บทที่ 1 บ้าน
แสงตะวันยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า เด็กน้อยนัยน์ตาสีแดงหดุจทับทิมกวาดมองรอบๆอย่างคิดวิเคราะห์ รอบๆกายเต็มไปด้วยวงเวทหลากหลายที่กำลังแข่งกันทอสีสัน บ้างสีแดง บ้างสีเขียว บ้างสีฟ้า
หมู่มวลปักษาร้องรับเสียงเจื้อยแจ้ว ราวกับว่ามันกำลังปลุกผู้คนที่กำลังตกอยู่ในห้วงนิทรา สายลมพัดผมสีดำของเด็กน้อยให้ปลิวไสว สีหน้าท่าทางที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นทำให้ชายสูงวัยที่ยืนอยู่ตรงหน้าอดยิ้มอย่างภูมิใจไม่ได้
ชายชราท่าทางใจดี เขากำลังมองลูกศิษย์ของตนเองอย่างชื่นชมกับความอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยาก
“ทำได้ไม่เลวเลยนี่นาไบรท์ แบบนี้การสอบเข้าโรงเรียนเวทย์มนต์ก็คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนักหนา”
ไบรท์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เด็กหนุ่มตวัดมือเพียงแค่ครั้งเดียว วงเวทหลากหลายสีสันก็หายไปกับตา “โรงเรียนเวทมนต์หรอ ของแบบนั้นไม่เห็นจำเป็นกับผมเลยนะปู่ ผมเรียนกับปู่ ผมว่าฝีมือของผมก็ก้าวหน้ามากกว่าที่จะไปเรียนโรงเรียนซะอีก”
ชายชราส่ายหัวปฏิเสธกับความคิดของเด็กน้อย “ชีวิตไม่ได้มีแต่เวทมนต์หรอกนะ เวทมนตร์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น ต่อให้เจ้าจะมีวิชาเวทมนตร์ที่หลากหลาย แต่หากเจ้าไม่มีวิชาด้านอื่นมาสนับสนุนพลังของเจ้ามันก็ไร้ความหมาย”
คำพูดของชายชราทำให้ไบรท์หยุดคิดอยู่เพียงคู่นึง เขาพยายามตีความสิ่งที่คุณปู่ของเขากล่าว แต่ต่อให้จะคิดสักแค่ไหนเด็กน้อยก็ยังไม่เข้าใจความหมายสิ่งที่คุณปู่ของเขาต้องการที่จะกล่าว
“โลกนี้ที่พลังคือทุกอย่าง ต่อให้ผมฝึกอะไรนอกจากเวทมนต์ก็คงไม่มีความหมายหรอก ไม่สิต่อให้ผมพูดยังไงปู่ก็คงไม่ฟังอยู่ดีเพราะผมเป็นแค่นักเวทย์ฝึกหัด ส่วนปู่อยู่ในระดับมหาจอมเวทย์ ระดับของผมกับปู่มันต่างกันเกินไป”
คำตัดพ้อของเด็กชายทำให้ชายชราอดรู้สึกสงสารไม่ได้ ไม่ใช่ว่าหลานของเขาไม่เก่ง แต่เขาไม่เข้าใจสิ่งที่ชายชราต้องการจะสื่อ ‘ขอให้เจ้าจงอย่าเป็นแบบเจ้านั่นก็แล้วกัน หากเจ้าต้องเดินเส้นทางเดียวกับมัน ข้าก็คงเสียใจที่ได้ถ่ายทอดวิชาให้กับเจ้า หลานของข้า’
ชายชราละสายตาออกจากเด็กชายผมดำ ก่อนที่จะเอ่ย “ใกล้จะรุ่งสางเต็มทีแล้ว เจ้าจะกลับบ้านเลยหรือไม่หรือว่าจะอยู่ฝึกฝนที่นี่ก่อน”
ไบรท์คิดอยู่เพียงครู่ เด็กน้อยก็ตัดสินใจได้ “ผมว่าผมจะอยู่ที่นี่ต่อ ปู่กลับบ้านก่อนได้เลยแล้วก็ฝากปลุกน้องด้วยนะ”
ชายชรามองหลานชายของตนเอง พรางคิดในใจ หลานของเขาช่างเหมือนพ่อของตนเองเสียนี่กระไร ทั้งจุดแข็งที่สนใจและเก่งกาจในเรื่องเวทมนตร์ ส่วนจุดอ่อนนั้นก็ยิ่งคล้ายคลึงนั่นคือความสามารถทางด้านกายภาพ การที่หลานของเขาจะอยู่ฝึกที่นี่ต่อนั้น หลานของเขาไม่ได้อยู่ฝึกแต่เพียงเวทมนตร์อย่างเดียว ตลาดของเขากำลังตัดสินใจกดจุดอ่อนนั่นก็คือความสามารถทางด้านร่างกาย
เขายิ้มก่อนที่จะหันหลังกลับไปยังเส้นทางที่เคยเดินมา “ได้เลยเดี๋ยวข้าจะไปปลุกมายให้ ส่วนเจ้าถ้าอยากจะกลับบ้านตอนไหนก็กลับก็แล้วกัน ว่าแต่รีบกลับก็ดีเหมือนกันนะ เพราะปู่ได้ยินว่า วันนี้ย่าของเจ้าจะทำอาหารโปรดของเจ้าด้วย”
ไบรท์ยิ้มอย่างชอบใจ “งั้นหรอ ถ้ายังงั้นก็ต้องรีบออกกำลังกายแล้วรีบกลับสะแล้ว"
ณปราสาทหลังงามที่ตั้งอยู่ในใจกลางป่าลึก หญิงชราท่าทางใจดีกำลังดูเด็กสาวผมสีทองนัยน์ตาสดใสราวกับน้ำทะเล ที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงอย่างเป็นสุข
ในขณะที่หญิงชรากำลังมองท่าทางของหลานตัวน้อยจู่ ๆ ประตูก็ถูกเปิดออกก่อนที่ชายชราจะเดินเข้ามา “แอนนา อายยังไม่ตื่นอีกงั้นหรอ”
แอนนาเลิกคิ้ว “หลานของข้าไม่ใช่พวกบ้าที่ต้องตื่นไปฝึกตั้งแต่เช้าเหมือนพวกเจ้า นี่นา แล้วอีกอย่างนึง อายยังเพิ่งมีอายุแค่ 6 ขวบเองไม่ใช่หรือไง”
โยดายิ้มก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ตอนที่ไบรท์อายุได้ประมาณนี้เจ้านั่นก็ตื่นแต่เช้าแล้วไปฝึกเวทมนต์ ข้าก็นึกว่าเด็กทุกคนจะทำแบบนี้ซะอีก”
“จะบ้าหรือไง ไบรท์เป็นเด็กพิเศษที่เกิดมาพร้อมพลังเวทย์ที่มหาศาล จะไปเทียบกับเด็กคนนี้ได้ยังไง หลานสาวข้าเป็นเด็กปกติมีความสามารถอย่างอื่นมากกว่าที่พวกเราคิด ถึงแม้อายจะมีพลังเวทย์ไม่เทียบเท่ากับพี่ทั้งสองของเธอ แต่ว่าความสามารถพิเศษอย่างอื่นเด็กคนนี้ต้องมีอย่างแน่นอน”
โยดา ตัดสินใจนั่งลงข้างๆแอนนาชายชรานำมือไปรูปหัวหลานสาวของตนที่กำลังตกอยู่ในห้วงนิทรา “ข้าอยากให้ไบรท์เป็นแบบอายมากกว่า อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็ได้นอนหลับอย่างมีความสุข ไม่เหมือนกับเด็กคนนั้น”
โยดาใช้สายตาทอดยาวมองไปบนฟ้าที่แสนกว้างใหญ่ ชายชรานึกถึงวันแรกที่เขาได้เจอกับหลานของตนเอง หลานชายที่มาหาเขาด้วยสภาพเลือดท่วมกาย
‘ลูกของเจ้าเกิดมามันก็มีพลังคับคล้ายคับคลาเจ้าลูกศิษย์ของข้า แต่ว่าหากเป็นไปได้ก็อยากให้มันมีพลังเหมือนกับเด็กธรรมดา ได้ใช้ชีวิตเยี่ยงเด็กธรรมดา แต่ว่าต่อให้ข้าจะเว้าวอนต่อโชคชะตามันก็คงไร้ความหมาย’
แอนนาเตรียมตัวที่จะลุกขึ้นเพื่อไปทำอาหารเช้า ทว่าโยดากลับตัดสินใจห้ามไว้เสียก่อน “แอนนา ข้ามีเรื่องที่จะปรึกษากับเจ้า”
“มีอะไรที่จะปรึกษากับข้ายังงั้นหรือ”
“วันนี้เป็นวันที่เจ้าพวกนั้นจะมารับไบรท์เพื่อไปเข้าโรงเรียนเวทมนตร์บาบิโลเนียใช่ไหม”
แอนนาพยักหน้ารับ ก่อนที่จะส่งสายตาเป็นเชิงถาม “ใช่แล้ว มันเป็นความต้องการของไอ เด็กคนนั้นอยากให้น้องของเจ้าไปอยู่ด้วยกัน”
โยดาพยักหน้าเป็นเชิงรู้ ก่อนที่จะตัดสินใจกล่าว “ข้าอยากให้มายไปเรียนที่โรงเรียนเวทมนตร์ด้วย”
สิ้นคำกล่าวจิตสังหารของแอนนาก็พวยพุ่งออกมาจากร่าง บรรยากาศในห้องค่อยๆเย็นก่อนที่โยดาจะส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงห้าม “อย่าใช้พลังเวทย์น้ำแข็งสุ่มสี่สุ่มห้า เจ้าลืมไปแล้วหรือไงว่าอายไม่ชอบอากาศเย็น ถึงมันจะเป็นพลังเวทย์เล็กน้อยแต่สำหรับเด็กธรรมดามันก็เป็นพลังเวทย์ที่มหาศาลนะ”
“หมายความว่ายังไง แกหมายความว่ายังไงตาแก่ ทำไมจะถึงจะส่งหลานสาวของข้าไปอยู่อยู่กับไอ เด็กคนนั้นพร้อมที่จะเลี้ยงมายแล้วอย่างนั้นหรอ อย่าลืมนะว่าเด็กคนนั้นเพิ่งได้งานที่โรงเรียนเวทมนตร์บาบิโลเนีย แถมยังเป็นแค่ครูผู้ช่วยถึงเงินเดือนจะ 30,000 เหรียญทองต่อเดือนก็ตาม แต่ว่าการเลี้ยงเด็กมันไม่ได้ใช้แค่เงินเท่านั้น มันต้องใช้ทั้งเวลาการดูแลเอาใจใส่”
“เรื่องนั้นข้ารู้ดี ข้าได้ส่งจดหมายไปถามยายหนูนั่นแล้ว ยายหนูนั่นโอเคแล้วแถมเด็กพวกนั้นก็จะได้ไปอยู่กับเพื่อนของข้า”
“เจ้าหมายถึง ผู้อำนวยการโรงเรียนเวทย์มนต์ ผู้ได้รับขนานนามว่าจอมเวทย์อัจฉริยะแห่งยุค ที่มีฝีมือทัดเทียมเจ้า”
โยดาพยักหน้ารับ ก่อนที่แอนนาจะถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ถ้าเจ้าจะทำเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรที่จะคัดค้าน แต่ว่า”
สิ้นคำกล่าวของแอนนา โยดาก็ยิ้มอย่างชอบใจ ชายชราตัดสินใจบอกเรื่องที่ไม่คิดจะบอก “แล้วอีกอย่างหนึ่งวันนี้เด็กนั่นจะมาที่นี่”
3 ชั่วโมงต่อมา
แสงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า เด็กน้อยนัยน์ตาสีแดง ปาดเหงื่อที่ผุดพรายอยู่เต็มใบหน้าของตนเอง วันนี้เป็นวันที่เขาต้องออกจากหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ หมู่บ้านที่เขาอาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็กๆ ถึงแม้จะอยู่แต่ในหมู่บ้านแต่สำหรับเขามันก็ไม่ต่างกับการอยู่เพียงลำพัง
ตั้งแต่เขาจำความได้เขาก็อยู่กับปู่โยดาและหย้าแอนนา ชีวิตประจำวันของเขาคือการฝึกฝนเวทมนต์ชนิดต่างๆ พอรู้ตัวอีกทีเขาก็มีน้องสาว 1 คน หลังจากการฝึกฝนเวทย์มนต์ประจำวันเสร็จเด็กน้อยก็จะไปเล่นกับน้องสาวของตนเอง
เวลาที่ผ่านไปจนวันหนึ่งทำให้เขาต้องแปลกใจอีกครั้ง เมื่อไบรท์รู้ว่าเขานั้นมีพี่สาวอีกคนหนึ่ง พี่สาวเขาได้สอบเข้าเป็นคุณครูโรงเรียนเวทมนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรบาบิโลน
โรงเรียนเวทย์มนต์ที่ยิ่งใหญ่มันไม่ได้อยู่ในความสนใจของเด็กน้อยแม้เพียงนิด ทว่าพี่สาวและปู่ของเขาก็ต้องการให้เขาเข้าโรงเรียนนั้น สำหรับเขาโรงเรียนเวทมนตร์แบบนั้นมันไม่นับเป็นอะไร แต่เมื่อได้ทราบว่าตนเองจะต้องย้ายออกจากที่คุณเคยก็ทำให้เด็กน้อยรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
ต้นไม้นานาชนิด เสียงนกที่ร้องรับในยามเช้า สายลมที่พัดอย่างอ่อนโยนราวกับว่าจะปลอบประโลมจิตใจที่ห่อเหี่ยวของเด็กหนุ่ม
“ทำไมเราต้องไปเรียนที่โรงเรียนแบบนั้นด้วย ทั้งๆที่พลังของเราคนที่สามารถพัฒนาได้ดีที่สุดคือปู่แท้ ๆ ถ้าเราอยู่กับปู่เราก็แข็งแกร่งขึ้นได้เหมือนกัน” เขารำพึงรำพันกับตนเอง
ไบรท์เรียกเวทไฟออกมาแล้วค่อย ๆ แปรสภาพให้มันเป็นศรขนาดเล็ก ไบรท์มองศรที่อยู่ในมือ เขาค่อย ๆ อัดพลังเวทเข้าไป แล้วตัดสินใจเตรียมตัวขว้างมันไปให้ไกล แต่ว่าเด็กหนุ่มก็ต้อง หยุดชะงักเมื่อเขาได้ยินเสียงตบมือที่ไม่คุ้นเคย
“ทำได้ไม่เลวเลยนี่นา” เสียงที่ดังขึ้นทำให้เด็กหนุ่มต้องหันกลับไปมอง หญิงสาวที่งามสง่าอายุประมาณ 20 ยืนมองท่าทางของเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง
ท่าทางของหญิงสาวทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดใจไม่ได้ “เธอเป็นใครกัน ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้”
หญิงสาวยิ้มก่อนที่จะกล่าว “ฉันก็คือ…”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 335
แสดงความคิดเห็น