ฟ้า...หลังฝน

รัก(ของผม)รสขนมหวาน
คุณกำลังอ่าน: รัก(ของผม)รสขนมหวาน

-A A +A

ฟ้า...หลังฝน

หมวดหนังสือ: 

“ไม่ไปได้ไหมฮือออ”

"ไม่ได้…อย่างอแงสิรถเมย์"ผมยืนกอดและลูบหัวน้องสาวที่ปล่อยโฮอย่างไม่อายใครกลางสนามบินด้วยความรู้สึกเอ็นดู ไม่รู้ว่าผมกลายเป็นคนติดน้องไปตั้งแต่เมื่อไร

“เดี๋ยวพาเมียโดดงานไปหานะ” ส่วนพี่คิมก็ยืนโบกมือบายบ๊ายพลางโอบเอวคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ

"ระวังเหอะ เดี๋ยวพี่ต้นจะแหกอกเอา"ผมพูดพลางชี้นิ้วไปทางคนคิ้วเข้มๆที่ยืนกอดอกมองมาอย่างเอาเรื่อง มันคงไปสะกิดต่อมคนรักงานเข้าพี่ต้นกล้าทำหน้าโหดทันทีที่ได้ยินพี่ชายตัวเองพูดเรื่องหนีเที่ยวออกมาหน้าตาเฉย

 ถึงแม้ตอนนี้พี่ต้นกล้าจะลดความแสบลงเพราะต้องทำหน้าที่แม่ให้กับลูกสาววัย1ขวบ แต่เสือก็ยังคงเป็นเสือนั่นแหละ ไม่รู้เหมือนกันว่าแอบวางแผนอะไรในหัวบ้าง

“ไม่เป็นไรเดี๋ยววิ่งไปหลบหลังเมีย” พี่คิมยืดอกพูดมันออกมาอย่างภาคภูมิใจ

ปัดโธ่!ไอ้พี่คนคูลๆที่ผมนับถือมันมาทั้งชีวิตหายไปไหนละเนี้ย

"กระจอกโคตรๆเลยครับโผม"ผมใช้เวลาร่ำลาครอบครัวและพี่ๆที่เคารพรักได้พักหนึ่งก็มีเสียงเรียกประกาศตามตัว คงต้องไปจริงๆแล้วสินะ

ลาก่อนนะ...

ลาก่อนทุกคน..และทุกๆอย่าง

ผมใช้เวลาบนเครื่องบินหมดไปกับการนั่งกินขนมและก็เล่นเกม รู้ตัวอีกทีเครื่องบินก็พาผมมาถึงจุดหมายซะแล้ว 

อากาศที่ไม่ร้อนและหนาวของกรุงลอนดอนทำให้ผมไม่ต้องปรับตัวมาก และผู้ชายตัวโตๆที่ยืนอยู่ข้างๆก็เหมือนกำลังรอให้ผมพูดบางอย่าง

"ผมจะเริ่มต้นใหม่ที่นี่ ห้ามพี่ใส่สูทเวลาที่อยู่กับผม ห้ามเรียกคุณหนู และก็ห้ามขัดเวลาผมลุกขึ้นมากินขนมตอนดึกๆ"หลังจากที่ฟังผมพูดพี่เกรทคงอยากจะโยนกระเป๋าทิ้งและวิ่งไปจองตั๋วบินกลับบ้าน แต่บอกเลยว่าฝันไปเถอะหนีผมไปไม่ได้หรอกเพราะผมแอบขโมยพาสปอร์ตของพี่แกมาเก็บไว้แล้ว

“คุณรถบัส” คนอายุมากกว่าดูลังเลว่าควรจะเรียกผมว่าอะไร

"เอาแค่บัสคำเดียวก็พอครับ อยู่ที่นี่พี่ต้องเป็นพี่ชาย ละก็เป็นปะป๊ากะมะม๊าให้ผมด้วย” ท่าทีคิดหนักของพี่เกรททำให้ผมนึกเรื่องสนุกออก

“เอ่อใช่..เราจะไม่จ้างแม่บ้านนะครับ พี่เกรทต้องเป็นกุ๊กส่วนตัวให้ผมด้วยนะ"คำขอสุดท้ายทำเอาใบหน้าที่มักจะเคร่งเข้มอยู่ตลอดเวลามีรีแอคที่โคตรจะตลก คิ้วของพี่เกรทตีกันแถมยังยืนอ้าปากค้างแล้วเอานิ้วชี้เข้าที่ตัวเองเพื่อถามผมว่า เอาจริงเหรอ?

“ใช่” และผมก็ตอบว่าใช่เพื่อยืนยันว่าทุกๆอย่างที่เพิ่งจะพูดออกมาผมเอาแบบนั้นจริงๆครับ

ผมพร้อมแล้วที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าถึงแม้คนข้างๆจะยังทำหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก แต่ผมรู้ดีว่าพี่เกรทจะไม่มีวันทิ้งผมไปไหน

การเอาตัวรอดของเจ้าเด็กอ้วนกับชายกล้ามโตที่ไม่เคยเข้าครัวเลยสักครั้ง ทั้งๆที่เป็นหลานป้านวลเชฟกระทะทองเหลืองประจำบ้านจะออกมาน่าติดตามสักแค่ไหน เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังเองครับ

 ช่วงเกือบครึ่งปีแรกของการใช้ชีวิตที่ต่างประเทศของผมผ่านไปอย่างทุลักทุเล ทั้งผมและพี่เกรทเริ่มเบื่ออาหารจืดๆรสชาติเลี่ยนๆที่มันห่างไกลความแซ่บของรสชาติบ้านเกิดมาก จนเรา2คนตกลงกันว่าจะไปสมัครคอร์สเรียนทำอาหาร และมันต้องเป็นหลักสูตรสอนทำอาหารไทยโดยเชฟที่เป็นคนไทยเท่านั้น ถึงผมจะแอบไปลงคอร์สทำขนมเพิ่มด้วยก็ตาม

สนุกแหละที่นี้ชีวิตของผมโคตรจะวุ่นวายเลย แต่ก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดาของ2ชีวิตชายโสดในเมืองกรุง

 

(ทำไมอ้วนขึ้นอ่ะ?)

เสียงเจื้อยแจ้วของรถเมย์ที่พยายามพูดแข่งกับเพลงที่เปิดฟัง ทำให้ผมต้องยกมือถึงปิดหูและส่งยิ้มกวนๆไปให้แทน

"กินเยอะ ในตู้เย็นมีแต่นมกับชีส"ผมตะโกนตอบน้องสาวที่ทำหน้ามุ้ยอยู่ในจอโทรศัพท์ที่วางเอาไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ

(พี่บัสกลมขึ้นทั้งตัวเลย รถเมย์จะฟ้องมะม๊า)

ผมยังจำได้ว่ามีช่วงหนึ่งที่ผมบ่นว่าปวดขาเวลาที่ต้องเดินหรือยืนนานๆ ปะป๊าที่แสนจะห่วงใยผมรีบพาผมไปหาหมอ ผลปรากฏว่าผมแค่อ้วนขึ้นร่างกายเลยต้องทำงานงานหนัก พอเรื่องนี้ลอยเข้าหูมะม๊าผมโดนสั่งงดขนมหรือของหวานทุกชนิด แถมยังต้องเข้าคอร์สลดน้ำหนักที่โดนจำกัดอาหารที่กินเข้าไปให้มันไม่เกินกว่าที่ร่างกายต้องการไปตั้งหลายเดือน

แค่คิดว่าต้องทำแบบนั้นอีกร่างกายก็ต้องการอาการแล้ว

"พูดมาก เดี๋ยวพี่ไม่ซื้อของไปฝากเลยนิ"ผมนั่งรบข้ามประเทศกับน้องสาวตัวเองไปเกือบ2ชั่วโมงจนเห็นว่าน้องหลับคาหน้าจอไปแล้วผมถึงกดวางสาย

ท้องฟ้ายามค่ำคืนของลอนดอนสวยมากก็จริง แต่ก็ยังน้อยกว่าวิวที่นั่งมองจากตะแคร่หน้าบ้านบนดอยของผมอยู่ดี ไม่รู้ว่าผมคิดถึงบ้านหรือคิดถึงคนที่อยู่ใกล้ๆบ้านกันแน่

"คิดถึงนะครับ"ผมมองขึ้นไปบนฟ้าและส่งความห่วงใยไปกับลม เผื่อมันจะใจดีหอบเอาความคิดถึงที่ผมมีลอยไปฝากเขาคนนั้นที่ไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่

 

เช้าวันที่ชีวิตในการเรียนของผมเริ่มต้นด้วยความเย็นจากอากาศด้านนอก เม็ดฝนที่โปรยปรายลงถี่ๆแต่ไม่หนักถึงกับออกไปไหนไม่ได้ ทำให้ลมหายใจอุ่นๆของผมเริ่มกลายเป็นควันสีขาวขุ่นๆลอยอยู่รอบตัวทุกครั้งที่อ้าปากพูดคุยกับเพื่อนๆในชั้นเรียน

“มายบัส...ยูจะกลับเลยไหม” เสียงแหลมเล็กๆดังขึ้นข้างตัวของผมพร้อมกับมีมือน้อยๆมาวางลงบนไหล่ ผมยิ้มก่อนจะหันไปมอง

"ใช่ บัสรู้สึกหนักๆตัว แครอลมีอะไรหรือเปล่า"ผมถามขึ้นพร้อมกับช่วยเก็บของบนโต๊ะเข้ากระเป๋า

“เหรอ...แคลจะว่าชวนยูไปซื้อของอ่ะ” หญิงสาวทำหน้างอ

"วันหลังนะวันนี้ไม่ไหวจริงๆ"ผมได้แต่ขอโทษขอโพยที่ไม่สามารถตามใจเธอที่นั่งอยู่ตรงหน้าได้

“ม่ายเปงรายคร้า~” สำเนียงเพี้ยนๆจากเพื่อนในคลาสช่วยเรียกรอยยิ้มจากผมได้เสมอ แครอลเป็นเพื่อนในกลุ่มที่ตัวติดกับผมมากกว่าคนอื่น เธอเป็นสาวอเมริกันแท้ๆที่ตัวเล็กกว่าผมซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่จะหากันได้ง่ายๆเลย

และโชคดีของผมอีกอย่างในวันนี้ก็คือตอนที่เลิกคลาสช่วงบ่าย ฝนมันเริ่มจะทิ้งช่วงไปบ้างแล้วทำให้การเดินเท้ากลับบ้านไม่ต้องทนเปียกทนหนาวสักเท่าไร

แต่ทันทีที่ก้าวเข้าไปในบ้าน ผมก็แทบจะล้มทั้งยืน อยู่ๆร่างกายมันก็ไร้เรี่ยวแรงไปเฉยๆ ผมล้มลงตรงทางเข้าบ้าน หายใจหอบราวกับคนเพิ่งจะไปวิ่งมาราธอนมา หูอื้อ และตาก็เริ่มจัมองไม่ค่อยเห็น มีเพียงเสียงเรียกชื่อจากใครบางคนเท่านั้นที่ผมได้ยินก่อนที่จะหมดสติ

“รถบัส!!!”

พี่เซนเหรอครับ?

ผมคงจะเป็นบ้าไปแล้วที่คิดแบบนั้น พี่เซนจะมาอยู่ที่นี้ได้ยังไง คนไม่รัก...ทำยังไงเขาก็ไม่รัก ผมควรจะหยุดคิดถึงเขาได้แล้ว ผมควรที่จะ....

“ไม่!!” ทันทีที่ผมลืมตาผมก็พบว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีแววตาที่ไม่คล้ายกับใครก็ตามที่ผมเคยรู้จัก

“คุณหนูฟื้นแล้ว” เสียงทุ้มต่ำเรียกผมอย่างเคยชินทั้งที่เคยบอกแล้วว่าห้ามเรียกแบบนี้ แต่คนตัวโตๆก็ทำไม่เคยได้สักที พี่เกรทเดินเข้ามาหาผมด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียดพร้อมกับหมอและพยาบาลที่ถืออุปกรณ์กับเอกสารในมือมากมาย

ผมพยายามมองรอบๆตัว มีแต่สายน้ำเกลือโยงไปมาระหว่างมือของผมและเสาเหล็กเล็กๆที่ตั้งอยู่ข้างๆเตียงที่ผมนอนอยู่

ถ้าเดาไม่ผิดที่นี้คงจะเป็นโรงพยาบาล โอเคผมคงจะป่วยเป็นอะไรสักอย่างหนึ่งเพราะก่อนที่ผมจะตื่นขึ้นมาและพบว่ามีแต่หมอและพยาบาลยืนล้อมเตียงเอาไว้ ผมหน้ามืดและรู้สึกเวียนหัว

"มีอะไรกันครับ บัสป่วยเป็นอะไรเหรอ" เพราะทุกๆคนในห้องทำหน้าอย่างกับจะมายืนไว้อาลัยกับผม ผมถึงสงสัย

รึว่าผมจะเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย?

บ้าไปแล้ว!

เหล้าไม่กิน บุหรี่ก็ไม่สูบ ส่วนพวกของปิ้งย่างยิ่งไม่ต้องพูดถึง

นี่ใครครับ?

ผมเองรถบัสสายของหวานถ้าเป็นเบาหวานและต้องตัดขาก็ว่าไปอย่าง ดูสมเหตุสมผลกว่ามะเร็งเยอะ

เอ๊ะ!!

รึว่าผมจะเป็นเบาหวานจริงๆ ผมยังเด็กอยู่เลยอ่ะจะโดนตัดขาแล้วเหรอ?

ม่ายยยน้า~

“มิสเตอร์สุรเดช คุณอยู่ในภาวะครรภ์เป็นพิษ” เสียงของคุณหมอช่วยเรียกสติของผมกลับมาได้ก็จริง

แต่ว่า...

“ครรภ์เป็นพิษ?” พอผมทวนสิ่งที่ได้ยินก็เกิดอาการหน้าชาขึ้นมา

ครรภ์เป็นพิษ....ท้อง!

จะบ้าเหรอผมเป็นผู้ชายนะ ผมจะมีลูกได้ยังไง? 

ผมคิดแต่ไม่ได้พูดออกมาไม่ได้ เพราะมีคนที่ผมรู้จักดีที่เป็นผู้ชายเหมือนกันเพิ่งจะคลอดลูกไปเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง คนๆนั้นก็คือพี่ต้นกล้าน้องชายของพี่คิม แล้วแบบนี้ชีวิตของผมจะเป็นยังไงต่อไป

ผมจะทำยังไงดี?

"พี่เกรท..นี่มันเรื่องบ้าอะไร"ผมที่ยังไม่เชื่อว่าตัวเองท้องหันไปร้องไห้ฟูมฟายและถามคนข้างๆว่าจะทำยังไงดี

“คุณหนู...อายุครรภ์เกือบจะ20สัปดาห์แล้ว ทำไมเพิ่งรู้ตัวครับ ก่อนหน้านี้ไม่มีอาการอะไรบ้างเลยเหรอครับ” เป็นอีกครั้งที่ผมนั่งนิ่งเพราะพูดอะไรไม่ออก

ผมท้องจริงๆเหรอ ผมนึกว่าตัวเองแค่อ้วนขึ้นเฉยๆเพราะแอบกินมื้อดึกติดกันหลายวัน แล้วไอ้คำพูดที่เคยแซวๆคนอื่นว่านี่ยูท้องรึยูแค่อ้วนมันก็กลับกำลังย้อนกลับมาทำร้ายตัวผมเอง

"จะทำยังไงดี ผ..ผมต้องทำอะไร ทำยังไงดีพี่เกรท"ตัวของผมสั่นเพราะรู้สึกกลัว ผมกังวลเพราะคิดอะไรไม่ออก ผมคงเอาเรื่องนี้ไปบอกใครไม่ได้

“โทรบอกคุณท่านเถอะครับ”

"ม..ไม่ได้นะ!ห้ามคนที่บ้านรู้เรื่องนี้"ผมรีบปฏิเสธเสียงแข็ง จะให้ใครรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด

“คุณหนู!!!” เป็นครั้งแรกที่ผมโดนพี่เกรทตะโกนใส่หน้า

"พี่เกรท..ฮือออ...บัสจะทำยังไงดี...บัสให้คนอื่นรู้เรื่องนี้ไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ" ผมเริ่มสับสนกับเรื่องที่เพิ่งรับรู้มา ยิ่งหลังผลทำการอัลตร้าซาวด์บอกว่าเด็กในท้องของผมเป็นทั้งผู้ชายและผู้หญิงนั่นแปลว่า...

ผมกำลังท้องลูกแฝด

นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมยิ่งคิดหนัก...

ผมจะใช้ชีวิตต่อยังไง?

ต้องทำอะไรบ้างเพื่อที่จะทำให้ให้พวกเขาแข็งแรง และคลอดออกมาอย่างปลอดภัยร่างกายครบ32

การเริ่มต้นใหม่ของผมยังไปไม่ถึงไหนเลย เพราะผลพลอยได้จากบทลงโทษที่ผมพยายามที่จะลืมมันยังตามติดตัว และคงจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปอีกนานแสนนาน

 

"เขาจะรู้ตัวไหม...ว่าตอนนี้ผมกำลังเจอกับอะไร"ในบ้านที่ข้าวของถูกเปลี่ยนให้เข้ากับเทศกาลฮีสเตอร์ที่กำลังใกล้เข้ามา ผมได้แต่นั่งเอามือลูบท้องปลอบใจตัวเอง 

มีบ้างบางครั้งที่ผมรู้สึกว่าเจ้าพวกตัวเล็กๆในท้องจะส่งสัญญาณโต้ตอบเวลาที่ผมเอามือลูบหน้าท้องตัวเอง

“พี่เซน....ลูกดิ้นด้วยแหละ” ผมทำได้แค่คิดถึงคนที่อยู่ห่างไกลแล้วก็ยิ้มเพื่อให้กำลังใจตัวเอง

“อากาศเริ่มเย็นแล้ว อย่านั่งอยู่ตรงนี้นานๆเลยดีกว่าครับ” พี่เกรทเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับแก้วนมอุ่นๆ เราทั้งสองคนต่างช่วยกันดูแลอีกฝ่าย ตอนนี้ผมไปเรียนเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังดีที่ทำเรื่องพักการเรียนไว้ก่อนที่ท้องจะโตจนเดินไม่ได้

เพื่อนเพียงคนเดียวที่ยังแวะเวียนมาเยี่ยมคือแครอล เธอดีใจมากที่รู้ว่าผมท้องและไม่เคยถามอะไรเซ้าซี้แถมยังขอให้ผมยอมให้เธอได้เป็นแม่ของเด็กๆในท้องอีกด้วย ซึ่งผมเองก็ยินดี

"พี่เกรทว่าบัสจะเป็นแม่ที่ดีได้หรือเปล่า" ผมพูดหลังจากยกแก้วนมขึ้นมาดื่ม แต่ดื่มได้ไม่มากก็ต้องเอาคืนคนที่ยกมาให้ไปทั้งยิ้มจางๆ

จะอ้วก...

ผมว่าและพี่เกรทก็ไม่ได้บังคับให้ผมดื่มมันต่อ

“คุณหนู...”

"แล้วที่นี้ผมจะอธิบายกับลูกยังไง ถ้าเกิดพวกเขาถามว่าพ่อไปไหน"

“พี่ได้ยินว่าคุณแคลเธอจะขอเป็นแม่ให้กับเด็กๆ”

"ผมรบกวนแคลมาเยอะแล้ว มะม๊าต้องโกรธมากแน่ๆถ้ารู้เรื่องนี้" ผมเริ่มไม่ค่อยได้โทรกลับบ้านจนโดนบ่น แต่โชคยังเข้าข้างเพราะตอนนี้กิจการรถเช่าและทัวร์จากจีนลงบ่อยทำให้ป๊ากับม๊าของผมไม่ค่อยจะมีเวลาว่างบินมาคิดบัญชีด้วย

“อดทนนะครับ อีกไม่กี่เดือนเด็กๆก็จะคลอดแล้ว”

"ครับ...อีกเดี๋ยวก็จะได้เจอกันแล้วนะ ฮันนี่...โทสต์" ผมเอามือลูบท้องโตๆอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับดวงดาวบนฟ้า

ดาวจ๋า...

ฝากไปบอกเขาทีนะ..

ว่าผม...คิดถึง

 

 

ผมต้องใช้ความอดทนแค่ไหนถึงฝ่าฟันช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตมาได้ คือคำถามที่ผมใช้ถามตัวเองอยู่ทุกวันตอนท้อง 

ผมมีอาการมือบวมเท้าบวมเดินเองแทบไม่ได้และร่างกายของผมก็ปฏิเสธของหวานทุกชนิดที่ผมเคยชอบ

สภาพอากาศที่หนาวและชื้นขึ้นเพราะมีฝนตกตลอดเกือบทั้งวันทำให้ผมกลายเป็นคนหงุดหงิดง่ายที่แม้แต่พี่เกรทยังทำใจยอมรับได้ยาก

"ผมทรมาน...พี่เซนครับ..ฮืออรถบัสเจ็บ.." ผมนั่งกำมือถืออยู่บนรถเข็นในห้องนอนที่แสงจากหน้าจอดับวูบไปแล้ว แต่รูปของคนที่ผมคิดถึงยังคงลอยเด่นชัดอยู่ข้างในหัวใจ

เขาจะคิดถึงผม...เหมือนกับที่ผมคิดถึงเขาบ้างไหม?

เขาจะยังจำผมได้บ้างหรือเปล่า จะมีสักครั้งไหมที่เขาจะถามคนอื่นว่าผมหายไปไหน?

"ฮืออ....ไม่ไหว...ไม่ไหวแล้ว...ใครก็ได้...ช่วยผมที.."ผมฟุบหน้าลงบนแขนเล็กๆที่ยกขึ้นกอดตัวเองเอาไว้การเป็นคนท้องที่ไม่มีคนรักอยู่ข้างๆมันทรมานเหลือเกิน

มันทั้งเหงา...

ทั้งเศร้าและรู้สึกเดียวดาย....

“คุณหนู...เราบอก..”

"ไม่!!...บัสทำตัวเอง...บัสผิดเองทั้งหมด...บัสต้องผ่านมันไปให้ได้" ผมส่ายหน้าเป็นพัลวันพลางยกมือขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตาของตัวเอง

ผมไม่ใช่เด็กๆอีกแล้ว วันนี้ผมมีอีก2ชีวิตที่ถ้าขาดผมไปพวกเขาจะไม่เหลือใคร

ผมจะเป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับลูกของผมเอง ผมจะไม่รอ...และจะไม่ร้องขอความเห็นใจจากใครทั้งนั้น

“คุณ...”

"อยู่กับผม...อยู่ข้างๆผม...อยู่แค่ตอนนี้ก็ได้ พี่อย่าให้ผมเป็นอะไรไปนะ พี่ต้องดูแลผม..รัก..ลูกๆของผมให้มากๆนะครับพี่เกรท" ผมยื่นมากุมมือหนาๆของคนตัวโตที่ยืนนิ่งพยักหน้าขึ้นลงเบาๆแทนคำตอบ

ผมเลือกแล้วอย่างน้อยๆในวันที่ไม่มีผมอยู่ ลูกๆของผมจะต้องไม่รู้สึกเดียวดายหรือขาดคนดูแล พี่เกรทเลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กๆพี่เกรทคือคนที่ทำให้ผมกลายเป็นที่คนอ่อนโยนและเข้มแข็งได้ในเวลาเดียวกัน มันจึงไม่มีเหตุผลที่ผมจะปฏิเสธคนดีๆแบบนี้

"ในเมื่อพี่เคยเลี้ยงผมมา...งั้นก็อยู่ข้างๆและช่วยผมเลี้ยงลูกด้วยนะ" ผมนั่งยิ้มให้คนตัวโตอีกครั้ง ใบหน้าเรียบเฉยเมื่อครู่เริ่มกลับมามีรอยยิ้ม

ผมฝากอนาคตตัวเองกับลูกไว้ที่พี่ได้ใช่ไหมครับ...พี่เกรท

 

“คุณหนูใกล้ได้เวลาแล้วนะครับ” มีคนตัวโตยืนจับมือผมไม่ห่างหน้าห้องคลอดที่ผมไม่รู้ว่าเข้าไปแล้วจะได้กลับออกมาหรือเปล่า

"ครับ...จะได้เจอกันแล้วนะ"มือของยังคงเอาแต่ลูบหน้าท้องไปมาอย่างหวงแหน

“ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลอะไรนะ...พี่จะอยู่ข้างๆเราเอง” พี่เกรทนั่งยองๆลงข้างรถเข็นของผม มือหนาข้างหนึ่งกุมมือที่กำลังสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ของผมไว้แน่น สัมผัสอบอุ่นที่ลูบไล้เส้นผมเบาๆช่วยทำให้ผมผ่อนคลายขึ้น

มันน่ากลัวที่ต้องเข้าไปในห้องนั้นคนเดียวแต่ผมก็ต้องทำเพราะทั้งฮันนี่และโทสต์ก็อยู่สู้กับผมมาจนถึงวันนี้ เคสของผมเป็นเคสพิเศษที่โอกาสรอด...น้อยมาก

ผมกำมือแน่นเพื่อบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร...

เราจะสู้ไปด้วยกันทั้งผมและลูกๆ เราต้องรอด...

เรา3คนจะกลับไปนั่งดูดวงดาวเต็มท้องฟ้าที่บ้านบนดอยด้วยกัน ฮันนี่ครับ..โทสต์ครับ...กลับบ้านกับรถบัสนะคนดี...อย่าทิ้งบัสไปเหมือนกับพ่อของลูกเลย..

เชื่อไหมครับว่าเวลาแค่1ปีมันผ่านไปไวเหมือนโกหก จากที่ผมเคยวางแผนไว้ว่าจะพักเรื่องการเรียนไว้แค่1ปี กลับต้องยืดออกเป็น2ปีเพราะอยากจะเลี้ยงเจ้า2แสบให้พอช่วยเหลือตัวเองได้ก่อน และตอนนี้ดวงใจทั้งสองของผมก็กำลังน่ารักน่าชังสุดๆ

แครอลหลงรักลูกๆของผมชนิดโงหัวไม่ขึ้น 1สัปดาห์มี7วันแคลจะขอมานอนค้างด้วยอย่างน้อย5วันหรือจะใช้คำว่าย้ายเข้ามาอยู่บ้านเดียวกันเลยก็ได้

“แครอท...อุ้ม” เด็กผู้ชายวัย1ขวบเศษๆยืนตากลมกางแขนออกรอเจ้าของชื่อตาแป๋ว คนขี้เกียจเดินทำหน้าอ้อนแม่ทูนหัวอย่างรู้งาน แครอลไม่มีทางขัดใจหน้าตาน่ารักน่าชังนั่นได้แน่ๆ นี่ถ้าผมไม่ออกปากห้ามคงได้ตามใจกันจนเสียคนตั้งแต่ยังเล็ก

ลูกๆของผมชอบเรียกแคลว่า แครอท ผมเคยนั่งขำตอนแคลพยายามสอนลูกๆของผมให้เรียกเธอว่า มามี้แครอลลีน แต่เจ้าแฝดตัวแสบดันเรียกแม่ทูนหัวคนดีว่า มีหลอด แทน

สุดท้ายเจ้าตัวเลยยอมถอดใจยอมแพ้ให้กับเจ้าเด็กๆที่พยายามสอนยังไงก็เรียกได้แค่แครอทซื่อๆมันออกมาเพี้ยนตามประสาเด็กเพิ่งหัดพูด

"โทสต์...ไม่งอแงนะ ดูฮันนี่สิยังเดินแข่งกับบัสไม่เห็นบ่นเลย" ผมไม่ได้สอนให้ลูกๆเรียกว่าตัวเองว่าแม่...หรือพ่อ ทุกครั้งที่เรา3คนคุยกันผมจะแทนตัวเองด้วยชื่อเสมอจนตอนนี้บัสหรือรถบัสคืออีก1ในไม่กี่คำที่ลูกๆของผมเริ่มจะออกเสียงได้ชัดเจน

“บัส..ไป..ไหน?” เสียงเล็กน่ารักๆของฮันนี่ดังขึ้นข้างตัวจนผมต้องหันไปส่งยิ้มหวานๆให้ โชคดีของผมอีกอย่างหนึ่งที่ตามมาหลังจากที่ผมสามารถเอาชนะกฎเกณฑ์หลายอย่างของโลกด้วยการเป็นผู้ชายที่คลอดลูกแฝดได้โดยยังมีชีวิตรอดและลูกๆปลอดภัยแข็งแรงร่างกายครบ32แล้วนั่น ก็คือลูกๆของผมเป็นเด็กเลี้ยงง่าย เข้ากับคนรอบข้างได้เร็วแถมยังฉลาด...มากจนน่ากลัว...

ไม่รู้ไปได้ใครมาเพราะผมเนี้ยคนธรรมดาสุดๆ

"บัสจะพาไปหาคนเลี้ยงข้าว" ผมพูดยิ้มๆกับลูกสาวตัวน้อยที่ในมือถือช่อดอกไม้เล็กๆที่เจ้าตัวแอบเก็บจากสวนหน้าบ้านมามัดรวมกันไว้ ก่อนจะก้มลงไปกระซิบข้างๆหูคนตัวเล็กกว่าอย่างอารมณ์ดี

ผมยืนรอการมาของคนที่แสนคิดถึงกับลูกๆและแครอล ส่วนพี่เกรทกลับไทยไปพร้อมกับป๊าม๊าของผมแล้ว ตอนนี้คนที่รู้ว่าผมมีลูกแล้วแถมยังน่ารักทั้งคู่ด้วยก็มีป๊ากับม๊าที่แอบบินมาส่องพฤติกรรมของผมแล้วเจอเซอร์ไฟส์จัดหนักเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพิ่มเข้ามาอีกเดี๋ยวคงจะมีรถเมย์และคนที่ผมกำลังยืนรอด้วยความคิดถึง

คนที่ผมรอคงกำลังเดินทางมาเขาคือคนที่ผมคิดถึงไม่แพ้ใคร และอีกไม่กี่นาทีคงจะได้เจอกันแล้ว เขาจะเดินทำหน้ายังไงตอนที่ออกมากันนะ?

นั่นไงครับผมเห็นเขาแล้วเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดตรงเข้ามาหาผมทันทีโดยไม่ต้องรอให้โบกมือเรียก

"ดูเหนื่อยๆนะฮะพี่คิม"ผมยิ้มเมื่อเรา2คนยืนประจันหน้ากัน

“หมายความว่ายังไง” พี่คิมโชว์อีเมลในมือถือที่ผมส่งไปหาครั้งล่าสุด รูปถ่ายใบเล็กๆที่มีผมและลูกๆยืนยิ้มหน้าลอนดอนอายคงจะสร้างความสงสัยให้พี่ชายสุดที่รักไม่น้อย เพราะผมส่งไปพร้อมกับข้อความสั้นๆที่ว่า

พี่ครับว่างแล้วมาเป่าเค้กวันเกิดหลานๆด้วยกันนะ

“คูล~ลูง~” ฮันนี่ปล่อยมือผมแล้วเดินเข้าไปจับขากางเกงพี่คิมเขย่า2-3ทีแล้วเงยหน้าส่งยิ้มหวานๆผมสัมผัสได้ว่ากำลังจะมีเหยื่อติดเบ็ดตกหัวใจของลูกสาวตัวน้อย

“หื้อ?...ชื่ออะไรคะคนสวย”

หึหึ...เสร็จไปหนึ่ง

ผมยืนมองพี่คิมนั่งยองๆยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เวลาที่คุยกับฮันนี่

“คิคิ...ฮานนิ” เจ้าแสบคนน้องพูดจาเสียงใสพลางเอานิ้วเล็กๆจิ้มเข้าข้างแก้มของตัวเอง ด้วยท่าทางน่าเอ็นดูปนหน้าตาน่ารักไม่มีความเป็นไปได้เลยที่พี่คิมจะไม่ตกหลุมรักลูกสาวของผม

"พี่พัตสบายดีไหมฮะ" ผมหันไปทักพี่ชายอีกคนที่เดินทางมาพร้อมพี่คิม นึกแล้วว่าความจริงพี่คิมไม่ได้ตั้งใจมาหาผมหรอกพี่แกคงอยากจะพาเมียหนีเที่ยวมากกว่า

“สบายดีครับเด็กๆน่ารักกว่าในรูปอีกนะ” พี่พัตเตอร์พูดและนั่งยองๆลงข้างเจ้าแสบคนพี่บ้าง ตอนนี้โทสต์เอาแต่ยืนจ้องคนแปลกหน้าทั้งสองอย่างไม่วางตา แม้มือเล็กจะยังกำนิ้วเรียวๆของแม่ทูลหัวเอาไว้แน่นก็ตาม

"ฮันนี่...โทสต์ป่ะเดี๋ยวลุงคิมจะพาไปเลี้ยงข้าว" ผมพูดแล้วเดินเข้ามาอุ้มฮันนี่ขึ้น ส่วนโทสต์แคลอาสาดูแลให้ ผมเดินนำพี่คิมออกจากสนามบินแม้เจ้ามือจะไม่ตอบอะไรแต่ก็ไม่ได้ทำท่าทีปฏิเสธคำพูดแกมบังคับของผม

หึหึ...เสร็จโจรพ่อจะล่อให้หมดตัวเลยวันนี้!

 

“ไอ้อ้วน...เกิดอะไรขึ้น” พี่คิมเดินเข้ามายืนข้างๆผมที่ออกมายืนรับลมที่ระเบียงหน้าบ้าน

"เรื่องอะไรฮะ" ผมยังคงไม่พร้อมที่จะตอบคำถามรีบหันหน้าออกและมองไปทางแสงไฟของบ้านหลังข้างๆ

“เรื่องเด็กแฝด ใครเป็นพ่อของเด็ก2คนนี้” เมื่อพี่คิมมีสีหน้าที่จริงจังขึ้นความขี้เล่นที่เคยมีก็เลือนหายไปจากใบหน้าของเขาทันที

เฮ้อ...อยู่ดีๆก็จะกลายร่างเป็นตาแก่ขี้บ่นซะแล้ว ไม่รู้ว่าพี่พัตเตอร์ทนอยู่ด้วยได้ยังไง แต่ก็อย่างว่าแหละครับคนเขารักกันเรื่องแค่นี้คงไม่ถึงกับต้องใช้ความอดทนหรอก ขอแค่เข้าใจกันก็พอ

"พี่คิมดูสิน่ารักเหมือนบัสตอนเด็กๆเลย" ผมพูดแล้วนึกถึงลูกๆที่ไม่ว่าจะพาเดินไปไหนก็มักจะมีคนมาขอถ่ายรูป หรือกระทั่งขอสร้างกรุ๊ปไลน์ไว้อัปเดตเรื่องราวของสองแฝดด้วยซ้ำ

“เหมือนน่ะเหมือน แล้วสรุปใครเป็นพ่อของเด็กกันละ”

"เอ้าพี่!!..ก็บัสนี่ไงพ่อของสองแสบ" ผมพยายามพูดติดตลกซึ่งหวังว่าจะทำให้คนข้างๆอารมณ์ดีขึ้น แต่มันก็เปล่าเลย

“บัส...น้องชายพี่ท้องได้ แถมเด็กที่เกิดมายังเป็นผู้หญิง ทำไมพี่จะทำใจให้เชื่อว่าบัสจะเป็นคนคลอดเด็กสองคนนี้ออกมาเองไม่ได้” พี่คิมมองผมด้วยสายตาจับผิด..

เฮ้อ..ยอมแล้วคร้าบบบ

"ครับก็ตามนั้น...บัสไม่เคยโกหกอะไรพี่ได้เลยสักครั้ง"พี่คิมเพียงแค่พยักหน้ารับรู้แล้วยกแก้มนมอุ่นๆขึ้นดื่ม มันทำให้ผมที่ยืนมองภาพนั้นต้องขมวดคิ้วตั้งคำถามแทน

“เมียทำให้...เมียบอกมีประโยชน์กว่ากาแฟ” ก็แน่นอนสิครับก่อนจะเข้านอนใครเขากินกาแฟกัน มันดีแค่ไหนแล้วที่พี่ได้พี่พัตเตอร์เป็นเมีย ผมว่าพี่ชายของผมดูเปลี่ยนไปเยอะเลย ไม่ใช่เรื่องพูดน้อยลงนะหมายถึงกลัวเมียอ่ะเปลี่ยนไปเยอะจากกลัวอยู่แล้วมาวันนี้กลั๊วกลัว เมียสั่งซ้ายลองไปขวาดูสิคงโดนเจ้าตัวงอนจนต้องไปยืนร้องไห้ตากฝนทั้งคืนเหมือนครั้งที่แล้วแน่

"แล้วพี่พัตละฮะ" ผมถามอย่างแปลกใจห่างกันได้ด้วยเหรอ?ไอ้คนติดเมีย!!

“เล่านิทานให้หลานๆฟังอยู่ในห้อง” ผมยิ้มออกมาแทนคำขอบคุณ ต่อให้วันข้างหน้าต้องเจอกับเรื่องยุ่งยากแค่ไหนผมก็พร้อมจะสู้ต่อไป เพราะอย่างน้อยๆวันนี้ก็มีคนรักลูกๆของผมเพิ่มขึ้นอีกตั้ง2คน

"แล้วพี่จะพักกับผมที่บ้านป่ะ"

“ไม่อ่ะเดี๋ยวเตอร์จะเอาแต่เลี้ยงหลานไม่สนใจพี่” อ้าวพี่คิม...หลานที่ว่านั่นก็ลูกผมเองไง กับน้องกับหลานก็หวงเมียงี้ มันได้เหรอ?

ผมคิดขำๆกับคนที่ได้ชื่อว่าพี่ชายตรงหน้า เกิดวันหนึ่งพี่พัตเตอร์มีลูกขึ้นมา ชีวิตพี่คิมคงได้วิ่งวุ่นบ้านกับที่ทำงานแน่ๆ

 

“ลูงงงพาตตต..” ผมรี่ตามองเจ้าแสบคนพี่ที่นั่งเกาะแขนเล็กๆของคนมีลักยิ้มบนแก้มอย่างสงสัย

โหมดอ้อน...

โทสต์กำลังอ้อนพี่พัตเตอร์?

ปกติกับผมยังแทบจะไม่ค่อยเจอโหมดนี้เลย ดูเหมือนว่างานจะเข้าพี่คิมแล้วหรือเปล่านะ

“ว่ายังไงครับสุดหล่อของลุง” คนแก้มอมชมพูดูสุขภาพดีพูดพลางยกมือข้างที่ว่างขึ้นลูบหัวเล็กๆของคนที่นั่งทำตากลมฉีกปากยิ้มกว้างๆ

“ไม่ไปได้ไหม” นั่นไงละคิดไว้แล้วว่าต้องใช่...ต้องใช่แน่ๆมันเป็นอะไรที่พูดยากต้องให้เธอแก้!

ผมรีบหันขวับไปมองผู้เป็นพี่ที่ยืนหน้าหงิกใส่ลูกชายตัวดีแทบจะทันทีที่ได้ยินประโยคขอร้องแกมบังคับ

โธ่~เจ้าโทสต์ลุงๆเขามาสวีทกันอย่าไปขัดลุงเขาสิลูก

“ไม่อยากไปไหนแล้วอ่ะ...พี่คิม~~~” คนติดหลานหันมาขอความเห็นใจจากคนรักที่ยืนจ้องลูกชายของผมตาเขม็ง

“ม่ายด้ายย เนี้ยพี่นึกแล้วว่าต้องออกมาแบบนี้ พูดตรงๆนะอ้วนพี่เริ่มไม่ถูกชะตากับลูกชายเราแล้วเนี้ย เจอกันแค่ไม่กี่วันมาแย่งความสนใจเมียพี่ไปหมดเลย” พี่คิมพูดไปบ่นไปแถมยังยืนกรอกตามองบนไปมาก่อนจะทิ้งน้ำหนักตัวลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น เวลาที่เมียสนใจคนอื่นมากกว่าตัวเองเป็นแบบนี้ทุ๊กที

ลำบากพี่พัตเตอร์ต้องตามง้ออีกตลอด อายุ30กว่าแล้วนะครับยังจะทำตัวเป็นเด็กๆอีก ผมถอนหายใจทิ้งก่อนจะขอให้พี่คิมอยู่กับสองแสบต่ออีกวัน

*****

***

*

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.