ตอนที่ 6 มนต์ของเย่หวูเฉิน
ตอนที่ 6 มนต์ของเย่หวูเฉิน
ทันทีที่ฉู่จิงเทียนหายลับเข้าป่า กลับปรากฎความเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตหนึ่ง มันมีสีขาวพุ่งตรงเข้าหาหนิงเสวี่ยในฉับพลัน หนิงเสวี่ยตกใจและรีบหลบเข้าด้านหลังเย่หวูเฉิน เย่หวูเฉินปราดมองด้วยหางตาแล้วใช้เท้าเตะกิ่งไม้แห้งเล็กๆพุ่งเข้าเสียบคอหอยของสัตว์ตัวนั้นราวกับศรธนู เจ้าสัตว์ที่กำลังวิ่งเข้ามาล้มคว่ำคะมำแล้วกลิ้งสองสามตลบก่อนจะแน่นิ่งอยู่บนพื้น
หนิงเสวี่ยยื่นศีรษะน้อยๆโผล่ออกมาจากข้างหลังของเย่หวูเฉิน มองที่สัตว์ร้ายอย่างสงสัยก่อนจะถาม “ท่านพี่ นี่คือตัวอะไร?”
เย่หวูเฉินจับมันยกขึ้นสำรวจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ดูแล้วเหมือนกระต่าย แต่ว่าตัวใหญ่กว่าที่ข้าเคยพบอยู่มาก”
โลกที่เขาอยู่ในตอนนี้ กระต่ายตัวนี้สมควรเป็นคนละพันธุ์กับที่เขาเคยรู้จัก
“หนิงเสวี่ย เจ้าหิวรึยัง?” เย่หวูเฉินถามด้วยรอยยิ้ม เขากับสาวน้อยยังไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องเลยในเช้านี้ จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เขาออกมาล่า หนิงเสวี่ยดูผอมบางและอ่อนแอ เพียงถูกสายลมแรงพัดคราหนึ่งก็เพียงพอจะทำให้นางล้มลง
เย่หนิงเสวี่ยส่ายศีรษะในคราแรก แต่สุดท้ายก็พยักศีรษะอย่างน่าสงสาร
เย่หวูเฉินยิ้ม “หันไปก่อนสิ”
เย่หนิงเสวี่ยหันไปอีกทางอย่างเหนียมอาย เย่หวูเฉินหากิ่งไม้สะอาดมาเสียบกระต่ายประหลาด จากนั้นเขายื่นนิ้วชี้มือขวาที่มีเพลิงสีแดงแปลกแปร่งลุกไหม้อยู่ พอเพลิงสัมผัสกับร่างกระต่าย ขนของมันก็ถูกเผาหายไป เย่หวูเฉินค่อยๆขยับนิ้ว เพลิงสีแดงแปรเปลี่ยนเป็นแดงเข้ม เผาย่างกระต่ายทั่วร่าง มีกลิ่นหอมโชยออกมาเตะจมูก หนิงเสวี่ยไม่อาจยับยั้งความหิว นางสูดกลิ่นหอมน่าอร่อยและกลืนน้ำลายลงคอ
เพียงสิบกว่าชั่วอึดใจ เนื้อกระต่ายย่างก็สุก เย่หวูเฉินดับไฟแล้วโบกมือในอากาศ ทันใดนั้น สายลมเย็นสีฟ้าก็พัดโชยลดอุณหภูมิความร้อนของเนื้อกระต่ายย่างลง หากฉู่จิงเทียนมาอยู่ตรงนี้เขาจะต้องตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นเรื่องยากยิ่งหากจะหาใครสักคนที่สามารถใช้ออกได้พร้อมกันถึงสองธาตุ ยิ่งไปกว่านั้น แทบไม่น่าเชื่อว่าเย่หวูเฉินกลับสามารถใช้ได้ทั้งธาตุน้ำ และธาตุไฟ เนื่องเพราะธาตุทั้งสองล้วนเป็นคู่ปฎิปักษ์ต่อกัน และนับเป็นเรื่องพื้นฐานที่รู้จักกันทั่วในทวีปเทียนเฉิน
เย่หวูเฉินยิ้มอย่างพึงพอใจ เขาฉีกขากระต่ายข้างหนึ่งแล้วยื่นให้หนิงเสวี่ย “หนิงเสวี่ย ลองชิมดูสิ”
หนิงเสวี่ยน้ำลายแทบหกรด ตลอดที่ผ่านมานางได้กินเพียงผลไม้ลูกเล็กๆ ไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาติของเนื้อใดๆ ดังนั้นเพียงแค่ได้ดมกลิ่น นางก็ไม่อาจห้ามน้ำลายให้สออยู่ในปาก นางรับมาไว้ในมือแล้วสูดกลิ่นหอม หากแต่ยังไม่ลงมือกัดกินในทันที นางยิ้มอย่างอ่อนหวานให้เย่หวูเฉิน “ขอบคุณท่านพี่”
มองดูนางค่อยๆกัดลงบนเนื้อย่างช้าๆ ราวกับว่านางไม่อยากกินให้อิ่มเร็วเกินไป เย่หวูเฉินเผยรอยยิ้มบนใบหน้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหนิงเสวี่ยคือสิ่งจรรโลงใจเพียงหนึ่งเดียวในโลกว่างเปล่าของเขา
รสชาติเอร็ดอร่อยมาพร้อมกับกลิ่นหอมอันยอดเยี่ยมในทุกๆคำที่กัด เย่หวูเฉินรู้สึกทึ่งเล็กน้อยที่เนื้อกระต่ายตัวนี้เลิศรสเหนือกว่าเนื้อกระต่ายทุกชนิดในความทรงจำ ในระหว่างนั้น มีเสียงย่ำเท้าหนักพร้อมกับเสียงลากบางอย่างเข้ามาใกล้
จู่ๆเสียงฝีเท้าก็หยุดลง หากในฉับพลันนั้นกลับเพิ่มความเร็วขึ้น ฉู่จิงเทียนกระซิบพึมพำ “ข้าได้กลิ่นเนื้อกระต่ายสายฟ้า? แปลกจริง... หรือว่า...?”
ฉู่จิงเทียนลากหมูป่าประหลาดมาด้วยตัวหนึ่ง ตัวมันใหญ่กว่าตัวเขาเสียอีก เขารีบตามกลิ่นมาจนกระทั่งสายตาตกลงบนมือของเย่หวูเฉิน เขารีบก้าวเข้ามาใกล้แล้วมองตากว้าง “นี่มัน...กระต่ายสายฟ้าจริงๆด้วย ข้าไม่เคยทำใจลืมกลิ่นของมันได้ลง”
“กระต่ายสายฟ้าแข็งแกร่งมากงั้นเหรอ?” เย่หวูเฉินยื่นเนื้อกระต่ายที่เหลือให้ฉู่จิงเทียน ฉู่จิงเทียนไม่เสียเวลาปั้นหน้าปฏิเสธ เขาโยนหมูป่าทิ้งแล้วรีบใช้สองมือรับเอามา จากนั้นสูดดมกลิ่นอย่างตะกละด้วยสีหน้าพึงพอใจ “กระต่ายสายฟ้าวิ่งได้รวดเร็วมาก แม้มันไร้ความสามารถด้านการจู่โจม แต่มันดูคล้ายสายฟ้าสีขาวขณะวิ่งและยากยิ่งที่จะจับตัว กระทั่งข้าตลอดสิบปียังจับได้เพียงแค่สามตัว แต่ถึงจะจับมันได้ยากเย็นแค่ไหน เนื้อของมันกลับเลิศรสโอชะไร้ที่เปรียบ เจ้ามีทักษะที่ยอดเยี่ยมโดยแท้ เย่หวูเฉิน!” ฉู่จิงเทียนยกนิ้วให้จากนั้นก็ลงมือเขมือบอย่างมูมมาม
เขาสนใจสักสิ่ง และไม่คิดสักนิดว่ากระต่ายตัวนี้หลังถูกจับมามันถูกใช้วิธีใดในการย่าง
“ข้าแค่บังเอิญจับได้” เย่หวูเฉินตอบกลับแล้วเอ่ยถามเรียบเรื่อย “แล้วกระต่ายตัวนี้จัดว่าอยู่ในระดับใด?”
“มันเป็นสัตว์อสูรระดับ 3 ในการนับลำดับชั้นของสัตว์อสูรมันถูกจัดอยู่ในกลุ่มสัตว์อสูรชั้นต่ำ พวกที่ระดับ 4 ถึง 7 ถึงจะนับเป็นสัตว์อสูรชั้นกลาง และพวกที่ระดับ 8 ถึง 10 จะนับเป็นสัตว์อสูรชั้นสูง พวกมันถูกแบ่งระดับแบบเดียวกับมนุษย์ แต่ละชั้นก็ทรงพลังต่างกัน” เขาพูดเสียงอู้อี้ขณะที่กัดกินเนื้อกระต่ายย่าง จากนั้นเขาขยับเตะหมูป่าตัวใหญ่ที่อยู่บนพื้น “เจ้าตัวนี้เป็นสัตว์อสูรระดับ 5 มีพลังเทียบเท่าผู้ฝึกยุทธระดับ 5 จะโชคร้ายมากหากผู้ที่พบมันเข้าเป็นคนธรรมดา”
เย่หวูเฉินพยักหน้าและไม่ถามสิ่งใดต่อ
“เออนี่ เย่หวูเฉิน” ฉู่จิงเทียนเช็ดปาก
“เจ้าฝึกทักษะอะไร? เหตุใดข้าจึงไม่อาจสัมผัสกลิ่นอายใดๆจากเจ้าได้เลย ข้าเดาว่าคงเป็นเพราะทักษะที่เจ้าฝึกอยู่เป็นแน่”
“ข้าฝึกอะไรงั้นเหรอ?” เย่หวูเฉินพึมพำ เหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายศีรษะ “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ฉู่จิงเทียนจ้องมองอย่างโง่งม ก่อนจะยิ้มและกล่าว “ข้าเกือบลืมไปเลยว่าเจ้ายังไม่อาจจดจำสิ่งใด”
เย่หวูเฉินสูดหายใจเข้าลึกอย่างเงียบงันและกล่าว “ในเมื่อตอนนี้ข้ามีชื่อใหม่แล้ว ดังนั้นทักษะของข้าก็ควรมีชื่อใหม่บ้าง ข้าจะเรียกมันว่ามนต์ของเย่หวูเฉิน จนกว่าจะรู้ชื่อที่แท้จริงของมัน”
พลังลึกลับนี้ สมควรไม่เคยปรากฎอยู่บนโลกที่เขามาอาศัยอยู่ในตอนนี้ ดังนั้นย่อมไม่มีมนต์ของเย่หวูเฉินที่ปรากฎซ้ำกับใคร
“มนต์ของเย่หวูเฉิน? เอาเถอะ เอาเถอะ...” ฉู่จิงเทียนตอบไปส่งๆ เขาไม่รู้ว่านั่นเป็นชื่อที่ดีหรือไม่ แต่เนื้อกระต่ายที่ถือในมือตอนนี้แทบจะหมดเกลี้ยงแล้ว ราวกับลมแรงพัดกรรโชกเป่าหมอกเมฆแตกกระเจิงหายวับไป เขาโยนกระดูกทิ้งและเลียริมฝีปากเหมือนกับยังไม่พอ ก่อนจะรู้ตัวว่าลืมเหลือส่วนของเย่หวูเฉินไว้ให้ ขณะที่กำลังใช้ใบไม้เช็ดทำความสะอาดมือ ใบหน้าของเขาจึงแข็งค้างในทันใด ก่อนจะทำได้แค่หัวเราะและเกาศีรษะอย่างอับอาย
หนิงเสวี่ยเองก็ทานจนอิ่มในที่สุด นางดึงเสื้อของเย่หวูเฉินน้อยๆก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ท่านพี่ ข้าอิ่มแล้ว”
“อืม” เย่หวูเฉินตอบแล้วย่อเข่าลงก่อนจะใช้นิ้วเช็ดปากให้นาง จากนั้นเช็ดมือให้ด้วยวิธีเดียวกัน เขาจับมือเล็กๆไว้แล้วมองตรงไปเบื้องหน้า “เราเข้าไปในป่าลึกกันเถอะ”
“ตกลง” ฉู่จิงเทียนสะพายตะกร้าใส่หลังอีกครั้งแล้วเดินตามหลังพวกเขาไป เขาลากหมูป่าตัวเขื่องตามไปด้วยมือข้างเดียว ทว่าเขาดูแทบไม่ลำบากอะไรกับการลากหมูป่า กลับดูคล้ายกำลังลากตั๊กแตนเสียมากกว่า หากกล่าวถึงเฉพาะเรื่องพละกำลังดิบเถื่อน แม้แต่ 10 เย่หวูเฉินก็ไม่อาจเทียบได้กับ 1 ฉู่จิงเทียน
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 300
แสดงความคิดเห็น