บทที่๗

สุภาพบุรุษสุดดวงใจ
คุณกำลังอ่าน: สุภาพบุรุษสุดดวงใจ

-A A +A

บทที่๗

เช้าวันใหม่...ตระกูลบวรเทพ อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาบนโต๊ะอาหาร วันนี้เป็นวันเริ่มต้นทำงานของปาณัท เป็นวันที่เขาจะได้ทำหน้าที่ประธานบริษัท บวรเทพ จิวเวลรี่ วันแรก ซึ่งชายหนุ่มเคยให้สัญญาไว้กับหุ้นส่วนทุกคนว่าจะทำหน้าที่ประธานบริษัทให้ดีที่สุด แล้วเขาก็จะทำให้ได้อย่างที่สัญญาไว้ และจะไม่ทำให้หุ้นส่วนทุกคนต้องผิดหวังอย่างเด็ดขาด

แล้วคุณนภาลัยก็หันไปบอกแม่ใบบัว

“ตักข้าวเลยแม่ใบบัว ฉันหิวแล้ว”

“ค่ะ คุณท่าน” พูดจบใบบัวก็ไปทำหน้าที่ตักข้าวใส่จานให้ทุกคน

เมื่อใบบัวตักข้าวใส่จานเสร็จประมุขของบ้านก็บอกกับลูกและหลานว่า

“ทานข้าวกันได้เลย”

แล้วทุกคนก็ลงมือรับประทานอาหารทันที

พรรณนิภาที่นั่งอยู่ใกล้ลูกชายรีบตักอาหารที่ลูกชายโปรดปรานใส่จานให้ พร้อมกับกำชับว่า

“ทานให้เยอะๆ นะลูก จะได้มีแรงทำงาน เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่ลูกจะได้ทำหน้าที่ประธานบริษัท”

“ขอบคุณครับ คุณแม่...แต่คุณแม่เองก็ต้องทานข้าวเยอะๆ เหมือนกันนะครับ เพราะผมสังเกตุเห็นว่าเดี๋ยวนี้คุณแม่ดูผอมลงไปมาก” ปาณัทก็ตักอาหารที่ผู้เป็นแม่โปรดปรานใส่จานให้เหมือนกัน

“ขอบใจจ้ะลูก” เธอพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะก้มสำรวจร่างกายตัวเองและบอกกับลูกชายว่า “แม่ผอมตรงไหนลูก หุ่นดีออก” พูดจบก็หัวเราะ

ผู้เป็นลูกชายก็เลยหัวเราะตาม

“ครับ คุณแม่ของผมหุ่นดี”

“หุ่นแบบนี้แหละ...พ่อชอบ” ปราภพหัวเราะผสมโรง พร้อมทั้งหันไปทำตาปริบๆ ใส่ภรรยาที่นั่งข้างๆ กัน จึงโดนภรรยาตีแขนเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้

“นี่แน่ะ คุณพูดอะไรของคุณคะ”

“ก็พูดความจริงไง หรือว่าคุณเขิน”

“เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้เขิน”

ผู้เป็นลูกชายมองพ่อกับแม่แล้วยิ้ม ยิ้มให้ความน่ารักของทั้งสองคน และถึงแม้จะอายุมากขึ้นแต่ความรักของพวกเขาไม่เคยลดลงเลย มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง

แล้วปาณัทก็ตักอาหารใส่จานให้ผู้เป็นย่าเช่นกัน พร้อมกับกำชับว่า

“คุณย่าเองก็ต้องทานเยอะๆ เหมือนกันนะครับ”

“ขอบใจจ้ะ ตาป้อง” คุณนภาลัยยิ้มให้หลานชาย

แต่มีคนหนึ่งที่แอบทำหน้าหมั่นไส้เพราะเห็นทั้งสามคนเอาใจใส่กันและกันนั่นก็คือประภา แล้วเธอก็คิดในใจว่า

‘เชอะ! เอาใจใส่กันดีจริงๆ น่าหมั่นไส้นัก สักวันเถอะทุกคนจะไม่มีโอกาสได้มีความสุขแบบนี้อีก’ เหมือนเธอจะมีแผนอยู่ในใจ

เมื่อรับประทานอาหารเสร็จปาณัทก็หันไปพูดกับผู้เป็นพ่อว่า

“คุณพ่อครับ คุณพ่อจะว่าอะไรไหมครับ ถ้าผมจะขอให้นายภูเป็นรองประธาน”

ภูริชยิ้มดีใจที่ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องจะให้เขาเป็นรองประธานบริษัท แต่ต้องหุบยิ้มเมื่อได้ยินปราภพพูดประโยคต่อมา

“ไม่ได้...ไม่ได้เด็ดขาด”

“ทำไมครับ คุณพ่อ” ชายหนุ่มถามอย่างไม่เข้าใจ

“ก็เพราะว่าตาภูไม่มีความรู้เกี่ยวกับการบริหาร เรียนจบก็แค่มอหก ไม่ใช่ปริญญา เพราะฉะนั้นเป็นรองประธานบริษัทไม่ได้” ผู้เป็นพ่อว่า

ภูริชแอบไม่พอใจที่ผู้เป็นลุงขัด เขาจึงคิดในใจว่า

‘บ้าเอ๊ย! ฉันเกือบจะได้เป็นรองประธานอยู่แล้วเชียว คุณลุงนะคุณลุง จะมาขัดทำไมเนี่ย’

แต่คุณนภาลัยกลับแย้งว่า

“แต่ย่าว่าให้ตาภูทำงานที่ฝ่ายการเงินหรือฝ่ายการตลาดมันจะดีกว่านะ”

“แต่ผมว่า...” เหมือนปราภพจะไม่เห็นด้วย

ประภาจึงพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ

“ทำไมคะ พี่ปราภพไม่อยากให้ตาภูเข้าไปทำงานที่บริษัทเหรอคะ...ตำแหน่งนี้ก็ไม่ให้ทำ ตำแหน่งนั้นก็ไม่ให้เป็น ทั้งๆ ที่ตาภูเองก็เป็นหลานคนหนึ่งในตระกูล บวรเทพ เหมือนกัน เขาก็สมควรที่จะ...”

“ตำแหน่งไหนก็ไม่เหมาะสมสำหรับตาภูทั้งนั้น” ผู้เป็นพี่ชายแทรกขึ้น “เพราะว่าตาภูไม่มีความรู้เกี่ยวกับการบริหารเลย ถ้าฉันให้ตาภูไปทำแล้วเกิดการผิดพลาดขึ้นมาจะว่ายังไง หา! แกจะรับผิดชอบไหม”

ไปๆ มาๆ สองพี่น้องก็ทะเลาะกันอีกจนได้

“เอาละ อย่าเพิ่งทะเลาะกันเลย” คุณนภาลัยรีบห้าม “ถ้าตาภูไปทำงานแล้วเกิดการผิดพลาดขึ้นมา แม่จะรับผิดชอบเอง”

“คุณแม่ครับ...” เขามองผู้เป็นแม่อย่างอึ้งๆ

ประมุขของบ้านยกมือขึ้น

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ทำตามที่แม่บอกก็พอ ถึงยังไงตาภูก็เป็นทายาทคนหนึ่งของตระกูล เขามีสิทธิ์ทำงานในบริษัท ให้ตาภูเข้าไปทำงานในบริษัทเถอะ หรือแกจะให้หลานนั่งๆ นอนๆ หรือเที่ยวเตร่ไปวันๆ อย่างนั้นเหรอ”

“ก็ได้ครับ คุณแม่...ผมจะให้ตาภูไปทำงานในบริษัท” ปราภพจำต้องรับปาก

“ถ้าคุณลุงเห็นว่าผมไม่เหมาะที่จะทำงานในบริษัท ผมไม่ไปทำก็ได้ครับ” ภูริชแสร้งพูดเสียงอ่อยๆ

แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่า

“ก็ลุงรับปากกับคุณยายแล้วไง...ว่าลุงจะให้แกไปทำงานที่บริษัท เพราะฉะนั้นลุงก็ต้องทำตามที่ลุงรับปากสิ ลุงไม่มีทางผิดคำพูดหรอก”

“ขอบคุณมากครับ คุณลุง” ภูริชรีบประนมมือไหว้ผู้เป็นลุง พร้อมกับยิ้มหน้าบานขึ้นมาทันที

“อันที่จริงแกก็เป็นทายาทคนหนึ่งของตระกูล ลุงไม่มีสิทธิ์ไปห้ามแกไม่ให้ไปทำงานในบริษัท ลุงขอโทษนะ ที่ลุงคิดว่าแกคงทำงานในบริษัทไม่ได้หรอก เพราะว่าแกเรียนจบแค่ชั้นมอหก”

“สมัยนี้ไม่ต้องเรียนจบปริญญาก็สามารถทำงานในบริษัทได้ ขอแค่มีความรู้ก็พอแล้ว” คุณนภาลัยว่า

ประภากับภูริชหันมายิ้มให้กันอย่างพอใจ ก่อนที่ผู้เป็นแม่จะพูดขึ้นว่า

“จริงค่ะ คุณแม่...คุณแม่พูดถูกค่ะ สมัยนี้ไม่จำเป็นต้องเรียนจบปริญญาก็สามารถทำงานในบริษัทได้ค่ะ ถึงแม้ตาภูจะเรียนจบแค่มอหก แต่แกก็มีความรู้อยู่พอประมาณ รับรองว่าตาภูจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง ขอให้ทุกคนไว้ใจแกได้เลยค่ะ”

“เอาเถอะ ฉันจะรับตาภูเข้าทำงานที่บริษัทในตำแหน่งฝ่ายกาเงินแล้วกัน แต่ถ้าจะให้เป็นรองประธานคงไม่ได้ เพราะตำแหน่งนี้ต้องเป็นคนที่มีความรู้สูงถึงจะทำได้” ปราภพว่า

“จะตำแหน่งไหนผมก็ทำได้ทั้งนั้นแหละครับคุณลุง ขอบคุณคุณลุงมากนะครับที่ให้ผมทำงานในบริษัท ผมขอสัญญาว่าผมจะทำมันอย่างดีที่สุด และจะไม่ทำให้คุณลุงต้องผิดหวังเด็ดขาดครับ” ภูริชยิ้มดีใจมาก

“ดี!” ปราภพพยักหน้า ก่อนจะหันมาพูดกับลูกชาย “เรารีบไปที่บริษัทกันเถอะลูก วันนี้เป็นวันที่ลูกทำหน้าที่ประธานบริษัทวันแรกด้วย เดี๋ยวพนักงานจะชะเง้อหาว่าท่านประธานคนใหม่ทำไมเข้าบริษัทช้าจัง”

“ครับ คุณพ่อ” ปาณัทยิ้ม

แล้วสองคนพ่อลูกก็ลุกขึ้นพร้อมกัน

“ผมไปก่อนนะครับ คุณแม่ คุณพรรณ” เขาพูดกับผู้เป็นแม่และภรรยา จากนั้นก็หันไปบอกภูริช “เอ้อ ตาภู เดี๋ยวแกไปที่บริษัทพร้อมกับพ่อของแกนะ ลุงจะไปกับตาป้องก่อน”

“ครับ คุณลุง” ภูริชพยักหน้ารับ

“ไป! ลูก” ปราภพบอกกับลูกชาย

“ครับ คุณพ่อ” ปาณัทพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะหันไปบอกกับย่า แม่ และอา “ผมไปก่อนนะครับคุณย่า คุณแม่ คุณอาภา”

“จ้ะ ตั้งใจทำงานนะลูก” พรรณนิภาจับแขนลูกชายให้กำลังใจ

“ครับ คุณแม่” ชายหนุ่มยิ้ม

“รีบไปเถอะ สองคนพ่อลูกคู่นี้” คุณนภาลัยบอกกับลูกชายและหลานชาย

ทั้งสองคนพยักหน้าตอบ ก่อนจะเดินออกไป

บนโต๊ะอาหารจึงเหลือเพียงคุณนภาลัย พรรณนิภา ประภา เขมนันท์และภูริช

“แม่ใบบัวมาเก็บโต๊ะเลย ทุกคนอิ่มแล้ว” ประมุขของบ้านหันไปสั่งคนรับใช้ ก่อนจะหันมาบอกกับลูกหลาน “แม่ขอตัวก่อนนะ วันนี้แม่ว่าจะไปที่สำนักงานใหญ่สักหน่อย หลังจากที่ไม่ได้ไปนาน”

“ค่ะ คุณแม่” พรรณนิภายิ้มให้แม่สามี

“ให้ผมขับรถไปส่งไหมครับคุณยาย” ภูริชรีบอาสา

แต่ผู้เป็นยายกลับส่ายหน้า

“ไม่เป็นไร เพราะแกเองก็ต้องไปบริษัท มันจะเสียเวลา”

“ไม่เสียเวลาเลยครับ เพราะว่าทางไปบริษัทกับทางไปสำนักงานใหญ่ก็ไปทางเดียวกันครับคุณยาย”

“เอางั้นก็ได้” ท่านพยักหน้ารับ “เอ้า! ถ้างั้นก็ไปกันเลย เพราะยายต้องรีบเข้าสำนักงาน”

“ครับ! ไปกันครับคุณพ่อ” ภูริชพูดกับพ่อแล้วลุกขึ้น

เขมนันท์ลุกตามลูกชาย ก่อนจะหันไปพูดกับแม่ยาย

“ไปกันครับ คุณแม่”

“อืมม์! ไปสิ” คุณนภาลัยพยักหน้าอีกครั้ง แล้วลุกขึ้นเดินนำหน้าลูกเขยกับหลานชายไป

บนโต๊ะจึงเหลือเพียงพรรณนิภากับประภา ฝ่ายแรกลุกขึ้นยืน

“พี่ขอตัวขึ้นห้องก่อนนะจ๊ะภา”

“ค่ะ พี่พรรณ ภาก็ว่าจะขึ้นห้องเหมือนกันค่ะ” ประภายิ้ม แต่เป็นยิ้มที่เผยออกมาแบบไม่เต็มใจนัก

พรรณนิภายิ้มให้น้องสาวของสามี ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกไป

ประภามองตามพี่สะใภ้พร้อมกับเบ้ปาก แล้วพูดออกมาเมื่ออยู่คนเดียว

“เชอะ! เชิญพี่พรรณยิ้มหน้าบานไปเถอะค่ะ ไม่มีวันที่พี่พรรณกับพี่ปราภพตามหาลูกชายฝาแฝดอีกคนพบหรอก ไม่มีวัน!”

 

ท่านประธานคนใหม่เดินเข้ามาในบริษัทด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย บวกกับการแต่งตัวที่หรูหราและหล่อเหลาทำให้พนักงานสาวๆ ต่างเหลียวมองชายหนุ่มด้วยความชื่นชมชื่นชอบ แต่เขาก็ไม่ได้ภูมิใจที่มีคนมองด้วยความชื่นชมหรือว่าชื่นชอบ เพราะว่าเขาไม่ใช่คนที่หลงตัวเองนั่นเอง

แล้วพนักงานทุกคนก็ประนมมือไหว้ท่านประธานคนใหม่พร้อมกัน ชายหนุ่มไหว้ตอบยิ้มๆ

แล้วปราภพก็พาลูกชายเดินมาที่ห้องๆ หนึ่ง ซึ่งค่อนข้างกว้างใหญ่ มีประตูเป็นแบบไม้อย่างดี และโต๊ะทำงานเป็นแบบกระจก ส่วนเก้าอี้จะเป็นแบบของผู้บริหารโดยเฉพาะ บนโต๊ะมีแจกันดอกไม้วางอยู่

“นี่คือห้องทำงานของท่านประธานคนใหม่” ปราภพหันมาบอกลูกชาย

ปาณัทมองไปรอบๆ ห้องแล้วยิ้มพอใจ เพราะบนฝาผนังรอบห้องมีรูปของเขาติดอยู่ด้วย บนโต๊ะก็มี แต่ละรูปนั้นเท่ทีเดียว แล้วชายหนุ่มก็ถามผู้เป็นพ่อ

“นี่คุณพ่อสั่งให้คนเอารูปของผมมาติดประดับห้องด้วยเหรอครับเนี่ย”

“ใช่!” เขาพยักหน้าให้ลูกชาย “อ้อ พ่อน่ะเลือกเอาแต่รูปเท่ๆ ของแกนะ อย่างรูปนั้น...” ชี้ไปที่รูปๆ หนึ่งที่ติดบนฝาผนังใกล้โต๊ะทำงาน “เป็นรูปที่แกไปถ่ายที่สถานที่ท่องเที่ยวในกรุงปารีส พ่อก็เลยเลือกเอารูปนั้นมาติดตรงนี้ ใกล้โต๊ะทำงานของแก แกเท่นะ เท่เหมือนพ่อเลยลูก” ประโยคท้ายเขาแกล้งพูดติดตลก พร้อมกับหัวเราะ

“ครับ ผมได้ความเท่มาจากคุณพ่อ” ชายหนุ่มก็พลอยหัวเราะตามพ่อไปด้วย สักพักเขาก็ถามขึ้นว่า “แล้วเลขาของผมล่ะครับคุณพ่อ”

“พ่อหาไว้ให้แล้ว” ผู้เป็นพ่อว่า

ทันใดนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงพูดขออนุญาตเข้าห้อง แล้วจากนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก ร่างเล็กของหญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาและประนมมือไหว้ทั้งสองคนพ่อลูก

“สวัสดีค่ะ”

“นี่คือ สุจิรา...เลขาฯ ของลูก” ปราภพแนะนำหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ที่มีนามว่า ‘สุจิรา’ ให้ลูกชายได้รู้จัก เพราะเธอคือเลขาฯ ของท่านประธานคนใหม่นั่นเอง!

“สวัสดีครับ คุณสุจิรา” ปาณัทประนมมือไหว้คนที่กำลังจะมาเป็นเลขาฯ ของเขา

อีกฝ่ายจึงไหว้ตอบ

“สวัสดีค่ะ ท่านประธาน เรียกดิฉันว่าสุเฉยๆ ก็ได้ค่ะ”

“ครับ คุณสุ” ชายหนุ่มเรียกตามที่อีกฝ่ายบอกทันที

“ว่าแต่วันแรกท่านประธานคนใหม่จะเริ่มทำงานอะไรก่อนดีครับ” ปราภพถามลูกชายยิ้มๆ

อีกฝ่ายจึงตอบว่า

“อ้อ ผมว่าจะเรียกหุ้นส่วนบริษัททุกคนมาประชุมครับ”

“ประชุมเรื่องอะไรล่ะ” ถามอีกครั้งอย่างแปลกใจ

“ก็ประชุมเรื่องการตลาดน่ะครับคุณพ่อ เพราะผมคิดว่าบริษัทของเราน่าจะต้องขยายการตลาดเพิ่มครับ เพื่อที่จะได้เพิ่มยอดขายให้กับบริษัทของเรา เพราะที่ผ่านมาผมรู้สึกว่ายอดขายมันลดลงไปมากเลยครับ”

“ดีมากลูก” เขาตบไหล่ลูกชายเบาๆ พร้อมกับยกมือเยี่ยม “ลูกคิดจะทำอะไรก็แล้วแต่เลยลูก เพราะพ่อได้มอบอำนาจในการดูแลบริษัทให้ลูกแล้ว จากนั้นลูกจะทำอะไรลูกก็ทำเลย พ่อไม่ว่า”

“ขอบคุณครับ คุณพ่อ” ชายหนุ่มประนมมือไหว้ผู้เป็นพ่อและยิ้มหน้าบาน

“เอ้อ สุ เดี๋ยวเธอไปบอกหุ้นส่วนของบริษัททุกคนมาประชุมนะ” หันไปบอกเลขาฯ ของท่านประธานคนใหม่

สุจิราจึงพยักหน้ายิ้มๆ

“ได้ค่ะ คุณปราภพ” เมื่อพูดจบเธอก็เดินออกไปทันที

ปาณัทยิ้มให้ผู้เป็นพ่อ ก่อนจะเดินอ้อมโต๊ะทำงานไปนั่งที่เก้าอี้ และหมุนไปมา

“นั่งสบายมากเลยครับ คุณพ่อ” ชายหนุ่มพูดขึ้น

“ใช่ลูก เก้าอี้นี้นั่งสบายมาก พ่อเคยนั่งมาแล้ว” ปราภพว่า แต่สักพักเขาก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งเครียดและบอกกับลูกชายว่า “ลูกต้องยึดตำแหน่งประธานไว้ให้ดีๆ นะ เพราะมีคนที่ต้องการตำแหน่งนี้ และต้องการที่จะเขี่ยลูกให้ตกจากเก้าอี้ท่านประธาน”

“ใครครับ คุณพ่อ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงเท่าที่จะสูงได้และถามด้วยความสงสัย

อีกฝ่ายโบกมือไปมา และบอกว่า

“ลูกไม่ต้องรู้หรอก แค่ทำตามที่พ่อบอกก็พอ ยึดตำแหน่งประธานไว้ให้ดีๆ”

“ครับ คุณพ่อ” เขารับปากทันที แม้ในใจนั้นยังสงสัยและอยากรู้ แต่ก็ไม่อาจจะคาดคั้นผู้เป็นพ่อได้ จึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้นั่นเอง!

บนถนน...ภูริชขับรถอยู่ โดยมีผู้เป็นพ่อนั่งข้างๆ หลังจากส่งคุณยายลงที่สำนักงานสังคมสงเคราะห์เขาก็บึ่งรถตรงไปที่บริษัท ระหว่างทางเขมนันท์ก็ชวนลูกชายพูดคุย

“แกเกือบจะได้เป็นรองประธานอยู่แล้วตาภู ถ้าพี่ปราภพไม่มาขัดซะก่อน เสียดาย!”

“นั่นสิครับ คุณพ่อ...คุณลุงไม่น่ามาขัดเลย ผมเกือบจะได้เป็นรองประธานอยู่แล้วเชียว บ้าจริง” ภูริชรู้สึกหงุดหงิดมากๆ

แต่ผู้เป็นพ่อกลับพูดว่า

“แต่แกทำงานในตำแหน่งฝ่ายการเงินก็ดีเหมือนกัน แกก็พยายามยักยอกเงินให้ได้มากที่สุดนะ”

“แต่คุณยายก็ให้เงินผมใช้ทุกวันนะครับ คุณพ่อ” ผู้เป็นลูกชายว่า

“ฮึ! ให้แค่สองหมื่นสามหมื่นน่ะเหรอ แกจะพอใช้หรือไง ก็แค่เศษเงินเท่านั้น”

“จริงสิครับ คุณพ่อ คุณยายให้เงินผมใช้ทีละสองหมื่นสามหมื่น ผมแทบจะไม่พอใช้เลยครับ เพราะผมจะต้องเอาไป...”

“เปย์สาวๆ” ผู้เป็นพ่อแทรกขึ้น

“ใช่แล้วครับ คุณพ่อ” ชายหนุ่มยิ้มจนเห็นฟันขาวสะอาด

“เพราะฉะนั้น...” เขมนันท์ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ตลอดเวลาที่แกทำงานในตำแหน่งนี้แกก็ต้องพยายามยักยอกเงินให้ได้มากที่สุด พ่อรู้ว่าคนฉลาดอย่างแกทำได้แน่นอน”

“ผมทำได้แน่นอนครับ คุณพ่อ” เขายิ้มร้าย

อันที่จริงภูริชก็ได้ความเจ้าเล่ห์มาจากผู้เป็นพ่อ เขาถึงว่า พ่อเป็นอย่างไร ลูกก็เป็นอย่างนั้น ได้นิสัยพ่อมาเต็มๆ ส่วนนิสัยขี้อิจฉาริษยาก็ได้มาจากผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มจึงเหมือนทั้งพ่อและแม่นั่นเอง!

 

 

ที่ห้องประชุมของ บริษัท บวรเทพ จิวเวลรี่ จำกัด ทุกคนกำลังประชุมกัน โดยหัวข้อในการประชุมก็คือเรื่องเกี่ยวกับขยายการตลาด เพราะปาณัทต้องการให้บริษัทมีการขยายการตลาด ที่ผ่านมารายได้ในบริษัทลดลงไปมาก ชนิดที่ว่าทุนหายกำไรหดเลยทีเดียว ชายหนุ่มจึงคิดว่าบริษัทควรจะต้องขยายการตลาดเพิ่ม เพราะที่ผ่านมาส่งเพชรพลอย อัญมณีออกไปขายเพียงแค่ประเทศเดียวเท่านั้น ต่อไปควรจะต้องส่งออกไปขายหลายประเทศเพื่อเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทนั่นเอง!

เมื่อท่านประธานคนใหม่พูดจบเสียงปรบมือก็ดังเกรียวกราว

“มีใครเห็นด้วยกับผมไหมครับ” ชายหนุ่มหันไปถามหุ้นส่วนทุกคน

ทุกคนยกมือขึ้นและตอบแทบจะพร้อมกัน

“ผมเห็นด้วยครับ”

“ฉันเห็นด้วยค่ะ”

“เป็นความคิดที่ดีมากเลยนะครับ คุณปาณัท” หุ้นส่วนคนสำคัญพูดขึ้น

แล้วหุ้นส่วนอีกคนก็พูดว่า

“สมแล้วที่พวกเราให้โอกาสคุณ พอคุณเข้ามาเป็นประธานวันแรกคุณก็มีมติให้มีการขยายการตลาดเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีของบริษัทมากๆ เลยครับ”

“ใช่ค่ะ จะได้มีหลายช่องทางในการเพิ่มยอดขายให้กับบริษัท คุณปาณัทถือว่าเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรงเลยนะคะเนี่ย” หุ้นส่วนที่เป็นผู้หญิงพูดขึ้น

แต่เขมนันท์กลับพูดว่า

“แต่อาไม่เห็นด้วยนะป้อง”

“ทำไมครับ คุณอา” ปาณัทถามอย่างแปลกใจ

“ก็เพราะว่าถ้าเราขยายการตลาด บางทีเราอาจจะขาดทุนนะ”

“ฉันไม่เข้าใจ มันจะขาดทุนได้ยังไง ในเมื่อมันมีแต่ได้กับได้ และมันไม่เห็นจะมีเสียตรงไหนเลย” ปราภพพูดขึ้น เขารู้ว่าน้องเขยคิดที่จะขัดขวางไม่ให้บริษัทมีการขยายการตลาด และคิดที่จะโค่นปาณัทให้ลงจากตำแหน่งประธานเพื่อที่ตนเองจะได้เสียบแทน เขารู้จักเขมนันท์ดี

“นั่นสิครับ มันจะไม่มีทางขาดทุนได้เลย เพราะว่ามันจะมีแต่ได้กับได้ เราทำธุรกิจใหญ่ ถ้าเราคิดจะขยายการตลาดเราน่ะคิดถูกต้องแล้ว และมันจะไม่มีอะไรเสียเลย” หุ้นส่วนคนสำคัญว่า

แล้วปาณัทก็พูดขึ้นว่า

“ที่สำคัญ...ผมมีแผนที่จะขยายสาขาที่ต่างประเทศด้วยครับ เพื่อที่เวลาเราผลิตเพชรพลอยในแต่ละครั้งเราก็จะส่งออกไปให้สาขาของเราขาย”

“แล้วป้องรู้ได้ยังไงว่าถ้าเราขยายสาขาที่ต่างประเทศและส่งเพชรพลอยออกไปขายมันจะได้กำไรจริงๆ ไม่ใช่ว่ามันจะเสียนะ” เขมนันท์ถาม

ภูริชก็ออกความคิดเห็นเช่นกัน

“นั่นสิ แล้วทำไมเราไม่ขยายสาขาในกรุงเทพฯ ล่ะ ทำไมต้องไปเปิดสาขาไกลถึงเมืองนอกเมืองนาด้วย ฉันไม่เข้าใจ”

ท่านประธานคนใหม่จึงตอบว่า

“ฉันก็คิดจะเปิดสาขาที่กรุงเทพฯ เหมือนกันนั่นแหละ...อีกอย่าง ฉันคิดว่าที่เมืองนอกเขานิยมเพชรพลอยมากกว่าในไทย ฉันก็เลยวางแผนที่จะไปเปิดสาขาไว้ที่ประเทศต่างๆ ด้วยไง”

“ผมเห็นด้วยกับคุณปาณัทครับ เราขยายสาขาก็ดีเหมือนกัน เพราะว่ายอดขายมันจะได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ...ยังไงซะ บริษัทบวรเทพ จิวเวลรี่ ไม่มีทางขาดทุนแน่นอน ผมขอปรบมือให้กับความคิดของคุณปาณัทครับ” หุ้นส่วนคนหนึ่งพูดและปรบมือให้ปาณัท

ทุกคนจึงปรบมือตาม ไม่เว้นแม้แต่สองคนพ่อลูก เขมนันท์กับภูริช แต่เป็นการปรบมือแบบไม่เต็มใจนัก เพราะรู้สึกโมโหที่ไม่สามารถขัดขวางปาณัทได้ หุ้นส่วนทุกคนต่างเห็นด้วยกับปาณัทกันทั้งนั้น

‘บ้าจริง! ทำไมฉันถึงขัดขวางแกไม่สำเร็จ แต่ฉันจะไม่มีวันยอมแพ้แกโดยเด็ดขาด ฉันจะโค่นแกให้ลงจากตำแหน่งประธานให้ได้ ไอ้ป้อง คอยดู และสมบัติทุกชิ้นของตระกูลจะต้องตกเป็นของตาภูคนเดียวเท่านั้น’ เขมนันท์คิดในใจ

แต่ปากของเขาก็พูดไปอีกอย่าง

“นั่นสินะครับ ผมลืมคิด ถ้าเราขยายสาขามันจะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทของเรา มันจะขาดทุนได้ยังไง แหม ผมลืมข้อนี้ไปเลยนะครับ” พูดประโยคท้ายจบก็เสหัวเราะ

“ใช่ครับ คุณอา มันจะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทของเราครับ” ปาณัทว่า

“อาขอชมว่าป้องเป็นผู้บริหารที่รุ่นใหม่ไฟแรง ดูสิ เข้ามาบริหารงานวันแรกก็มีความคิดๆ ที่จะพัฒนาบริษัท เปิดสาขาร้านอัญมณี แบบนี้แหละเยี่ยมเลย” ยกมือเยี่ยมแบบไม่เต็มใจนัก และมีรอยยิ้มที่ไม่พึงพอใจ

ท่านประธานคนใหม่ลุกขึ้นยืนและพูดกับทุกคน

“เอาละครับ ผมขอจบการประชุมแต่เพียงเท่านี้ ขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมประชุมนะครับ และขอบคุณที่เห็นด้วยกับผม ขอบคุณอีกครั้งครับ” ชายหนุ่มประนมมือไหว้ทุกคนอย่างนอบน้อมทีเดียว แล้วเสียงปรบมือก็ดังตามมา

แล้วจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันออกจากห้องประชุมทันที ในห้องจึงเหลือเพียงปราภพ เขมนันท์ ปาณัทและภูริช

“ผมขอตัวก่อนนะครับ คุณพ่อ” ปาณัทบอกกับผู้เป็นพ่อ ก่อนจะเดินออกไป

เมื่อลูกชายเดินออกไปพ้นแล้ว ปราภพจึงพูดกับเขมนันท์

“อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ ว่าแกคิดจะทำอะไร ฉันไม่ได้โง่ และฉันดูออก”

“ผมคิดจะทำอะไรครับพี่ปราภพ” เขมนันท์ทำเป็นตีหน้าซื่อ

“อย่าให้ฉันต้องพูดเลย แต่บอกไว้ก่อน แกไม่มีทางทำสำเร็จแน่นอน” พูดจบปราภพก็เดินออกไปทันที

เมื่อผู้เป็นลุงออกไปแล้วภูริชก็พูดกับผู้เป็นพ่อ

“เหมือนคุณลุงจะรู้เลยนะครับว่าคุณพ่อคิดจะทำอะไร”

“ก็คุณลุงของแกฉลาดเป็นบ้า” เขมนันท์พูดอย่างหงุดหงิด

“แล้วแบบนี้ถ้าคุณพ่อคิดจะทำอะไรก็ลำบากน่ะสิครับ” ผู้เป็นลูกชายว่า

เขมนันท์ก็ลุกขึ้นยืนกอดอกและยิ้มร้าย พร้อมบอกกับลูกชายว่า

“ต่อให้พี่ปราภพฉลาดแค่ไหน แต่ก็ไม่ทันพ่ออยู่ดี”

“งั้นแสดงว่าพ่อมีแผน”

“ใช่!”

“บอกผมหน่อยได้ไหมครับ”

ต่อจากนั้นเขมนันท์ก็บอกแผนที่วางไว้ให้ลูกชายฟัง ภูริชก็ฟังอย่างตื่นเต้นสุดๆ

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.