บทที่๕

สุภาพบุรุษสุดดวงใจ
คุณกำลังอ่าน: สุภาพบุรุษสุดดวงใจ

-A A +A

บทที่๕

แล้วค่ำคืนที่จัดงานการกุศลที่โรงแรมแห่งหนึ่งก็มาถึง ซึ่งสปอนเซอร์หลักของงานนี้ก็คือคุณนภาลัยนั่นเอง โดยจุดประสงค์ที่ท่านจัดงานนี้ก็เพื่อจะนำเงินที่ได้จากการประมูลเพชรพลอยไปบริจาคให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ด้วยความที่ท่านนั้นเป็นประธานของสมาคมนักสังคมสงเคราะห์และเป็นคนชอบทำบุญ ท่านจึงจัดงานนี้ขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการทำบุญ

สมาชิกของตระกูลบวรเทพ มากันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคุณนภาลัย ปราภพ พรรณนิภา ประภา เขมนันท์ รวมถึงสองหนุ่มสุดหล่อ ปาณัทกับภูริช ทุกคนต่างแต่งชุดจัดเต็ม

แต่ปาณัทหล่อสุด เพราะเขาแต่งสุดสูทสีฟ้าคู่กับรองเท้าสีดำ ตั้งแต่เขาเดินเข้ามาในงานสาวๆ ต่างพากันมองเขาด้วยสายตาตกตะลึง ดั่งต้องมนต์สะกดเลยทีเดียว

ภูริชมองลูกพี่ลูกน้องด้วยความไม่พอใจ ทำไมสาวๆ ถึงสนใจแต่ปาณัท ทั้งๆ ที่เขาก็หล่อไม่แพ้กัน

‘ไอ้ป้อง! แกแย่งความโดดเด่นไปจากฉัน ทำให้สาวๆ สนใจแต่แกคนเดียว ทั้งที่ฉันก็หล่อไม่แพ้แก แต่ฉันไม่มีทางยอมแก ฉันต้องดึงความสนใจจากสาวๆ มาหาฉันบ้าง’ เขาคิดในใจ

แล้วเมื่อถึงเวลาอันสำคัญพิธีกรที่ยืนอยู่บนเวทีก็ประกาศผ่านไมโครโฟนว่า

“ขอเชิญคุณนภาลัย ซึ่งเป็นประธานของสมาคมนักสังคมสงเคราะห์และเป็นสปอนเซอร์หลักของงานการกุศลในค่ำคืนนี้ ได้ขึ้นมากล่าวอะไรสักเล็กน้อยครับ ขอเสียงปรบมือหน่อยครับ” เมื่อพิธีกรพูดจบก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นทันที

แล้วปราภพก็ประคองผู้เป็นแม่ขึ้นไปบนเวที คุณนภาลัยประนมมือไหว้ทุกๆ คนที่มาร่วมงาน จากนั้นพิธีกรก็ยื่นไมโครโฟนให้ท่าน ท่านรับมาและพูดขึ้น

“จุดประสงค์ที่ดิฉันจัดงานนี้ขึ้นก็เพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือเด็กกำพร้าที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง ด้วยการบริจาคเงินเพื่อนำบริจาคให้กับเด็กเหล่านั้น พวกเขาน่าสงสารมากค่ะ ไม่รู้ว่าพ่อแม่ตัวเองเป็นใคร ต้องเติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า อ้อ ที่สำคัญนะคะ วันนี้มีเพชรมาประมูลด้วย ดิฉันเอามาจากบริษัทของตระกูลดิฉันเองค่ะ สั่งทำเพื่องานนี้โดยเฉพาะค่ะ หรือถ้าใครจะบริจาคเงินก็บริจาคได้เลยนะคะ บริจาคตามศรัทธา จุดบริจาคเงินอยู่ทางโน้นค่ะ” ท่านชี้ไปที่มุมหนึ่งของงาน ซึ่งมีโต๊ะรับบริจาคเงิน

หน้าเวทีมีเพชรชิ้นหนึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในตู้กระจกบนโต๊ะ และแสงแวววับแยงตาทุกคน ต่างก็อยากเป็นเจ้าของ อยากร่วมประมูล แต่ติดอยู่ที่ราคาประมูล

แล้วคุณนภาลัยก็ยื่นไมโครโฟนให้ลูกชาย

“แม่ให้ลูกประกาศการประมูล”

“ครับ คุณแม่” ปราภพรับไมโครโฟนมาถือ ก่อนจะพูดกับทุกคน

“เอาละครับ ทุกคน...ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะมานับราคาประมูลเพชรกันแล้ว ใครให้มากให้น้อย เริ่มกันเลยครับ”

สิ้นเสียงพูดของปราภพก็มีแขกผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งยกมือขึ้น

“ผมให้ราคาประมูลสามแสนครับ”

“มีใครให้มากกว่านี้อีกไหมครับ” ปราภพถาม

แล้วก็มีผู้หญิงคนหนึ่งยกมือขึ้น ท่าทางเหมือนเธอเป็นเศรษฐีนี

“ดิฉันให้สามล้านค่ะ”

“โอ้โห! เป็นราคาที่สูงที่สุดและก้าวกระโดดมากเลยนะครับเนี่ย มีใครให้มากกว่าสามล้านไหมครับ” ปราภพมองหาคนที่จะร่วมประมูลอีก

แต่ก็เงียบ... เขาจึงนับ

“หนึ่ง สอง...สาม ขอปิดการประมูลที่ราคาสามล้านครับ ขอแสดงความยินดีท่านผู้หญิงผู้นั้นด้วยครับที่ได้เป็นเจ้าของเพชรเม็ดงามนี้ และขอเชิญท่านขึ้นมาบนเวทีเพื่อรับมอบเพชรครับ”

เสียงปรบมือดังขึ้นทันที

ผู้หญิงคนนั้นที่เป็นผู้โชคดีก็ก้าวขึ้นไปยืนบนเวทีข้างๆ คุณนภาลัย คุณนภาลัยยิ้มให้

ปราภพพยักเพยิดให้ลูกชายนำเพชรเม็ดงามที่ตั้งอยู่ในตู้กระจกด้านหน้าเวทีขึ้นมาให้

ปาณัทพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปหยิบเพชรเม็ดงามในตู้กระจกและก้าวขึ้นไปบนเวที และยื่นเพชรให้ผู้เป็นย่า

คุณนภาลัยรับมาและมอบให้ผู้โชคดี ผู้หญิงคนนั้นรับเพชรแล้วยิ้มกว้าง

“แสงของเพชรแยงตาดิฉันค่ะ เพชรสวยดีนะคะ” เธอพูดกับคุณนภาลัย

“ค่ะ เพชรจากบริษัทของตระกูลดิฉันสวยอยู่แล้วค่ะ ถ้าสนใจอัญมณีชิ้นอื่นๆ ไปที่บริษัทได้นะคะ อยู่แถวถนนรัชดาภิเษกค่ะ” ท่านบอก “ดิฉันขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ คุณถือเป็นผู้โชคดีมากค่ะ ที่ได้ครอบครองเพชรเม็ดงามนี้”

อีกฝ่ายยิ้มกว้าง

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ ถ้าดิฉันสนใจดิฉันจะไปที่บริษัทนะคะ”

แล้วการสนทนาของทั้งคู่ก็ต้องหยุดลงเพราะแสงแฟลชของกล้องถ่ายภาพนักข่าว นักข่าวพากันถ่ายภาพรัวๆ

เมื่อนักข่าวถ่ายภาพเสร็จผู้หญิงคนนั้นก็ลงจากเวที

 

มุมหนึ่งของงาน ภูริชกำลังยืนดื่มไวน์และพูดคุยกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งท่าทางหญิงสาวคนนั้นก็สนใจเขาไม่น้อยเลยทีเดียว ด้วยความที่ชายหนุ่มเป็นคาสโนว่าตัวพ่อใครๆ ก็รู้จัก

“ไม่ทราบว่าคนสวยแบบคุณนี่...มีแฟนหรือยังครับ” ชายหญิงเริ่มรุกอีกฝ่าย

หญิงสาวโยกแก้วไวน์ในมือไปมาและยิ้ม ก่อนจะถามกลับ

“ถ้าฉันบอกคุณว่ายังไม่มี คุณจะเชื่อไหมคะ”

“ก็ลองบอกมาก่อนสิครับ” เขาส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้อีกฝ่าย

หญิงสาวยิ้มยั่ว

“ฉันยังโสดค่ะ”

“นั่นไง ผมว่าแล้ว ว่าคุณต้องโสด ถ้างั้น...” ภูริชถึงกับแสดงอาการดีใจ แต่ไม่มาก

“ถ้างั้นทำไมเหรอคะ” เธอยังคงถามต่อ

ชายหนุ่มใช้นิ้วไล้ตามไหล่ของหญิงสาว ก่อนจะพูดว่า

“ถ้างั้นผมจะจีบคุณ เอ้อ คุณจะว่าอะไรไหมครับ”

“คุณแน่ใจแล้วเหรอคะ”

“ผมแน่เสียยิ่งกว่าแน่อีกครับ”

“ฉันขอคิดดูก่อนนะคะ” หญิงสาวทำท่าคิด แบบว่าลีลา

“อย่าคิดนานนักนะครับ” เขาว่า

“เรายังไม่รู้จักชื่อของกันและกันเลยนะคะ”

“อ้อ ผมชื่อภูริชครับ ถ้าจะเรียกแบบสนิทๆ ก็เรียกว่าภู แล้วคุณ...”

“ฉันชื่อองุ่นค่ะ” เธอยิ้มยั่ว

“ชื่อเพราะจังเลยนะครับ ผมชักอยากจะกินองุ่นแล้วสิครับ” ภูริชพูดพร้อมกับใช้นิ้วชี้ไล้ตามไหล่ของหญิงสาวที่มีนามว่า ‘องุ่น’

“เหรอคะ”

“ใช่ครับ”

“เพิ่งเจอกันแค่ครั้งเดียวเองนะคะ”

“เวลาไม่สำคัญครับ” ชายหนุ่มว่า

“ถ้าคุณกินเสร็จแล้วคุณจะทิ้งไหมคะ” ยังคงถามเพื่อความมั่นใจ

อีกฝ่ายจึงบอกว่า

“อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าผมจะติดใจไหม ถ้าผมติดใจ...ผมก็อาจจะไม่ทิ้งก็ได้”

“ถ้างั้นเราหาที่เงียบๆ ไหมคะ คุณจะได้กินองุ่นอย่างอร่อยไงคะ” เธอให้ท่าชายหนุ่มเต็มที่

อีกฝ่ายยิ้มดีใจ

“ถ้างั้นก็ไปกันเลยสิครับ ผมอยากกินองุ่นจะแย่อยู่แล้ว”

“ค่ะ!” แล้วหญิงสาวก็ควงแขนคาสโนว่าตัวพ่อเดินออกไป

‘ต้องขอบคุณความหล่อของฉันจริงๆ ที่ทำให้ได้ขึ้นสวรรค์กับสาวๆ ฉันไม่แพ้แกแล้ว ไอ้ป้อง’ ชายหนุ่มคิดและหัวเราะในใจอย่างสะใจ

คล้อยหลังภูริช เขมนันท์กับประภาเดินมา เมื่อผู้เป็นแม่เห็นลูกชายเดินออกไปกับผู้หญิงจึงเรียก

“ตาภู นั่นแกจะไปไหน กลับมาก่อนนะ”

“มันก็คงจะไปขึ้นสวรรค์กับผู้หญิงคนนั้นแหละ ปล่อยมันไปเถอะ” เขมนันท์ว่า

“สถานการณ์แบบนี้ยังจะมีอารมณ์ไปขึ้นสวรรค์ลงนรกอีก ก็เห็นๆ อยู่ว่าครอบครัวของพี่ปราภพได้คะแนนไปเต็มๆ ในงานการกุศลค่ำคืนนี้ ตอนคุณแม่ขึ้นเวทีพี่ปราภพก็ประคองคุณแม่ขึ้นไป แล้วตอนที่เอาเพชรขึ้นไปมอบให้ผู้โชคดี...ก็เป็นไอ้ป้องที่เอาขึ้นไป” จะกี่ปีความอิจฉาริษยาก็ไม่เคยเลือนหายไปจากใจเธอเลย ยิ่งเห็นผู้เป็นแม่สนใจแต่ครอบครัวของปราภพ ความริษยาที่มีอยู่ในใจก็ยิ่งทวีขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทางลดลง

ภูริชก็เป็นหลานคนหนึ่งของท่าน แต่ท่านก็ไม่เคยสนใจ สนใจก็แต่ปาณัท จึงทำให้ประภาไม่พอใจมาก

“คุณก็รู้นี่ว่าพี่ปราภพเป็นคนโปรดของคุณแม่แต่ไหนแต่ไรแล้ว ไอ้ป้องก็เป็นหลานคนโปรด แต่ตาภูน่ะเหรอ...ไม่เคยอยู่ในสายตาของคุณแม่เลย” เขมนันท์ว่า

“นั่นสิ! ไอ้ป้องมันกลายเป็นหลานคนโปรดเหมือนพ่อของมัน”

“แล้วสมบัติของตระกูลก็จะตกเป็นของมันคนเดียวแน่เลย”

“ไม่มีทาง!” เธอประกาศดังลั่น จนคุณหญิงคุณนายที่ยืนรวมกลุ่มกันอยู่ใกล้ๆ ต่างหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน

“คุณจะพูดเสียงดังทำไม” ผู้เป็นสามีแตะต้นแขนภรรยาเบาๆ เพื่อเตือน

“กลับกันบ้านเถอะค่ะ อารมณ์เสีย อยู่ไปก็ไร้ประโยชน์” พูดจบประภาก็สะบัดหน้าเดินออกไป

แล้วเขมนันท์ก็เดินตามไป

“รอผมด้วยสิ คุณภา”

 

เช้าวันถัดมา...ที่คฤหาสน์ของตระกูล บวรเทพ ทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันบนโต๊ะอาหาร ทุกเมนูล้วนแต่น่ารับประทานทั้งสิ้น

คุณนภาลัยนั่งตรงหัวโต๊ะ เพราะท่านเป็นประมุขของบ้าน ครอบครัวของปราภพนั่งฝั่งซ้าย และครอบครัวของประภานั่งฝั่งขวา แต่ขาดภูริช เพราะเมื่อคืนชายหนุ่มมัวแต่ไปขึ้นสวรรค์ผู้หญิงที่ควงออกไปจากงานนั่นเอง!

แล้วประมุขของบ้านก็พูดขึ้น

“รายได้ที่ได้จากงานการกุศลเมื่อคืนก็ถือว่าได้เยอะทีเดียวนะ มีแต่คนบริจาคเป็นหมื่นๆ แถมยังได้เงินจากการประมูลเพชรอีกเป็นล้าน” จากนั้นท่านก็หันไปพูดกับทุกคน “พรุ่งนี้ช่วงบ่ายๆ พวกเราทั้งหกคนจะไปบริจาคเงินที่บ้านเด็กกำพร้าด้วยกัน”

แต่ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“ต้องเจ็ดคนสิครับ คุณยาย จะขาดผมไปได้ไง ไม่สนุกสิครับ”

ทุกคนหันขวับไปมองพร้อมกันที่หน้าประตูห้อง ก็เห็นภูริชกำลังเดินเข้ามา เมื่อเดินมาถึงโต๊ะอาหารเขาก็นั่งลงข้างๆ ผู้เป็นแม่ พร้อมกับพูดว่า

“อาหารน่าอร่อยจังเลยครับ”

“เมื่อคืนแกหายไปไหนมา ตาภู” ผู้เป็นยายถาม

ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก ก่อนจะถามกลับ

“ผมจะไปไหน คุณยายสนใจด้วยเหรอครับ”

“ตาภู!” ท่านไม่พอใจ

ปาณัทจึงพูดกับลูกพี่ลูกน้อง

“นายภู นายไม่ควรพูดแบบนั้นกับคุณย่านะ ที่คุณย่าถามก็เพราะท่านเป็นห่วงนาย ฉันว่า...”

“ฉันพูดความจริง” ภูริชว่า “อ้อ แล้วแกเองก็ไม่ใช่พ่อฉัน เพราะฉะนั้นอย่าสะเออะมาสอนฉัน” พูดจบก็กระแทกช้อนวางลงกับจาน ก่อนจะลุกขึ้นและจะเดินออกไป

“แกจะไปไหน ตาภู ไม่ทานข้าวเหรอ” ผู้เป็นแม่ถามลูกชาย

อีกฝ่ายจึงตอบว่า

“ผมไม่มีอารมณ์จะทานครับ คุณแม่ ผมจะออกไปข้างนอก” แล้วก็เดินออกไป

ประภาจึงตะโกนถามลูกชาย

“แต่แกเพิ่งจะกลับมาเองนะ ตาภู จะออกไปอีกแล้วเหรอ”

แล้วปราภพก็ต่อว่าน้องสาว

“ยัยภา แกสอนลูกยังไงให้เป็นคนก้าวร้าวแบบนี้ แม้กระทั่งกับคุณแม่”

“ใช่สิ! ตาภูไม่นิสัยดีเหมือนตาป้องนี่ ตาป้องดีไปหมดทุกอย่าง ดีเลิศเลอ คุณแม่ถึงได้รักแต่ตาป้องคนเดียว” ประภาพูดเหมือนน้อยใจ

“ยัยภา!” ผู้เป็นพี่ชายไม่พอใจที่น้องสาวก้าวร้าวกับแม่ “ฉันคิดว่าตาภูมีนิสัยก้าวร้าวคนเดียวซะอีก ที่ไหนได้ แกก็มีนิสัยก้าวร้าวและชอบพาลใส่คนอื่นไม่ต่างจากลูกชายของแก แม้กระทั่งกับคุณแม่แกก็ไม่เว้น อ้อ ฉันรู้แล้ว ตาภูมันคงได้นิสัยแบบนี้มาจากแกสินะ”

“ใจเย็นๆ ก่อนนะคะคุณ ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันค่ะ” พรรณนิภาแตะต้นแขนสามีเบาๆ เพื่อเตือน

สถานการณ์บนโต๊ะอาหารกำลังตึงเครียด เมื่อสองพี่น้องกำลังปะทะฝีปากกันอย่างดุเดือด

“เป็นแม่ลูกกัน...นิสัยก็ต้องเหมือนกันสิคะ พี่ปราภพพูดอะไรแปลกๆ” ประภาว่า

“ยัยภา!” ผู้เป็นพี่ชายขึ้นเสียง

เมื่อเห็นว่าลูกชายกับลูกสาวทะเลาะกันใหญ่คุณนภาลัยก็รีบห้าม

“หยุด! พอได้แล้ว ทะเลาะกันทำไม กินข้าวหม้อเดียวกัน อยู่บ้านเดียวกัน และเป็นพี่น้องกัน พวกแกจะเลาะกันทำไม โตๆ กันแล้ว มีครอบครัวกันหมดแล้ว...น่ารำคาญจริงๆ อ้อ แล้วฉันก็ไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชังด้วย โปรดเข้าใจไว้เสีย”

“ที่คุณแม่ทำอยู่มันบ่งบอกชัดเจนว่าคุณแม่ เลือกที่รักมักที่ชัง คุณแม่น่ะลำเอียง รักลูกไม่เท่ากันไม่พอ ยังรักหลานไม่เท่ากันอีก” ผู้เป็นลูกสาวต่อว่าแม่อย่างไม่เกรงใจ

“ยัยภา...มันชักจะเกินไปแล้วนะ มาว่าคุณแม่แบบนี้ได้ยังไง” ไม่พอใจน้องสาว

แต่อีกฝ่ายกลับลอยหน้าลอยตา

“ภาพูดความจริง ทำไมคะ รับไม่ได้เหรอคะ”

“แกนี่มันเกินเยียวยาจริงๆ”

“พี่ปราภพก็พูดได้นี่คะ ก็พี่เป็นลูกคนโปรดของคุณแม่ พี่ทำอะไรก็ดีไปหมด แตกต่างจากภา ภาทำอะไรก็เลวร้ายไปหมดสำหรับคุณแม่ มันน่าน้อยใจจริงๆ ค่ะ เหมือนภาไม่ใช่ลูกของคุณแม่เลย” พลันหยาดน้ำใสๆ ก็ไหลออกจากตาเธอ ด้วยความรู้สึกน้อยใจจริงๆ

คุณนภาลัยมองด้วยความรู้สึกผิด

“แม่ผิดเอง แม่เลี้ยงแกไม่ดีเอง แม่มีลูกสองคน แต่ก็ดูแลไม่เหมือนกัน แม่...”

ประภาปาดน้ำตาทิ้ง ก่อนจะลุกขึ้น

“ภาขอตัวก่อนนะคะ ภาทานข้าวไม่ลงค่ะ” แล้วก็เดินออกไปอย่างกระแทกกระทั้น

“ผมก็ต้องขอตัวเหมือนกันครับ” เขมนันท์ลุกไปอีกคน

แล้วคุณนภาลัยก็บอกกับหลานชาย

“ตาป้อง พาย่าขึ้นไปบนห้องที ย่าปวดหัวเหลือเกิน”

“แต่คุณย่ายังไม่ได้ทานข้าวเลยนะครับ” ปาณัทว่า

ผู้เป็นย่าสั่นศีรษะ

“ย่าไม่ทาน ย่าไม่หิว รีบพาย่าขึ้นไปบนห้องเถอะ ย่าอยากพักผ่อนเหลือเกิน”

“แต่คุณย่าต้องทานยาหลังอาหารนะครับ ถ้างั้นผมจะบอกให้ใบตองทำข้าวต้มขึ้นไปให้คุณย่าบนห้องแล้วกันครับ” หลานชายว่า

ท่านพยักหน้า

“อืมม์! ไปเถอะ พาย่าขึ้นไปบนห้อง”

“ครับ” แล้วชายหนุ่มก็ลุกขึ้นมาประคองผู้เป็นย่าเดินออกไปจากห้องอาหาร

ขณะนี้บนโต๊ะอาหารจึงเหลือแค่ปราภพกับพรรณนิภา แล้วผู้เป็นสามีก็พูดกับภรรยา

“ผมก็ทานข้าวไม่ลงเหมือนกัน”

“แล้วอาหารบนโต๊ะล่ะคะ มันเหลือตั้งเยอะแยะ” ผู้เป็นภรรยาชี้ไปที่อาหารบนโต๊ะ ที่เหลืออยู่เยอะ

“ก็ให้แม่ใบบัวกับใบตองเก็บไปให้หมด” แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืน บอกกับภรรยาว่า “ผมจะขึ้นห้อง” จากนั้นก็เรียกหาสาวใช้ “แม่ใบบัว ใบตอง อยู่ไหน มาเก็บอาหารไปให้หมด ไม่มีใครทานแล้ว”

“ฉันไปด้วยค่ะคุณ” พรรณนิภาลุกตามสามีไป

สรุปแล้วไม่มีใครรับประทานข้าวเช้าเลยสักคน ทั้งข้าวทั้งอาหารเหลือเพียบ แต่ละอย่างล้วนน่ารับประทานทั้งสิ้น แต่กลับไม่มีใครอยากทาน เพราะมัวแต่ถกเถียงกันจนหมดอารมณ์ที่จะทาน ทั้งพี่ทั้งน้องไม่มีใครยอมใคร จนในที่สุดก็ต้องแยกย้ายกันออกจากโต๊ะอาหาร อาหารบนโต๊ะจึงต้องเป็นหมันนั่นเอง!

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.