บทที่ 228: ทำข้อตกลงสงบศึก
เจ้าส้มเหลือบมองหลัวเซียวเซียว ก่อนจะส่งเสียงร้องเบา ๆ ออกมา “เหมียว~”
“ข้ารู้อยู่แล้ว” หลัวเซียวเซียวยกมือข้างหนึ่งขึ้นประคองแก้มตัวเองพลางหัวเราะเบา ๆ “ตอนที่เจ้าหายตัวไป จื่อเฟิงเป็นกังวลมาก แต่ข้ารู้ว่าเจ้าคงกำลังไปหาองค์หญิง”
“และข้าก็รู้ด้วยว่าองค์หญิงจะกลับมาในเร็ว ๆ นี้”
“ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดไว้…”
คราวนี้มู่ไป๋ไป่หลับลึกมาก พอเธอตื่นขึ้นมาอีกที ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดสนิทแล้ว
ขณะนั้นเธอนอนอยู่บนเตียงด้วยความมึนงงอยู่สักพักก่อนจะรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
“เซียวเซียว!” เด็กหญิงรีบเปิดผ้าห่มออกแล้วลุกออกจากเตียงอย่างตื่นเต้น “ท่านพี่รัชทายาทเป็นอย่างไรบ้าง พิษถูกถอนออกไปหมดแล้วหรือยัง?”
จังหวะที่มู่ไป๋ไป่ลุกขึ้นมา หลัวเซียวเซียวกำลังนำอาหารเข้ามาภายในกระโจมพอดี นางจึงอดหัวเราะกับท่าทีของผู้เป็นนายไม่ได้ “องค์หญิงหก พระองค์ควรสวมรองเท้าให้เรียบร้อยก่อนนะเพคะ”
“องค์รัชทายาทได้รับการรักษาเรียบร้อยแล้ว ท่านหมอเจียงเองก็เพิ่งได้กินข้าว กว่าที่ท่านหมอจะออกมา ท่านอยู่จนถึงรุ่งสางเลยเพคะ”
“ใช้เวลานานขนาดนั้นเชียวหรือ?” คนตัวเล็กถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ข้าคิดว่าข้าเผลอหลับนานเกินไปเสียแล้ว”
“หม่อมฉันเองก็ไม่ทราบเพคะ” หลัวเซียวเซียวส่ายหัว “หม่อมฉันไม่รู้เรื่องการรักษาคน แต่ตอนที่หม่อมฉันเดินผ่านกระโจมขององค์รัชทายาท หม่อมฉันบังเอิญได้ยินท่านหมอเจียงกับพี่อวี้เซิ่งคุยกันว่าพิษแมลงกู่ได้บุกไปถึงหัวใจขององค์รัชทายาทแล้ว”
พอมู่ไป๋ไป่คิดว่ามู่จวินฝานต้องทรมานขนาดไหนที่ถูกแมลงกู่โจมตีถึงขั้นกระอักเลือดออกมาเช่นนั้น เธอก็รู้สึกแย่มาก “ใช่… มันเป็นความผิดของข้าเอง ถ้าไม่ใช่เพราะข้า อาการของท่านพี่รัชทายาทคงไม่ร้ายแรงขนาดนี้”
“องค์หญิงหก! พระองค์อย่าได้เอ่ยเช่นนั้นเพคะ” หลัวเซียวเซียววางอาหารลงแล้วเข้าไปประคองอีกฝ่ายให้นั่งลงที่โต๊ะ “หากพระองค์ไม่สังเกตเห็นว่าองค์รัชทายาทถูกพิษได้เร็ว ตอนนี้เราอาจจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ยิ่งไปกว่านั้น คราวนี้เป่ยหลงของเราสามารถเอาชนะได้โดยไม่ต้องต่อสู้ก็เป็นเพราะพระองค์ด้วย!”
“รวมถึงเมื่อ 1 ชั่วยามที่แล้ว แม่ทัพของหนานซวนได้พาคนมาทำข้อตกลงสงบศึกกับเรา”
หลัวเซียวเซียวรายงานข่าวให้องค์หญิงตัวน้อยฟังอย่างมีความสุข
“แม่ทัพหลี่?” มู่ไป๋ไป่ยกน้ำแกงขึ้นมาซดเบา ๆ พลางขมวดคิ้ว “เขาลงมือได้รวดเร็วดี”
“องค์หญิง พระองค์ดื่มน้ำแกงเพิ่มอีกสักหน่อยเถิดเพคะ” หลัวเซียวเซียวไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเลย นางสนใจเพียงแค่เรื่องของคนตรงหน้าเท่านั้น “ช่วงที่พระองค์อยู่ในค่ายทหารหนานซวน พระองค์คงไม่คุ้นเคยกับอาหารของพวกเขาใช่หรือไม่?”
“หม่อมฉันได้ยินมาว่าอาหารที่หนานซวนแย่มาก”
“ไม่ค่อยเท่าไหร่…” มู่ไป๋ไป่ดื่มน้ำแกงไก่หมดถ้วยในคราวเดียว ก่อนจะใช้แขนเสื้อซับมุมปากเบา ๆ แล้วรีบวิ่งออกไปจากกระโจม “ที่เหลือเอาไว้รอข้ากลับมาค่อยกินต่อ”
“หา องค์หญิง พระองค์จะไปไหนเพคะ?” หลัวเซียวเซียวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง พอนางได้สติก็รีบตามอีกคนออกจากกระโจมไปแล้วไม่เห็นใครเลย
ที่กระโจมหลวง ยามนี้แม่ทัพหลี่กำลังมองมู่จวินเซิ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
เขานำคนของเขามาเจรจาสันติภาพ โดยคิดว่าครั้งนี้เขาจะได้พบเซียวถังอี้เสียที แต่สิ่งที่เขาพบกลับเป็นเด็กวัยดรุณที่ยังไม่โตพอที่จะตัดสินใจเรื่องสำคัญด้วยซ้ำ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกขายหน้ามาก
“น้องชายผู้นี้” แม่ทัพหลี่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากออกมา “เราเป็นตัวแทนของหนานซวน เรามาที่นี่เพราะต้องการเจรจาสงบศึกกับเป่ยหลงอย่างจริงใจ”
“คนที่ควรเจรจากับเราควรเป็นแม่ทัพใหญ่ไม่ใช่หรือ แต่คนที่เป่ยหลงส่งมาเจรจากลับเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น เช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร?”
มู่จวินเซิ่งเมินเฉยต่อชายสูงวัยอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ วางหนังสือเจรจาสงบศึกในมือลงพร้อมกับพูดว่า “แม่ทัพใหญ่อย่างนั้นหรือ? แม่ทัพใหญ่ของเป่ยหลงเราเป็นแขกอยู่ที่หนานซวนของท่านไม่ใช่หรือ?”
“หากแม่ทัพหลี่ต้องการพบแม่ทัพใหญ่ ก็เชิญท่านกลับไปที่หนานซวนเพื่อพบเขาเถอะ”
แน่นอนว่าแม่ทัพใหญ่ที่เด็กหนุ่มกำลังพูดถึงคือแม่ทัพจ้าว
แม่ทัพหลี่ตกตะลึงกับคำพูดของอีกฝ่าย เขาทำได้เพียงตัดสินใจต่อไปโดยพลการว่า “หลังจากที่หนานซวนกับเป่ยหลงเจรจาเงื่อนไขเรียบร้อยแล้ว เราจะส่งตัวแม่ทัพจ้าวกลับมาอย่างแน่นอน”
“ตอนนี้ให้ข้าได้พบคนที่เป็นผู้รับผิดชอบก่อนเถอะ”
“น้องชาย การเจรจาสงบศึกระหว่างทั้ง 2 แคว้นนั้นเป็นเรื่องใหญ่ หากเจ้าเอาแต่ยื้อเวลาเช่นนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นเจ้าจะรับผิดชอบได้หรือไม่?”
“แม่ทัพหลี่ ท่านกังวลมากเกินไป” นายทหารคนหนึ่งที่นั่งอยู่อีกด้านอดไม่ได้ที่จะเปิดปาก “นี่คือรองแม่ทัพฉินของเรา เขาเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจเรื่องกองทัพในตอนนี้”
“รองแม่ทัพฉินสามารถเป็นตัวแทนของเป่ยหลงได้อย่างเต็มที่ หากแม่ทัพหลี่มีอะไรอยากจะพูดก็เชิญพูดได้เลย”
ชายชราที่ได้ยินอย่างนั้นก็ทำหน้าประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดว่ารองแม่ทัพที่คอยดูแลเป่ยหลงจะอายุน้อยถึงเพียงนี้ แล้วเขาก็มองสำรวจเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะรู้สึกว่าหน้าตาของเด็กคนนี้ดูคุ้นตามาก แต่เขาก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“รองแม่ทัพฉิน สงครามระหว่างเป่ยหลงกับหนานซวนได้ยุติลงแล้ว” ทันใดนั้นนายทหารของหนานซวนคนหนึ่งก็ยืนขึ้นพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มันคงไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ที่จะให้ฝ่าบาทของเรายังคงเป็นแขกของเป่ยหลงของพวกท่าน”
“นี่คือข้อเสนอของพวกเรา”
ต่อมา ทหารหนานซวนโบกมือส่งสัญญาณให้ทหารที่อยู่ด้านหลังเดินเข้ามาพร้อมกับถาด 2 ใบ
ก่อนหน้านี้หลังจากที่ฝั่งหนานซวนพ่ายแพ้ในการศึกครั้งล่าสุด พวกเขาก็ให้สัญญาว่าจะส่งบรรณาการให้เป่ยหลงทุกปี แต่พวกเขาก็ทนทำอยู่ได้ไม่นานก่อนที่จะหันมาต่อต้าน
มู่จวินเซิ่งเหลือบมองถาดในมือของทหารเพียงหางตา ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปาก เขาก็เห็นคนตัวเล็กเดินเข้ามาจากด้านนอก
“แม่ทัพหลี่ ในครั้งนี้หนานซวนของพวกท่านสร้างปัญหามากมายให้กับเรา ท่านอยากจะให้พวกเราให้อภัยด้วยการให้เงินเพียงเล็กน้อยพวกนี้หรือ?” มู่ไป๋ไป่เดินเอามือไพล่หลังเข้ามา แล้วยืนมองชายแก่ด้วยรอยยิ้มมุมปาก
“...”
มู่ไป๋ไป่พูดถูกจริง ๆ
คราวนี้ฮ่องเต้หนานซวนถูกจับตัวมาอย่างกะทันหัน พวกเขาไม่มีเวลาที่จะติดต่อเหล่าขุนนางในท้องพระโรงเพื่อหารือเกี่ยวกับการรับมือ พวกเขาตัดสินใจมาเจรจาสงบศึกโดยพลการ ซึ่งสิ่งของที่พวกเขาสามารถแลกเปลี่ยนได้ในตอนนี้เป็นเพียงของเล็ก ๆ น้อย ๆ จริงอย่างที่เด็กหญิงกล่าว
หากมู่จวินเซิ่งเปิดหนังสือเจรจาสงบศึกออกมาอ่าน เขาก็จะรู้ว่ารายละเอียดยังคงเหมือนเดิม มันไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ
ปัจจุบันพวกแม่ทัพหลี่อยู่ในค่ายทหารเป่ยหลง เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องกลั้นใจหันไปคุยกับเด็กหนุ่ม “รองแม่ทัพฉิน นี่คือสถานที่ที่เราหารือเรื่องสำคัญ มันคงไม่เหมาะสมที่จะปล่อยให้เด็กเข้ามาทำอะไรตามใจชอบ”
“แน่นอน…” มู่จวินเซิ่งพยักหน้าอย่างครุ่นคิด จากนั้นก็โบกมือให้คนที่อยู่ด้านข้าง “ท่านกุนซือมู่หรงช่วยสั่งให้คนเอาเก้าอี้มาให้ไป๋ไป่นั่งที”
“ไป๋ไป่กินข้าวหรือยัง?”
“เจ้าอยากให้คนเอาของกินมาเพิ่มหรือไม่?”
มู่ไป๋ไป่ยิ้มหวานให้ผู้เป็นพี่ชายทันที “ข้ากินแล้ว พี่รอง ท่านไม่ต้องห่วงข้าหรอก”
มู่จวินเซิ่งพยักหน้ารับเบา ๆ จากนั้นก็ไปยิ้มให้กับชายสูงวัย “เอาล่ะ แม่ทัพหลี่เชิญพูดต่อเถอะ”
“...”
พี่รอง?!
มู่ไป๋ไป่เรียกเขาว่าพี่รอง!
เด็กหนุ่มคนนี้ก็เป็นลูกชายของมู่เทียนฉงด้วยหรือ?
แม่ทัพหลี่ตกใจมาก เขาไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดก่อนหน้านี้เขาถึงรู้สึกคุ้นหน้ารองแม่ทัพฉินนัก
“แม่ทัพหลี่ น้องสาวของข้าพูดถูก” พอมู่จวินเซิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนั่งอึ้งอยู่กับที่ เขาก็เหยียดยิ้มแล้วพูดเยาะเย้ย “ปัญหาที่หนานซวนก่อขึ้นในครั้งนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยของเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้”
“ทั้งจวนตระกูลจินแห่งเมืองชิงหยาง 53 ชีวิตที่ต้องสูญเสียไป”
“เมืองหลวง ศาลาหมื่นอสูร มีสัตว์บริสุทธิ์นับไม่ถ้วนถูกทารุณกรรม”
“จวนแม่ทัพที่เมืองชายแดนอีกมากกว่าร้อยชีวิต”
“ชีวิตที่ต้องสูญสิ้นไปทั้งหมดนี้เป็นเพียงการทดลองที่ไร้ยางอายของหนานซวน”
สีหน้าของมู่จวินเซิ่งเย็นชายิ่งขึ้นในขณะที่เขาบอกเล่าบาปของหนานซวนต่อไป
ในเวลาเดียวกัน จินซือหยางซึ่งกำลังแอบฟังอยู่ที่ประตูยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเอาไว้แน่น เพราะเขากลัวว่าเสียงร้องไห้ของเขาจะดังเข้าไปขัดจังหวะการพูดคุยกันในกระโจม
“...” ทางด้านแม่ทัพหลี่รู้สึกขายหน้าไม่น้อยเช่นกัน เขาเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับเรื่องแมลงกู่ แต่เขาก็ไม่สามารถโต้แย้งฮ่องเต้หนานซวนได้อยู่ดี
“องค์ชายรอง พระองค์มีหลักฐานชัดเจนว่าหนานซวนเป็นคนกระทำตามที่พระองค์ตรัสหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 74
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น