอกกับไอ้นิชาล่ะครับ” ไอ้เอ็ม ลูกน้องฝั่งขวาพูดขึ้น จึงถูกลูกพี่ตบศีรษะดัง เผียะ!
“นี่แน่ะ! ไอ้เอ็ม ตกลงเอ็งเป็นลูกน้องข้าหรือว่าเอ็งเป็นลูกพี่ข้ากันแน่วะ”
“ก็เป็นลูกพี่ เอ๊ย ก็เป็นลูกน้องสิครับ” ไอ้เอ็มยิ้มแห้งๆ
“ไอ้เอ็ม เอ็งบังอาจมากที่ไปพูดแบบนั้นกับลูกพี่” ไอ้ผา ลูกน้องฝั่งซ้ายว่า “แต่ผมคิดว่าถ้าลูกพี่ไม่ไปหาเรื่องไอ้สองคนนั่น ลูกพี่ก็อาจจะไม่ต้องเสียเงินและไม่ต้องขึ้นโรงพักก็ได้ครับ”
“ไอ้ผา เอ็งน่ะว่าแต่ข้า เอ็งก็ไม่ต่างอะไรจากข้าหรอกโว้ย นี่!” ไอ้เอ็มตบศีรษะเพื่อนด้วยความหมั่นไส้
แต่ไอ้ผาก็ถูกลูกพี่ตบศีรษะสำทับอีกครั้ง
“ฮื่ม! ไอ้ผา เอ็งเป็นลูกพี่ข้าเหรอวะ”
“เปล่าครับ” ผู้เป็นลูกน้องฝั่งซ้ายสั่นศีรษะ
“สอนข้าเหมือนเป็นลูกพี่ข้าเลยนะ”
แล้วก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
“ก็เพราะว่าลูกพี่อย่างเอ็งมันไม่ได้เรื่องไง”
ทั้งสามคนหันขวับไปมอง ก็เห็นว่าคนพูดนั้นเป็นนิชาภัทร โดยมีเป็นเอกเดินข้างๆ มังกรเดินตรงเข้าไปหา ท่าทางเอาเรื่อง พร้อมกับชี้หน้า
“ไอ้นิชา เอ็ง!”
“อย่านะโว้ย ที่นี่มันโรงพัก เอ็งอยากเสียค่าปรับอีกรอบหรือไงวะ” นิชาภัทรทำท่าล้อเลียน
“ฝากไว้ก่อนเถอะ” ชี้หน้าคู่อริอีกครั้ง ก่อนจะหันไปบอกลูกน้องทั้งสองคน “เฮ้ย! กลับโว้ย” แล้วก็เดินนำออกไป
ไอ้ผากับไอ้เอ็มชี้หน้าทั้งสองคน นิชาภัทรจึงบอกว่า
“ชี้หน้าหาพ่อพวกเอ็งหรือไงวะ อ้อ บอกลูกพี่ของพวกเอ็งด้วยนะโว้ย ว่าอย่าฝากเอาไว้นาน มาเอาคืนกลับไปเร็วๆ ข้าขี้เกียจเก็บไว้ให้ว่ะ”
แล้วพวกมันก็เดินตามลูกพี่ไปทันที
หญิงสาวหัวเราะตามหลังอย่างสะใจ
“สะใจโว้ย สะใจจริงๆ”
“ไอ้พวกนี้มันต้องเจอพวกเรา แต่เอ...พวกเราเองก็เสียค่าปรับไปตั้งห้าร้อยนะ” เป็นเอกว่า
“แค่นี้จิ๊บๆ” เธอเอานิ้วชี้ประกบกับนิ้วโป้ง
อีกฝ่ายหัวเราะ
“เออ จิ๊บๆ จริงๆ ด้วยแฮะ”
“แกจะนอนอยู่ที่นี่หรือไงวะ ไม่กลับบ้านเหรอ ฉันกลับก่อนล่ะ” พูดจบนิชาภัทรก็เดินลิ่วไป
“เฮ้ย! รอฉันด้วยสิวะ ไอ้นิชา เพื่อนกันทิ้งกันแบบนี้ได้ไง” แล้วชายหนุ่มก็วิ่งตามไป
ช่วงบ่ายของวันถัดไป ครอบครัวบวรเทพ เดินทางมายังบ้านเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง มากันครบ ไม่ว่าจะเป็นคุณนภาลัย ปราภพ พรรณนิภา ปาณัท เขมนันท์ ประภา และภูริช
เมื่อทั้งหมดเดินทางมาถึง ผู้ดูแลบ้านเด็กกำพร้าก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี เด็กๆ แต่ละคนน่ารักมาก ทำไมนะ! ทำไมพ่อแม่ของพวกเขาถึงทิ้งพวกเขาเหล่านี้ได้ลงคอ คุณนภาลัยได้แต่มองเด็กๆ ด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ และทุกๆ ปีท่านก็นำเงินมาบริจาคแบบนี้เช่นกัน
แล้วท่านก็ไม่ได้มาบริจาคเงินเพียงแค่อย่างเดียว แต่ท่านยังซื้อข้าวกล่องมาบริจาคให้เด็กๆ มากมายอีกด้วย วันนี้เด็กๆ มีสีหน้าเบิกบาน เช่นเดียวกับครอบครัว บวรเทพ ที่มีสีหน้าอิ่มอกอิ่มใจเมื่อเห็นเด็กๆ มีความสุข ยกเว้นเขมนันท์ ประภา และภูริช
คุณนภาลัยถือซองขาวที่มีเช็คเงินสดอยู่ในนั้นเดินมาหาผู้ดูแลบ้านเด็กกำพร้า และยื่นให้
“ดิฉันเอาเงินที่ได้จากการประมูลเพชรในงานการกุศลและมีคนร่วมบริจาคมา นำมาบริจาคให้กับบ้านเด็กกำพร้าค่ะ จำนวนเงินก็หลายล้านอยู่นะคะ”
“แหม! คุณนภาลัยใจบุญจริงๆ เลยนะคะ มาบริจาคทุกปี แถมยังซื้อข้าวกล่องมาให้เด็กๆ อีกด้วย ดูสิคะ เด็กๆ มีความสุขมากเลยค่ะ ดิฉันต้องขอบคุณคุณนภาลัยมากนะคะ” ผู้ดูแลบ้านเด็กกำพร้ายิ้มดีใจที่คุณนภาลัยนำเงินมาบริจาคอีกครั้งและเห็นเด็กๆ มีความสุข เธอเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย
“ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องแบบนี้ดิฉันชอบทำอยู่แล้วค่ะ เอ้อ ถ่ายรูปด้วยกันหน่อยนะคะ...ตาป้อง มาถ่ายรูปให้ย่าหน่อยสิ” คุณนภาลัยกวักมือเรียกหลานชายคนโตที่ยืนดูเด็กๆ นั่งกินข้าว
“ได้ครับ คุณย่า” ปาณัทพยักหน้ายิ้มๆ
ชายหนุ่มกำลังจะเดินไปหาผู้เป็นย่า แต่ก็ถูกภูริชแทรก
“เดี๋ยวผมถ่ายให้ก็ได้ครับ คุณยาย” เขาอาสา
“อืมม์! มาถ่ายสิ” ท่านว่า
ภูริชหันมายิ้มเยาะใส่ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้อง ก่อนจะเดินไปหาผู้เป็นยาย
ปาณัทเองก็ไม่ได้ถือสาอีกฝ่าย เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายมีนิสัยอย่างไร เติบโตมาด้วยกัน แต่เขาขี้เกียจพูดและไม่อยากมีเรื่อง แล้วเขาก็ถอยกลับไปยืนดูเด็กๆ ทานข้าวต่อ ปล่อยให้ภูริชไปเอาหน้ากับผู้เป็นย่า
“ทานข้าวเยอะๆ นะเด็กๆ คุณย่าของพี่อุตส่าห์ซื้อมาให้พวกเราทาน ของแพงๆ ทั้งนั้น”
“ครับ”
“ค่ะ” เด็กๆ ตอบพร้อมกัน
แล้วก็มีเด็กชายคนหนึ่งพูดขึ้น
“พี่ครับ กินข้าวเสร็จไปเตะฟุตบอลเล่นกันนะครับ”
“ได้สิครับ!” ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้มๆ
ทางด้านปราภพกับพรรณนิภาก็ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของบ้านเด็กกำพร้า ฝ่ายผู้เป็นภรรยามองไปที่แม่สามีที่กำลังมอบเช็คเงินสดให้ผู้ดูแล ก่อนจะหันมาพูดกับสามี
“ฉันหวังว่าการที่เรามาทำบุญ มอบเงินและซื้อข้าวกล่องให้เด็กกำพร้า จะทำให้เราพบกับลูกชายฝาแฝดอีกคนที่ถูกขโมยไปนะคะ”
“ผมก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะนี่ก็ผ่านไปตั้งยี่สิบกว่าปีก็ยังตามหาแกไม่พบเลย ป่านนี้แกคงจะโตเป็นหนุ่มเหมือนตาป้อง หน้าตาก็พิมพ์เดียวกัน แกคงจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในเมืองกรุงเทพฯ” ปราภพว่า
“ค่ะ” พรรณนิภายิ้ม “แต่เมืองกรุงเทพฯ กว้างมากนะคะคุณ คงตามหาแกเจอยาก อ้อ แต่ฉันก็สวดมนต์ทุกวันนะคะ ไหว้พระขอให้ท่านช่วยให้เราตามหาลูกชายฝาแฝดอีกคนเจอค่ะ”
“ผมเชื่อว่าถ้าปาฏิหาริย์มีจริง เราต้องได้พบกับเขาแน่นอน”
“ค่ะ ฉันก็คิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น” เธอยิ้มอย่างมีความหวัง
ประภาเดินเข้ามาหาพี่ชายกับพี่สะใภ้ และถามว่า
“พี่ปราภพกับพี่พรรณกำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอคะ”
“พี่กับคุณพรรณกำลังคุยเรื่องลูกชายฝาแฝดอีกคนที่ถูกขโมยไปน่ะ” ปราภพบอก
ผู้เป็นน้องสาวแอบทำหน้าไม่พอใจ ก่อนจะถามออกไปว่า
“นี่พี่ปราภพกับพี่พรรณยังไม่เลิกหวังที่จะได้พบลูกชายฝาแฝดอีกคนอีกเหรอคะ ภานึกว่าพวกพี่เลิกหวังไปแล้วซะอีกนะคะเนี่ย”
“ทำไมพี่กับคุณพรรณต้องเลิกหวังด้วยล่ะ ลูกของพี่ทั้งคน จะให้พี่กับคุณพรรณนิ่งนอนใจได้ยังไง แล้ววันนี้ที่พี่มาทำบุญมอบเงินให้บ้านเด็กกำพร้ากับคุณแม่ ก็หวังว่าจะได้เจอลูกชายฝาแฝดอีกคนที่ถูกขโมย”
“พี่ปราภพกับพี่พรรณเลิกหวังเถอะค่ะ เพราะ...” พูดได้เท่านั้นเธอก็หยุดพูดทันที เกือบจะหลุดปากพูดไปแล้วว่า
เพราะคุณเขมเอาลูกชายฝาแฝดอีกคนของพี่ปราภพไปทิ้งไกล ยังไงพี่ปราภพก็ตามหาไม่พบหรอกค่ะ!
เมื่อเห็นน้องสาวมีพิรุธ พูดไม่จบ ปราภพจึงถาม
“เพราะอะไร ทำไมไม่พูดให้จบ”
“เอ้อ ก็เพราะ...” เธอคิดหาคำพูด “เพราะว่ามันผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ป่านนี้ไม่รู้ว่าเด็ก เอ้อ หลานจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า แล้วต่อให้พี่ปราภพกับพรพลิกแผ่นดินตามหาก็เปล่าประโยชน์นะคะ ถ้าเขาจากโลกนี้ไปแล้ว”
“เขาต้องมีชีวิตอยู่ พี่เชื่อว่าเขาต้องมีชีวิตอยู่ และพี่จะต้องตามหาเขาให้พบ พี่จะทำทุกทาง” ปราภพประกาศ
“พี่เองก็อยากเจอลูกชายฝาแฝดอีกคนจนใจจะขาด อยากตามหาเขาให้พบเร็วๆ แล้วพี่ก็เชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่” พรรณนิภาพูดอย่างมีความหวัง
เมื่อเห็นพี่ชายกับพี่สะใภ้ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะตามหาลูกชายฝาแฝดอีกคน ประภาก็แอบหมั่นไส้และคิดในใจ
‘เชิญพี่ทั้งสองคนตามหาไปเถอะค่ะ แต่กว่าจะพบมันพวกพี่ก็คงจะตายไปก่อนแล้ว’
แต่ปากของเธอก็พูดไปอีกอย่าง
“ก็ตามใจพวกพี่นะคะ ภาคงห้ามอะไรพวกพี่ไม่ได้ งั้นภาขอตัวก่อนนะคะ” แล้วเธอก็เดินออกไป
ทันทีที่น้องสาวเดินออกไปพ้นแล้ว ปราภพก็หันมาพูดกับภรรยา
“ยัยภาดูแปลกๆ ไปนะ คุณว่าไหม คุณพรรณ”
“ค่ะ ฉันเองก็ว่าคุณภาแปลกๆ ไปค่ะ” พรรณนิภาเห็นด้วยกับสามี
ทั้งสองคนต่างก็มีความรู้สึกว่าประภาดูแปลกๆ จากการพูดจา เหมือนมีลับลมคมในชอบกล ชวนให้เป็นที่สงสัยอย่างยิ่ง
ส่วนทางด้านปาณัท เมื่อเด็กๆ กินข้าวเสร็จเขาก็พาไปเล่นฟุตบอลที่สนามหญ้าหลังบ้านเด็กกำพร้า ประมาณห้าคน เล่นอย่างสนุกสนาน รับส่งฟุตบอลกับเด็กๆ แล้วเด็กๆ เองก็ชอบใจ
“รับดีๆ นะเด็กๆ” ชายหนุ่มบอกกับเด็กๆ
“รับทราบครับ” เด็กๆ ตะเบ๊ะเหมือนทหารพร้อมกัน
“เอาละ พร้อมนะ”
“ครับ” เด็กๆ พูดพร้อมกัน
แล้วปาณัทก็เตะฟุตบอลไป เด็กๆ รีบพากันแย่งเตะอย่างสนุกสนาน และเตะจนถึงเวลาหกโมงเย็น กระทั่งถึงเวลากลับบ้านชายหนุ่มก็บอกกับเด็กๆ เมื่อเดินเข้ามาในบ้านเด็กกำพร้า
“พี่ต้องกลับบ้านแล้วนะ ไว้โอกาสหน้าพี่จะมาเล่นด้วยอีก”
“สัญญานะครับ” เด็กชายคนหนึ่งพูดขึ้น
ปาณัทยิ้มและบอกว่า
“ขอสัญญาด้วยเกียรติของลูกผู้ชายครับ”
“ไชโยๆ พี่สุดหล่อจะมาเล่นกับพวกเราอีก” เด็กๆ พากันกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
คุณนภาลัย ปราภพ พรรณนิภาและปาณัทยิ้มอย่างมีความสุข ยกเว้นเขมนันท์ ประภาและภูริช
ภูริชแอบทำหน้าหมั่นไส้ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้อง
แล้วคุณนภาลัยก็บอกกับผู้ดูแลบ้านเด็กกำพร้าว่า
“เอาละ ดิฉันขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ ไว้โอกาสหน้าดิฉันจะมาบริจาคอีกค่ะ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ ขอให้ท่านและครอบครัวจงมีความสุขมากๆ นะคะ โชคดีค่ะ” ผู้ดูแลบ้านเด็กกำพร้าว่า
“ค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” ท่านยิ้ม
“ค่ะ”
แล้วทุกคนก็ประนมมือไหว้ลาผู้ดูแลบ้านเด็กกำพร้าเพื่อกลับ ยกเว้นเขมนันท์ ประภาและภูริช จากนั้นก็เดินออกไปทันที
“คุณรู้ไหม พี่ปราภพกับพี่พรรณยังไม่เลิกหวังที่จะตามหาไอ้ลูกชายฝาแฝดอีกคน พวกเขาบอกว่าจะตามหาให้เจอ และเชื่อว่ามันยังมีชีวิตอยู่” ประภาเขวี้ยงกระเป๋าสะพายลงบนที่นอนหลังจากกลับมาถึงบ้านด้วยความอารมณ์เสีย พร้อมกันทั้งกระแทกก้นนั่งอีกด้วย
เขมนันท์นั่งลงข้างๆ ภรรยาและพูดว่า
“โธ่! คุณภา ยังไงพี่ปราภพกับพี่พรรณก็ตามหาไอ้ลูกชายฝาแฝดอีกคนไม่เจอหรอก เพราะว่ามันคงโดนมดกัดตายตั้งแต่แบเบาะแล้ว”
“คุณรู้ได้ยังไง” ผู้เป็นภรรยาถาม
อีกฝ่ายจึงบอกว่า
“ก็เพราะว่าตรงที่ผมเอาไอ้เด็กนั่นไปทิ้งมันเป็นถังขยะ แถมมดก็เยอะ ถ้าไอ้เด็กนั่นมันไม่โดนมดกัดตายก็บุญของมันแล้วล่ะ”
ประภาประนมมือไหว้ท่วมหัว
“สาธุๆ ขอให้มันตายๆ ไปซะ พ่อแม่ของมันจะได้ไม่ต้องตามหามันเจอ อีกอย่าง ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่แล้วพ่อแม่ของมันตามหามันเจอ แล้วมันกลับมา มันกับพี่ชายฝาแฝดของมันจะต้องได้สมบัติคูณสองแน่ๆ ซึ่งฉันก็ไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นเด็ดขาด”
“คุณอย่าไปเครียดเลยนะ คุณภา...คุณเชื่อผมเถอะ ว่าไอ้เด็กนั่นมันตายไปแล้ว ตายตั้งแต่แบเบาะ นะ คุณอย่าเลยนะที่รัก” เขาโอบไหล่ภรรยาเพื่อปลอบใจ
เขาเชื่อว่าลูกชายฝาแฝดอีกคนของปราภพกับพรรณนิภาที่เขาขโมยไปทิ้งนั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว เพราะโดนมดกัด แต่ในความเป็นจริงเด็กยังไม่เสียชีวิต แถมโตขึ้นเป็นหนุ่มหล่อและเป็นคนดี ที่สำคัญ เป็นเชฟอีกด้วย
ผู้เป็นภรรยาพยักหน้า
“ค่ะ ฉันจะไม่เครียด และฉันจะเชื่อคุณค่ะ”
ปากบอกว่าไม่เครียด แต่สีหน้านั้นแสดงออกว่าเครียดสุดๆ
ภูริชรู้สึกเบื่อเซ็งที่ผู้เป็นยายสนใจแต่ปาณัท เขามีนิสัยขี้อิจฉาริษยาเหมือนพ่อแม่ และวันนี้เขามานั่งดื่มที่ผับกับสาวๆ ประมาณสามคนตามประสาคนโสดและคาสโนว่า
“วันนี้ดื่มให้เต็มที่เลยนะจ๊ะสาวๆ เดี๋ยวพี่ภูเลี้ยงเอง” เขาบอกกับสาวๆ
“พี่ภูสายเปย์ตัวจริงเสียงจริงเลยนะคะเนี่ย” สาวคนหนึ่งพูดขึ้น
ชายหนุ่มหัวเราะชอบใจ
“แน่นอนอยู่แล้วจ้ะ พี่น่ะสายเปย์”
“เอ...พี่ภูใจดีแบบนี้ ถ้างั้นพวกเราจะให้อะไรเป็นการตอบแทนดีนะ” สาวคนที่สองทำท่าคิด
แล้วภูริชก็บอกว่า
“ง่ายนิดเดียวจ้ะ”
“อะไรเหรอคะ” สาวคนที่สามถามยิ้มๆ
อีกฝ่ายทำหน้าเจ้าเล่ห์ ก่อนจะบอกว่า
“ก็แค่...ไปขึ้นสวรรค์กับพี่ไงจ๊ะ ได้ไหมเอ่ย”
“ได้สิคะ พี่ภูสุดหล่อ” ทั้งสามคนตอบเกือบจะพร้อมกัน
แล้วสาวคนที่หนึ่งก็ถามขึ้นว่า
“จะไปขึ้นสวรรค์ชั้นไหนดีคะ พี่ภูขา”
“ชั้นเจ็ดดีไหมคะ” สาวคนที่สองว่า
“แต่ฉันว่าชั้นแปดดีกว่า เอาไหมคะพี่ภู” สาวคนที่สามแย้ง
แต่แล้วก็เกิดการถกเถียงกันยกใหญ่
“ต้องชั้นเจ็ดสิยะ สนุกกว่า”
“ชั้นแปด สนุกกว่าตั้งเยอะ”
“ชั้นเจ็ด!”
“ชั้นแปด!”
“เลิกเถียงกันเถอะจ้ะ จะชั้นไหนพี่ภูก็ขึ้นได้ทั้งนั้น ขอให้สนุกก็พอ” ชายหนุ่มห้ามทัพสองสาว แล้วเขาก็หยิบแก้วไวน์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะกระจกด้านหน้าขึ้นมา “ชนแก้วกันหน่อยนะจ๊ะ ก่อนที่เราจะไปขึ้นสวรรค์กัน”
“ได้ค่ะ” ทั้งสามสาวตอบเกือบจะพร้อมกันอีกครั้ง ก่อนจะพากันหยิบแก้วไวน์ขึ้นมา
แล้วทั้งสี่คนก็ชนแก้วไวน์กัน จากนั้นก็ดื่ม
เมื่อดื่มหมดแก้วแล้วภูริชก็พูดกับสามสาว
“พร้อมจะไปขึ้นสวรรค์กับพี่หรือยังจ๊ะสาวๆ”
“พร้อมค่ะ” ทั้งสามสาวตอบพร้อมกับพากันออดอ้อนออเซาะชายหนุ่ม
แล้วอีกฝ่ายก็ลุกขึ้นยืน
“ไป! ไปขึ้นสวรรค์กันเถอะพวกเรา”
ฝ่ายสามสาวก็ลุกขึ้นเช่นกัน
“ไปค่ะ พี่ภูขา”
จากนั้นภูริชก็โอบไหล่ทั้งสามสาวเดินออกไปด้วยท่าทางมีความสุข เพราะเขาคือคาสโนว่าตัวพ่อที่สาวๆ ต่างก็อยากมาสยบแทบเท้าเขา เพราะเขามีหน้าตาหล่อเหลาไม่แพ้ปาณัท และเขาไม่มีทางแพ้ปาณัทเด็ดขาด เขาจะต้องชนะในทุกๆ เรื่อง!
ที่คฤหาสน์ของตระกูล ‘ภิรมย์วัชรกุล’ สามคนพ่อแม่ลูกนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารในห้องอาหารด้วยสีหน้ามีความสุข และบนโต๊ะมีอาหารหลายอย่างหลายเมนู แต่ละเมนูน่ารับประทานทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นต้มยำทะเล ผัดผักรวมมิตร ปลาทับทิมราดพริก อกไก่ทอดพริกไทย และอีกหลากหลายเมนู
แล้วชัชรินทร์ก็หันไปบอกนางอ่อน ซึ่งเป็นคนใช้เก่าแก่ของบ้าน
“ตักข้าวเลยครับพี่อ่อน”
นางอ่อนรับใช้ชัชรินทร์มาตั้งแต่เขายังเป็นหนุ่มและยังไม่แต่งงานกับรวัลยา จนกระทั่งเขามีครอบครัวก็ยังรับใช้อยู่ และที่ชัชรินทร์เรียกนางอ่อนว่า ‘พี่’ ก็เพราะนางมีอายุมากกว่าเขาหลายปีนั่นเอง
“ค่ะ คุณชัช” นางพยักหน้ารับ ก่อนจะลงมือตักข้าวที่อยู่ในถ้วยเซรามิคให้กับทั้งสามคน
รินรดากางผ้าวางบนตัก จากนั้นก็ยื่นมือไปตักอาหารให้พ่อกับแม่ โดยเลือกเมนูต้มยำทะเลให้ท่านทั้งสองคน พร้อมกับกำชับว่า
“ต้องทานเยอะๆ นะคะ คุณพ่อคุณแม่”
“ไม่ต้องตักให้พ่อกับแม่หรอกจ้ะ พ่อกับแม่ตักทานเองได้” รวัลยาบอกกับลูกสาว
แต่ชัชรินทร์กลับพูดว่า
“คุณละก็...ลูกเขาอยากตักให้พ่อกับแม่ คุณจะไปขัดเขาทำไมล่ะฮึ! คุณวัล”
“แม่ขอโทษนะลูก” ผู้เป็นแม่หันไปขอโทษลูกสาว
รินรดาสั่นศีรษะยิ้มๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณแม่”
“เอ้อ ยัยริน ลูกเริ่มงานวันพรุ่งนี้ใช่ไหมลูก” ผู้เป็นพ่อถามขึ้น
อีกฝ่ายพยักหน้า
“ใช่ค่ะ คุณพ่อ รินเริ่มงานวันพรุ่งนี้ค่ะ นี่ตั้งแต่รินกลับมาจากเมืองนอกรินยังไม่ได้พักเลยนะคะ เพราะมัวแต่เตรียมตัว แต่รินก็ยังตื่นเต้นอยู่ดีค่ะ”
“ไม่ต้องตื่นเต้นหรอกลูก ทำใจให้สบายๆ เพราะเรากำลังจะไปรักษาคนไข้ ไปช่วยคนไข้ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ท่องไว้นะลูก” รวัลยาบอกลูกสาวยิ้มๆ
“ค่ะ รินจะท่องไว้ค่ะ” เธอมีกำลังใจขึ้นมาทันที
แล้วชัชรินทร์ก็พูดขึ้นว่า
“เอาละ อย่าเพิ่งพูดกันเลย ทานข้าวก่อน เดี๋ยวอาหารมันจะจืดชืดซะก่อน”
“ค่ะ คุณพ่อ” รินรดาพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะยื่นมือไปตักอาหารมาใส่จานและตักพร้อมข้าวเข้าปาก เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย และหันไปพูดกับนางอ่อน “เอ้อ รินไปอยู่เมืองนอกตั้งหลายปี ไม่ได้ทานอาหารฝีมือป้าอ่อนเลยค่ะ กลับมาคราวนี้ได้ทานก็รู้สึกว่ายังอร่อยเหมือนเดิมเลยนะคะเนี่ย”
“ถ้าอร่อยก็ต้องทานเยอะๆ เลยนะคะคุณหนู” นางอ่อนพูดจบก็หัวเราะ
คุณหนูของบ้านก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย ก่อนจะบอกว่า
“แน่นอนค่ะ รินจะทานให้เยอะๆ ไม่ให้เหลือเลยนะคะ”
“ดีค่ะ” นางก็ยังหัวเราะอีกนั่นแหละ
“เข้ากันดีจริงๆ สองคนนี้” ชัชรินทร์ยิ้ม
ผู้เป็นลูกสาวหัวเราะ
“แน่นอนค่ะ คุณพ่อ รินกับป้าอ่อนเข้ากันดีอยู่แล้วค่ะ”
“เอาเถอะๆ ทานข้าวไป อย่ามัวแต่พูด” ผู้เป็นพ่อว่า
“ค่ะ คุณพ่อ” หญิงสาวพยักหน้ายิ้มๆ
แล้วทั้งสามคนพ่อแม่ลูกก็ลงมือรับประทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 341
แสดงความคิดเห็น