เช่นนั้นทำไมจึงมีแสงหากไม่ส่องสว่าง?
โต๊ะอาหารยาว วางอาหารมากมายบนจานทองคำ ที่หัวโต๊ะ ฝั่งตรงข้ามประตูห้องคือชายผู้สูงศักดิ์ ผู้กำลังนั่งรับประทานเนื้อย่าง ควันอุ่นๆ ระอุจากผิวกึ่งสุกกึ่งดิบยามถูกกดด้วยคมมีด และมีอีกหนึ่ง โวปาม ผู้ยืนเกือบชิดผนังประตูห้อง ก้มหน้าตลอดเวลา
“นางเป็นเช่นไร?” ชายผู้สูงศักดิ์เอ่ยขึ้น “สภาพร่างกายภภายนอกของนางกลับมาสมบูรณ์ดีแล้วขอรับฝ่าบาท” โวปามกล่าวรายงานอย่างฉะฉาน ไม่แหงนหน้าสบตาอีกฝ่าย ใช้เพียงหูสัมผัสเสียงกระทบกันของเครื่องรับประทานอาหาร “นำทางข้าไปหานาง” เขาแหงนหน้าขึ้น “ขอรับฝ่าบาท”
กลิ่นหอมของดอกไม้ เบ่งบานสู้แสงอรุณอันใกล้ดับลง กระโปรงยาวลากพื้น เคลื่อนผ่านผิวดินไร้ใบ สัมผัสกลีบดอกไม้หลากสีด้วยมือทั้งสอง ใบหน้าแต่งแต้มอมยิ้มแห่งความสุข “ท่านผู้หญิง แสงแดดยามอรุณใกล้หมดแล้วนะคะ หากไม่รีบ ดิฉันเกรงว่าอาจจะทำให้ผิวพรรณของท่านเสียค่ะ” หญิงรับใช้ที่กำลังเดินตามหลัง กล่าวอย่างเป็นห่วง กระนั้นเธอกลับไม่ฟังคำเตือน แถมยังดูจะไม่สนใจพวกนางด้วยซ้ำ เท้าเปล่าเหยียบย่ำผืนดิน เป็นจังหวะของความสุขมากกว่าจะเรียกว่าการเดินไปข้างหน้าเฉยๆ แต่แล้วก็ชะงักอยู่กับที่ นัยน์ตาบัดนี้ไม่ได้มองเห็นเพียงทัศนวิสัยของทุ่งดอกไม้ แต่มีร่างของชายสองคน กำลังยืนขวางทางเดินของเธออยู่ “อยู่นี่เอง” ชายสูงศักดิ์แสยะยิ้ม
“ชอบสวนดอกไม้ที่นี่มากเลยสินะถึงได้เอาแต่ใช้เวลาอยู่ที่นี่ ดูสิ ผิวพรรณเปลี่ยนสีไปหมดแล้ว” เสี้ยววินาทีที่กล่าวจบ สายฟ้าฟาดแล่นผ่านหน้าของหญิงสาวไปที่ด้านหลัง เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังเพียงชั่วครู่ เมื่อเธอหันกลับไป เห็นว่าผู้ติดตามทั้งสองสลบอยู่กับพื้นเสียแล้วจึงวิ่งเข้าไปดูอาการอย่างร้อนใจ ควันเทาลอยคลุ้งออกจากผิวกาย แต่ไม่ปรากฏแผลภายนอกนอกจากรอยไหม้ตามแขนที่ถูกยกขึ้น “พวกไร้ความสามารถ ข้ากำชับนักหนาว่าให้ดูแลดอกไม้ของข้าเป็นอย่างดี....หืม ขาเจ้า?” ดวงตาเบิกกว้างก่อนขาจะขยับไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แต่หยุดลงเพราะร่างที่กำลังขวางทางอยู่ “ถอยไป แม่ดอกไม้” เธอส่ายหน้า ใบหน้าแสดงออกอย่างขมึงตึง ดวงตาเด็ดเดี่ยวคู่นั้นทำให้โวปามมีสีหน้าหวั่นไหวไม่น้อย
“ข้าไม่ให้อภัยมันผู้ใดที่มิอาจทำตามคำสั่งของข้าได้ และถึงเจ้าจะปกป้องมันตอนนี้ เมื่อใดที่เจ้าลับสายตาจากพวกมัน ก็ต้องถูกข้าฆ่าอยู่วันยังค่ำ” กล่าวอย่างเยือกเย็น รอยยิ้มไม่จางหายไปจากใบหน้าโรคจิต กระนั้นเธอไม่ยอมฟังอยู่ดี “ถอยไปซะ” เขายิ้มกว้างขึ้นแต่สิ่งที่หญิงสาวตอบกลับคือการนั่งคุกเข่า ชายหนุ่มถอนรอยยิ้มจากใบหน้า ได้ยินเสียงถอนหายใจของตนเอง ก่อนที่ใบหน้าจะกลับมาแสดงออกอย่างอบอุ่นอีกครั้ง “ลุกขึ้นเถิด ดอกไม้ของข้า” เขายื่นมือออกไปสัมผัสคางของหญิงสาว ออกแรงเพียงเล็กน้อยเพื่อให้เห็นใบหน้าสวยเข้ารูปแม้ในยามที่กำลังแสดงออกถึงความแข็งกร้าวและต่อต้าน “สวยเหลือเกิน ดอกไม้ของข้า” มันเป็นรอยยิ้มที่น่าขยะแขยงสำหรับเธอ ยิ่งในเวลานี้ที่กลีบดอกไม้บางกำลังถูกประทับตราลงด้วยแรงของอีกฝ่าย อาจทำให้กลีบช้ำได้โดยง่าย
“เห็นแก่เจ้า ข้าจะปล่อยผ่านไปสักครั้ง...หากว่าเจ้ายอมทำตามที่ข้าสั่ง เจ้าคิดเช่นไร?” เธอพยักหน้ารับอย่างทันท่วงที เป็นครั้งแรกที่โวปามรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองมันหล่นออกจากร่างเมื่อเห็นว่าเธอตอบรับความปรารถนาของชายผู้สูงศักดิ์ “เช่นนั้นตามข้ากลับพระราชวังสิ มีใครคนหนึ่งที่ข้าอยากให้เจ้าได้พบ” โวปามผ่อนลมหายใจออกอย่างหายห่วง “...อ้อแล้วก็” ชายผู้สูงศักดิ์ยื่นหน้าเข้าใกล้หญิงสาวจนเกือบชิด เริ่มสูดดมกลิ่นอายดอกไม้ที่เคลือบอยู่บนผิวหน้าของเธอ “หากเจ้ามิอยากให้ใครต้องตายก็จงระวังการกระทำของตัวเองให้ดี ดอกไม้น่ะ ไม่ควรตากแดดยายสาย เจ้าเข้าใจข้าใช่รึไม่?” หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างฝืนๆ
ณ ท้องพระโรงโล่งกว้าง พวกเขาทั้งสามที่กำลังเดินตรงมาที่กึ่งกลาง มองเห็นร่างปริศนาสองคน ยืนรออยู่ ด้วยผ้าคลุมที่พวกนั้นใส่ ทำให้ไม่สามารถระบุเพศอย่างชัดเจน ชายสูงศักดิ์เดินตรงเข้าไปหาพวกนั้นด้วยอาการเกรงอกเกรงใจ “ขอแนะนำให้รู้จัก ดอกไม้ของข้า ส่วนนี่คืออาจารย์ที่ข้านับถือ ท่านยินำเบ” หญิงสาวไม่ได้ทักทายอะไร “ก็อยากที่ข้าบอกท่านไปแล้ว แม่หญิงคนนี้ดูแล้วน่าจะเป็นใบ้” ยินำเบมองหน้าเธอเพียงชั่วครู่ก็เหมือนจะมีปฏิกิริยาหยั่งรู้บางอย่าง เขาถือวิสาสะจับแขนของเธอต่อหน้าชายสูงศักดิ์ผู้หวงแหนผิวพรรณของเธอยิ่งกว่าสิ่งใด แต่กลับไม่ปรากฏอาการโกรธเคือง หรือจะหงุดหงิดที่ของรักของหวงของตนกำลังถูกปฏิบัติอย่างหยาบกระด้าง “ไม่ใช่ว่านางเป็นใบ้แต่อย่างใด” ชายชรากล่าวน้ำเสียงขะมักเขม้น ดวงตาจ้องเขม็งไปที่ดวงตาคู่โตของอีกฝ่าย เม็ดสีดำที่กระจายอยู่รอบดวงตาสีครามคือความลับที่น่าสงสัย
เขาปล่อยมือออก เริ่มเดินวนร่างบาง พินิจพิเคราะห์เธอด้วยสายตาแห่งปัญญา ในขณะที่อีกฝ่ายเองก็จ้องตากลับมาเช่นกัน “โอฟาโพฟ เจ้าบอกว่าเจ้าเจอนางที่ใดรึ?” ยินำเบไม่ได้ละสายตาออกจากหญิงสาว “ชายหาดฝั่งตะวันออกของประเทศ มีอะไรรึ ท่านอาจารย์?” หันมองหน้ายินำเบ เห็นว่าดวงตาของชายชรากำลังเบิกกว้าง ก่อนจะกลับมาเป็นปกติเพียงชั่วครู่ “หากข้าเข้าใจถูกต้อง แม่หญิงผู้นี้น่าจะเป็นสายเลือดของชนเผ่ากีสเซิลซ์” “กีสเซิลซ์ นั่นมันชนเผ่าที่ถูกประเทศนี้ในอดีตกวาดล้างในช่วงยุคล่านักเวทย์ดำใช่รึไม่ ท่านอาจารย์?” ชายสูงศักดิ์แสดงอาการตกใจผ่านใบหน้า “ถูกอย่างที่เจ้ากล่าวมา”
“เจ้าจำที่ปรึกษาปริศนาที่มักตัวติดกันกับมาร์เวทได้รึไม่? หญิงที่ชื่อเซเลีย แท้จริงแล้วนางคือหนึ่งในคนของชนเผ่าที่รอดจากการประหารด้วยเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์” ชายสูงศักดิ์แสดงออกถึงความตกใจอย่างสุดขีด “จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงกัน เหตุการณ์นั้นมันก็เกิดมาได้เกือบร้อยปีแล้วนี่ ท่านอาจารย์ เซเลียที่ข้ารู้จัก และเห็นหน้านั้นยังดูสาวอยู่เลยมิใช่รึ?” ชายสูงศักดิ์กล่าว “มนุษย์ธรรมดาอย่างเจ้าไม่รู้หรอกว่าตัวตนของนางดำมืดแค่ไหน” ยินำเบกล่าวอย่างเคร่งเครียด “นังนั่นคืออสรพิษร้ายที่แม้แต่สมาคมสีดำก็ยังเกรงกลัวในอำนาจมนต์ดำที่นางครอบครอง ไม่แน่ว่า….อาจจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าอาจารย์ของข้าด้วยซ้ำไป” ชายสูงศักดิ์ขมวดคิ้ว “อาจารย์ของท่านเก่งขนาดนั้นเลยรึ? เหตุใดจึงไม่เชิญมาให้ข้ารู้จักบ้าง ท่านอาจารย์?” ยินำเบถอนหายใจ “หึ อาจารย์ของข้าน่ะไม่ได้อยู่กับที่หรอกนะ ท่านเป็นหญิงสีขาวที่มีมนต์ขาวที่แก่กล้า และเรื่องเกี่ยวกับเซเลีย ก็เป็นท่านที่บอกข้ามาอีกที แท้จริงแล้วนางก็เป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากการตามล่านักเวทย์ดำ เป็นสายเลือดของชนเผ่ากีสเซิลซ์เช่นกัน” ความจริงที่ถูกเปิดเผยในวันนี้มีแต่สิ่งน่าสงสัยสำหรับหญิงสาวเต็มไปหมด
การเดินทางออกจากพระราชวังเป็นไปอย่างราบรื่นด้วยความช่วยเหลือจากชายสูงศักดิ์ผู้มอบรถลอยฟ้าให้พวกเขา แต่ในระหว่างการเดินทางภายในกล่องไม้สี่เหลี่ยมที่ควรจะเงียบสงบ “ท่านอาจารย์ ข้ารู้สึกเหมือนว่าพวกเรากำลังหลอกใช้โอฟาโพฟเลย” แท้จริงแล้วร่างที่คอยติดตามยินำเบก็คือเด็กหนุ่มผมดำ ใบหน้าเรียบเฉยจ้องหน้าผู้เป็นอาจารย์อย่างสงสัย “โฟเอพเฟ การโค่นล้มจอมปีศาจที่แท้จริงย่อมสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะต้องทำด้วยวิธีใดก็ตาม” โฟเอพเฟพยักหน้าเล็กน้อย สายตายังคงส่อประกายของคำถามที่ยังไม่เป็นที่สุด
“เจ้าคิดว่าผู้หญิงคนนั้นคือคนที่มีสายเลือดของชนเผ่านั้นอย่างงั้นรึ? ข้าไม่คิดเช่นนั้น ยิ่งเมื่อได้เห็นกับตาตัวเองยิ่งทำให้รู้สึกว่านางแตกต่างจากพวกเราทุกคน” คำกล่าวของยินำเบปลุกความสงสัยใหม่ของโฟเอพเฟ “ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน?” ยินำเบเงียบอยู่ครู่ใหญ่ จนเหมือนจะไม่มีคำตอบให้ “นางไม่ใช่มนุษย์ยังไงล่ะ” โฟเอพเฟตาเบิกกว้างทันใด มองดูผู้เป็นอาจารย์ที่กำลังยกมือข้างหนึ่งขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ ยินำเบเริ่มขมวดคิ้ว กำลังนึกถึงสัมผัสแรกที่ข้อมือของเธอคนนั้น มันชั่งว่างเปล่า ว่างเปล่าราวกับกำลังจมลงสู่ท้องสมุทรสีครามที่ยิ่งลึกยิ่งดำมืด
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 345
แสดงความคิดเห็น