รัตติกาลโบยบิน ได้ยินเสียงเจ้าผู้หลับใหล
แสงไฟ เพียงจุดเล็กๆ ท่ามกลางความมืดโดยรอบ มันลอดผ่านช่องประตูไม้เบื้องล่าง ภายในคือห้องนอน เต็มไปด้วยแสงจากเชิงเทียนเกือบยี่สิบ ที่ตั้งกระจายอยู่ทั่วห้อง ไร้ซึ่งจุดบอดให้เงามืดย่างกราย บนเตียงนุ่มที่ตั้งชิดผนังห้อง ร่างของหญิงสาวในชุดบางสีขาวสะอาด ดวงตาปิดสนิท กำลังท่องนิทราท่ามกลางความสว่างไสวของแสงไฟรอบตัว ที่อีกฟากของประตู ใครคนหนึ่งกำลังยืนอยู่อย่างเงียบสงบ เฝ้าสังเกตการณ์สิ่งที่เกิดขึ้น และจบลงในแต่ละวันของหญิงสาว ผู้เป็นดั่งดอกไม้ของใครคนหนึ่ง แต่เปรียบเสมือนลมเย็นในเหมันต์แรกเริ่มของใครอีกคน
ณ ลานประลองขาวสะอาด ลักษณะผิวเหมือนสร้างจากแร่สีขาว ขอบสนามเป็นผนังกำแพงสูงครึ่งตัวคน ตั้งอยู่ด้านหน้าของพระราชวังสีขาว ที่ที่ฝนเริ่มกระหน่ำลงมา “เอาล่ะ ลองแสดงพลังของเจ้าให้ข้าได้เห็นเป็นขวัญตาทีเถอะ แม่หญิง” ยินำเบเอ่ยขึ้น แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่มีท่าทีใดๆ เขาชูหัวไม้เท้าไปข้างหน้า บังเกิดคลื่นไฟม้วนที่เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นหัวมังกร พุ่งเข้าใส่ร่างอันไร้การป้องกันตัว มังกรไฟตัวนี้แม้จะถูกเม็ดฝนมหาศาลแต่กลับไม่ดับสลาย มันอ้าปากกว้างเตรียมเขมือบร่างที่ยืนขวางทางอย่างไม่ยำเกรง ท่ามกลางสายตาของผู้จับจ้องมองที่ต่างมีดวงตาเบิกกว้างเพราะสิ่งที่หญิงสาวกำลังทำ มือเปล่าสัมผัสที่หัวมังกรไฟโดยตรง ลูบหัวมันราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตทั้งที่ไม่ใช่ แต่แม้จะน่าทึ่งยังไงก็ไม่ใช่สิ่งที่ยินำเบต้องการจะเห็น เขากระทุ้งพื้นด้วยไม้เท้า คลื่นสะเทือนแผ่ขยายออกไปทั่วลานประลอง ทำให้การทรงตัวของหญิงสาวพังทลายจนต้องใช้แขนยันพื้นที่ยังไม่หยุดสั่น “ยังไม่หมดแค่นี้!!” ยินำเบตะโกนลั่น เบื้องหลังของหญิงสาวปรากฏกำแพงหินขนาดใหญ่ที่กลายสภาพเป็นใบหน้าของเทวทูต กลืนกินหญิงสาวเข้าไปทั้งตัว ร่างของหญิงสาวหายไปพร้อมปากหินที่ปิดลง กลายเป็นกรงขังหินอันแข็งกร้าว
“ท่านอาจารย์ แบบนี้ไม่เกินไปหน่อยรึ?” ชายสูงศักดิ์แสดงสีหน้าและท่าทางเป็นกังวลอย่างชัดเจน “หากไม่ทำให้คิดว่าการประมือนี้มีค่าถึงชีวิต นางคงไม่คิดมีใจสู้เต็มกำลังเป็นแน่ เจ้าเข้าใจใช่รึไม่?” ยินำเบมีใบหน้าดุดันจนทำให้โอฟาโพฟหน้าเสียไปทันที “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านอาจารย์” เขาพยักหน้ารับอย่างฝืนๆ แม้ในใจจะยังเป็นห่วงดอกไม้ของตน
ด้านในปากเทวรูปหินมีแต่ความมืดมิด แขนเริ่มสั่น ควานหาสิ่งต่างๆโดยรอบทั้งที่รู้ว่าอยู่ในที่แคบ แต่มือกลับสัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า มันกำลังกัดกร่อนจิตใจของเธอ และครอบครองตัวเธออีกครั้ง
“มันเริ่มขึ้นอีกครั้งแล้ว” ชายสูงศักดิ์เอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล ดวงตาที่กำลังมองหัวเทวทูตหินมองเห็นสิ่งผิดปกติอย่างชัดเจน จุดสีดำจำนวนมากผุดขึ้นทั่วผิวรูปปั้น ขยายตัวอย่างรวดเร็วจนสีเทากลายเป็นสีดำเพียงชั่วพริบตา “นี่หรือคือพลังที่เจ้ากล่าวถึง?” ชายสูงศักดิ์พยักหน้า เสี้ยววินาทีที่ยินำเบหันความสนใจออกจากรูปปั้น ไม่ทันสังเกตเห็นหอกแหลมสีดำทะลุออกจากผนังหิน พุ่งเข้าใส่เขาอย่างบ้าคลั่ง และแม้ว่าจะมีกำแพงหินที่สร้างขึ้นต้านการโจมตีทีเผลอนั้น แต่ก็ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสีดำ และสลายตัวเป็นควันดำทันทีที่สัมผัสหอกดำ ยินำเบรู้สึกไม่ดีกับควันดำจึงกระโดดออกจากรัศมี วนไม้เท้าสองสามรอบพลันเม็ดฝนจากเบื้องบนกลายสภาพเป็นหอกน้ำแข็งทิ่มแทงลงมายังเบื้องล่าง แต่หอกน้ำแข็งทั้งหมดกลับเปลี่ยนสี และสลายในทันทีที่ต้องควัน ‘นี่มันพลังธาตุหรืออะไรกันแน่?’ มีแต่สิ่งน่าสงสัยเต็มไปหมด ยิ่งการประมือใช้เวลานานมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเกิดความสงสัยในพลังที่หญิงสาวใช้ และไม่ใช่แค่พวกเขา แต่ยังมีผู้ซึ่งหลบอยู่ใต้ผ้าคลุมเองก็เช่นกัน
“....” ร่างในชุดคลุมเดินออกจากขอบสนามอย่างเงียบๆ สุดหน้าผาอันสูงชัน เธอมองลงมายังเบื้องล่าง ไม่ใช่ภาพวิวทิวทัศน์ของแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่ทำให้เธอสนใจ แต่เป็นอีกาดำตัวหนึ่งที่กำลังกระพือปีกบินออกไปท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ บินพอให้ลับสายตาของผู้จ้องมองก่อนที่จะสลายหายไป ราวสิ่งไร้ตัวตน
ณ พระราชวังปริศนา ตั้งอยู่บนพื้นที่สีดำสนิท รูปร่างและสีสันที่โดดเด่นราวกับหัวมังกรย้อมโลหิต ด้านนอกมีอัศวินในเครื่องแบบออกรบยืนประจำหน้าทางเข้าออก ภายในพระราชวังยิ่งเยอะกว่า แสงสีดำปรากฏขึ้นตรงหน้าทางเข้า ก่อนปรากฏร่างของอีกาดำตัวนั้น บินเข้าไปภายในปากมังกรที่อ้ากว้างโดยไม่มีใครคิดขวาง เหมือนกับมองไม่เห็นมัน บินทะลุห้องแล้วห้องเล่าก่อนจะหยุดที่ห้องหนึ่งที่มีลักษณะแตกต่างโดยสิ้นเชิง ทั้งมืด ทึบ ไร้ซึ่งความสวยงาม และเต็มไปด้วยกองหนังสือ และโต๊ะซึ่งวางสิ่งของประหลาดมากมาย มันบินไปเกาะที่ไหล่ของร่างผู้สวมชุดคลุมสีดำรุ่มร่าม เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้หินคล้ายบัลลังก์ที่ส่วนหัวมีรูปปั้นอีกางอกออกมาจำนวนหนึ่ง คล้ายกับว่าพวกมันกำลังเกาะแท่นบัลลังก์และส่งเสียงร้องตามธรรมชาติ แต่ที่มีเสียงจริงๆ ในตอนนี้กลับเป็นเจ้าอีกาปริศนา มันส่งเสียงไม่เป็นจังหวะ “งั้นรึ? เจ้าราชาจอมปลอมโอฟาโพฟคิดจะทำอะไรกัน?” เสียงที่กล่าวดูเหมือนจะกำลังสนทนากับอีกาตัวนั้น เธอลุกขึ้นพลันอีกาตัวนั้นกระพือปีกบิน ก่อนจะสลายหายไปทันใด
“ฝ่าบาท กระผมขอรายงานสถานการณ์ในประเทศกเมาก์กิเนตดังต่อไปนี้ขอรับฝ่าบาท...” เสียงผลักประตูเข้ามาบังคับให้องครักษ์ชะงักคำกล่าวไปชั่วครู่ “กล่าวต่อไป” เป็นเสียงสั่งที่ไม่ได้มาจากร่างที่เขากำลังสนทนาด้วย “องครักษ์ของประเทศกเมาก์กิเนตจับชาวบ้านที่มีพฤติกรรมคิดต่อต้านพระองค์ และจักรวรรดิแห่งไฟ ได้ที่หุบเขาของชนเผ่าอิเน่อิปวู โปรดมีคำสั่งให้ดำเนินการกับกบฏตามที่ทรงเห็นสมควรด้วยขอรับฝ่าบาท” ในระหว่างที่กำลังกล่าว ใบหน้าที่กำลังก้มต่ำมองเห็นชายผ้าสีดำลากพื้นของใครคนหนึ่งที่กำลังเดินตรงไปข้างหน้า
“เห็นได้ชัดว่าประเทศกเมาก์กิเนตยังไม่ถูกกำราบอย่างเต็มกำลัง หรือเป็นเพราะลักษณะการเป็นประเทศของพวกมันที่เกิดจากการรวมตัวของชนเผ่าจำนวนมากกัน” เซเลียหยุดยืนที่ข้างบัลลังก์ฝั่งซ้าย กระนั้นชายหนุ่มผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์กลับไม่แสดงออกว่าสนใจในคำกล่าวของเธอ “ไม่ต้องทำสิ่งใด ข้าจะไปจัดการกับพวกมันเอง” มาร์เวทกล่าวเสียงเยือกเย็น “ตามพระประสงค์ขอรับฝ่าบาท” องครักษ์หนุ่มลุกขึ้นถวายความเคารพด้วยการโค้งตัวลง แขนทั้งสองกางออกจากลำตัวราวกับท่าสยายปีกของมังกร ก่อนจะเดินออกจากห้องหลังจากนั้น
“พระองค์ชั่งมีความคิดที่ไม่ต่างจากดิฉันเลยเพคะฝ่าบาท” เซเลียส่งสายตาให้มาร์เวท และก็เหมือนทุกครั้งที่แววตาคู่นั้นแสดงออกอย่างเย็นชา “ที่เจ้ามาที่นี่เป็นเพราะเรื่องกบฏนี่อย่างงั้นรึ?” เซเลียหุบยิ้มเล็กน้อย “ใช่แล้วเพคะฝ่าบาท” เธอกล่าวพลางยกยิ้มอีกครั้ง “เช่นนั้นจงไปเสีย เมื่อไม่มีธุระอันใดกับข้าแล้ว” เธอยิ้มกว้าง ขาเริ่มก้าวลงบันไดทีละขั้นอย่างใจเย็น ก่อนจะหันกลับมาอีกครั้ง “เช่นนั้นข้าขอตัวเพคะฝ่าบาท” การจากไปของเธอคืนความสงบสู่ห้องโถงนี้อีกครั้ง เสียงเดียวที่กำลังได้ยินอยู่คือเสียงของลมหายใจตนเอง
“ท่านอาจารย์ วันนี้คงต้องรบกวนท่านอีกรอบ” โอฟาโพฟและยินำเบ ทั้งสองร่วมรับประทานอาหารในห้องเสวยของพระราชวังสีขาว “เจ้าไม่ได้รบกวนอะไรข้าเลย ทั้งหมดก็เพื่ออนาคตของประเทศ และผู้คนที่อยู่ใต้การปกครองของจักรวรรดิแห่งไฟ เพื่อให้พวกเขาได้เห็นแสงสว่างบนท้องฟ้าอีกครั้ง” ยินำเบร่ายยาวอย่างหดหู่และมีความหวังในเวลาเดียวกัน “ข้าเองหวังว่าการฝึกในวันนี้จะสำเร็จไปด้วยดี เพื่อจะได้รู้ว่าแท้จริงแล้วดอกไม้ของข้ามีพลังอะไรในตัวกันแน่” โอฟาโพฟยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้าสวยเข้ารูปของดอกไม้ที่เขาทะนุถนอมอย่างดี
รอยยิ้มแห่งความสุขเลือนหายไปจากใบหน้า และแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยเมื่อองครักษ์คนหนึ่ง เปิดประตูห้องเข้ามาอย่างถือวิสาสะ กระซิบที่ข้างหูโอฟาโพฟ พลันใบหน้าที่ดูสุขุมของชายวัยกรุ่นเปลี่ยนเป็นตกใจสุดขีด “เข้าใจแล้ว เจ้าไปได้” โอฟาโพฟยังคงมีใบหน้าเคร่งขรึมแม้ในยามที่หันมองยินำเบ “พวกเราไม่มีเวลาแล้ว ท่านอาจารย์ พรุ่งนี้มาร์เวทจะเดินทางมาถึงยังที่นี่” โอฟาโพฟกัดฟันแน่น “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าพวกลิงภูเขาหาเรื่องกับจักรวรรดิแห่งไฟ แผนของพวกเราก็คงมีเวลาสานต่อไปได้อีกพักใหญ่” โอฟาโพฟเขวี้ยงมีดเข้าปักกำแพงเสียงดังสะเทือนทั่วห้อง “โมโหไปก็เท่านั้น พวกเราควรจะรีบค้นหาพลังของนางตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป” ยินำเบลุกขึ้น ท่าทีของเขาดูร้อนใจเสียยิ่งกว่าโอฟาโพฟเสียอีก
ต่างฝ่ายต่างเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ผลักประตูห้องแห่งหนึ่งออกอย่างไม่เกรงใจเจ้าของห้อง “เซียนซี พวกข้าไม่มีเวลาให้เจ้าเล่นอีกต่อไป จากนี้..…เจ้าเป็นใคร?” โอฟาโพฟเพิ่งสังเกตเห็นร่างปริศนาของหญิงสาวตัวสูงโปร่ง เส้นผมสีรวงข้าวพร้อมเก็บเกี่ยว ยาวจรดปลายหลัง เธอกำลังยืนหันหลังให้พวกเขา เมื่อร่างนั้นหันกลับมา ยินำเบถึงกับสะอึก และก้มลงคุกเข่ากับพื้นห้องทันที “ท่านอาจารย์!!”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 269
แสดงความคิดเห็น