สะใภ้กระดังงา ตอน 3 อุบัติเหตุ
หลังจากวันนั้น สะบันงาก็อยู่ช่วยงานที่บริษัทตามที่รับปากไว้อย่างแข็งขัน การทำงานหนักทำให้เธอไม่มีเวลาคิดถึงคมสันต์มากนัก
ทุกวันเธอต้องตื่นแต่เช้า หุงหาอาหารให้กับพ่อสามีแล้วค่อยออกไปทำงานที่สำนักงาน พอเสร็จจากงานในตอนเย็นเธอก็กลับบ้านมาทำอาหาร และรอพ่อสามีกลับจากไร่มารับประทานอาหารเย็นร่วมกัน ตบท้ายด้วยการผ่อนคลายความเครียดที่สะสมมาทั้งวันด้วยการดูรายการต่างๆ จากโทรทัศน์ ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน เป็นอย่างนี้ทุกวันจนเธอเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นลูกสาวนายสุริยันไปจริงๆ เสียแล้ว
“น้ำชาค่ะคุณพ่อ”
สะบันงาวางชุดชาลงบนโต๊ะเล็กที่วางคั่นระหว่างเก้าอี้ของสุริยันกับเก้าอี้ที่ว่างเปล่าของจันทรา ก่อนจะทำท่าหันกลับเข้าไปในบ้านเพื่อเตรียมอาหาร
“นั่งด้วยกันสิ”
เสียงนั้นเรียกเธอให้หันไปมอง เมื่อเห็นพ่อสามีเหม่อมองอาณาจักรของตัวเองอย่างเหงาๆ ก็ตัดสินใจคุกเข่าลงข้างเก้าอี้ของแม่สามี
“นั่งข้างบนสิ แบบนั้นเมื่อยตาย”
“แต่…”
“จันทราตายไปแล้ว ส่วนเธอก็เป็นลูกสะใภ้ พ่อว่าแม่เขาคงไม่ว่าอะไรหรอก นอกเสียจากเธอไม่คิดว่าเป็นลูกสะใภ้เราแล้ว”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ” เธอลุกขึ้นแล้วทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ ก่อนจะหยิบกาน้ำชารินน้ำหอมกรุ่นใส่ถ้วยให้พ่อสามี “หนูคิดเสมอค่ะว่าเป็นสะใภ้บ้านนี้ และจะดูแลคุณพ่อให้อยู่สุขสบายแทนคุณสันต์กับคุณแม่”
สุริยันหันมายิ้ม “ขอบใจนะ”
หลังจากวันนั้น สะบันงาก็ได้นั่งเก้าอี้ตัวนั้นแทนจันทรา เธอใช้เวลาช่วงสั้นๆ พูดคุยกับพ่อสามีช่วยให้ท่านคลายความคิดถึงภรรยา ก่อนจะไปเข้าครัวทำอาหาร ท่านมีเรื่องเล่าให้ฟังมากมายเกี่ยวกับฟาร์มแห่งนี้ ยิ่งเล่าเธอก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมท่านมากขึ้น ความสมบุกสมบันของท่านทำให้เธอรู้เลยว่า ความแข็งแกร่งบึกบึนอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้มีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร
แต่แล้วก็กลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจนได้ หลังจากที่เธอได้นั่งเก้าอี้แม่สามีได้เพียงหนึ่งสัปดาห์ จู่ๆ คนงานในฟาร์มก็กระหืดกระหอบมาที่บ้าน และบอกว่าพ่อสามีตกม้า
สะบันงาหัวใจหล่นวูบไปที่ตาตุ่ม ยังดีที่เมื่อตามไปที่โรงพยาบาลแล้วพบว่า พ่อสามีบาดเจ็บเล็กน้อย และมีเพียงแค่ข้อมือซ้ายเท่านั้นที่เคล็ด หมอเข้าเฝือกอ่อนให้และกำชับว่าห้ามใช้แขนซ้ายสักระยะ
“หนูว่าคุณพ่อต้องพักอยู่บ้านสักอาทิตย์แล้วล่ะค่ะ หมอห้ามใช้แขนซ้ายมาก ไม่งั้นจะอักเสบแล้วไม่หายนะคะ” เธอบอกขณะพยุงพ่อสามีนั่งลงบนเก้าอี้ตัวโปรดที่ระเบียงหน้าบ้าน หากท่านกลับอิดออดดื้อดึง แต่ในที่สุดก็ต้องยอมจำนนด้วยเหตุผล เพราะขืนแขนเดี้ยงไปคงทำอะไรได้ลำบากกว่าเดิม
“จ้างพยาบาลไว้ดูแลสักคนดีไหมคะ”
“โอ๊ย...ไม่ต้องหรอก” พ่อสามีโบกมือ “พ่อไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่มย่ามในบ้าน อีกอย่างพ่อก็ไม่ใช่คนพิการอะไร แขนอีกข้างก็ยังเหลือทำอะไรได้ตั้งเยอะ”
ไม่พูดเปล่า สุริยันยังยกแขนข้างที่ไม่เจ็บขึ้นมาเบ่งกล้ามให้เธอดู
สะบันงาเมื่อเห็นมันกล้ามแข็งแกร่งนั้นแล้วก็รู้สึกใจเต้นผิดจังหวะอย่างประหลาด ก่อนจะเอ่ยอ้อมแอ้มเพื่อกลบเกลื่อนอาการเหล่านั้น
“แต่หนูเป็นห่วงคุณพ่อนี่คะ”
สุริยันชะงัก มองลูกสะใภ้ด้วยสายตาอ่อนโยนลง “ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อหรอก พ่อดูแลตัวเองได้”
“แต่...” เธอชะงักมองพ่อสามีอย่างไม่แน่ใจ
“เถอะน่า ถ้าไม่ไหวพ่อจะบอก”
สะบันงาถอนใจเฮือกกับความดื้อดึงของท่าน และเกิดคิดถึงคมสันต์ขึ้นมา เพราะหากจะบอกว่าสองพ่อลูกคู่นี้มีอะไรเหมือนกันนอกจากหน้าตาแล้วล่ะก็ คงจะเป็นความดื้อดึงและเอาแต่ใจนี่ละมั้ง
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 801
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น