บทที่ 198: เสด็จอาโกรธมาก

-A A +A

บทที่ 198: เสด็จอาโกรธมาก

ตั้งแต่เดินทางมาถึงค่ายทหาร เซียวถังอี้ก็ยุ่งมากจึงไม่ได้ตอบกลับมู่ไป๋ไป่

ทางด้านคนตัวเล็กก็ทนรอไม่ไหวจึงได้พาหลัวเซียวเซียวกับจื่อเฟิงออกเดินทางไปก่อน

ในตอนนั้นพวกเธอบังเอิญพบกับอวี้ฉีและจินซือหยางในระหว่างที่กำลังจะเดินออกจากค่ายทหาร เมื่อพวกเขารู้ว่าพวกมู่ไป๋ไป่กำลังจะออกไปตามหาโสมป่าใกล้ ๆ ทั้งคู่จึงได้เสนอตัวว่าจะเดินทางไปด้วย

“องค์หญิง พระองค์ช่างกล้าหาญยิ่งนัก” หลังจากที่ได้ใช้เวลาร่วมกันสักพัก จินซือหยางก็พบว่าองค์หญิงหกคนนี้ไม่เหมือนกับพวกองค์หญิงที่เขาเคยได้ยินมาเลย เขาจึงกล้าพูดคุยกับนางมากขึ้น

“พระองค์พาเพียงเด็ก 2 คนติดตามเข้าไปในป่า ถ้าพระองค์พบเจอกับสัตว์ป่าจะทำเช่นไร?”

“ป่าแห่งนี้ลึกมาก ป่าลึกเช่นนี้ย่อมมีหมีหรือไม่ก็เสืออาศัยอยู่”

“แม้แต่นายพรานที่มีประสบการณ์ก็ยังไม่กล้าเดินทางเข้าไปใกล้ นับประสาอะไรกับเด็ก 3 คน”

“ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกพระองค์จะทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?”

มู่ไป๋ไป่รู้สึกว่าเธออาจจะกลัวทุกอย่าง แต่สิ่งที่เธอไม่กลัวเลยก็คือการพบเจอสัตว์ป่า

ถ้าเธอพบกับสัตว์ป่าดุร้ายเข้าจริง ๆ เธออาจจะสามารถถามพวกมันได้ว่าเห็นโสมป่าบ้างหรือไม่

แม้ว่าความสามารถของเธอในการควบคุมสัตว์จะไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไปแล้ว แต่เธอก็ไม่อยากสร้างปัญหาเพิ่มอีก

 ดังนั้นเธอจึงเงียบฟังคำเตือนของจินซือหยาง และยิ้มจาง ๆ ให้อีกฝ่าย

หลัวเซียวเซียวกับจื่อเฟิงที่เห็นว่าองค์หญิงหกไม่ได้พูดอะไรมากมาย พวกเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรเช่นกัน

จากนั้นกลุ่มคน 5 คนก็ได้เดินเข้ามาถึงส่วนลึกของป่าใกล้เคียงในเวลาไม่นาน

จินซือหยางกลัวว่ามู่ไป๋ไป่จะเผลอไปเหยียบกับดักของนายพราน ดังนั้นเขาจึงอาสาเป็นคนเดินนำหน้าเพื่อสำรวจเส้นทางให้ทุกคน

ส่วนหลัวเซียวเซียวกับจื่อเฟิงก็คอยติดตามองค์หญิงของตนอยู่ด้านหลัง จึงมีเพียงอวี้ฉีเท่านั้นที่เดินเคียงข้างนาง

ขณะนั้นมู่ไป๋ไป่กวาดตามองไปรอบ ๆ ด้วยความคิดที่ว่าเธอจะพบสัตว์สักตัวหรือไม่ แต่จู่ ๆ เธอก็ได้ยินเสียงจากคนที่เดินอยู่ด้านข้างพูดขึ้นมา

“รัชทายาทถูกพิษหรือ?” 

เด็กหญิงชะงักไปชั่วครู่และมองอวี้ฉีด้วยสายตาประหลาดใจ “ท่านไปได้ยินจากใครมา?”

“ข้าไม่ได้ฟังใครพูดมาทั้งนั้น” พอชายหนุ่มเห็นท่าทางของเด็กน้อย เขาก็รู้คำตอบทันที เขาเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะเดินเอามือไพล่หลังนำหน้าไป “มันเป็นเพียงแค่การคาดเดา”

“อีกอย่าง เจ้ากับท่านอ๋องก็ปกปิดได้ไม่เนียนเท่าไหร่”

มู่ไป๋ไป่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก จากนั้นก็เหลือบมองจินซือหยางที่อยู่ข้างหน้าและกระซิบว่า “ท่านอย่าได้เอะอะไป”

อวี้ฉีเม้มปากแล้วตอบว่า “ข้าไม่ใช่คนช่างพูด”

“ดีแล้ว” คนตัวเล็กหรี่ตามองเขาอย่างสงสัย เธอมักจะรู้สึกว่าน้องชายฝาแฝดของอวี้เซิ่งคนนี้ไม่อาจวางใจได้

“อีกอย่าง ตอนที่อยู่ในค่ายทหารท่านก็ควรระวังให้มาก” มู่ไป๋ไป่คิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดว่า “โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ท่านต่อสู้กับคนของแคว้นหนานซวน”

“ข้าไม่รู้ว่าพิษนี้แพร่กระจายอย่างไร ข้าเพียงแค่บังเอิญพบมันเท่านั้น”

“ถ้าข้าไม่บังเอิญสังเกตเห็นว่าท่านพี่ผิดปกติ ข้าเกรงว่าตอนนี้ท่านพี่คงจะโจมตีคนอื่นจนไม่อาจแก้ไขได้แล้ว”

มู่ไป๋ไป่ตัวสั่นสะท้านเมื่อเธอคิดว่ามู่จวินฝานอาจจะกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดที่ไล่กัดทุกคนที่พบเจอ

อวี้ฉีพยักหน้าเป็นการบอกว่าเขาเข้าใจ

ในวันนี้พวกเขาทั้ง 5 คนเดินค้นหาอยู่ในป่าเป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วยาม แล้วก็ขุดโสมออกมาได้ 2-3 ต้น แต่โสมทั้งหมดที่ได้มานั้นไม่มีจิตวิญญาณ 

เมื่อทุกคนกลับไปถึงค่ายทหาร เซียวถังอี้ก็มารอพวกเขาอยู่ที่กระโจมแล้ว

คนทั้ง 5 ใช้เวลาเดินค้นหาอยู่ในป่าหลายชั่วยาม ในขณะที่เขากับมู่จวินเซิ่งจัดการธุระสำคัญภายในกองทัพเป็นเวลาหลายชั่วยามเช่นเดียวกัน

ในเวลานี้ เมื่อเด็กหนุ่มเห็นมู่ไป๋ไป่ที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีใบหน้าเปื้อนดินโคลน นั่นยิ่งทำให้คิ้วหนาขมวดเข้าหากันแน่น “ใครอนุญาตให้เจ้าออกจากค่ายทหาร! แล้วทำไมสภาพเจ้าถึงกลายเป็นเช่นนี้!”

“ข้าออกไปเอง” มู่ไป๋ไป่ยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดหน้าเช็ดตา แต่ยิ่งเธอเช็ดสิ่งสกปรกก็ยิ่งกระจายไปทั่วหน้ามากยิ่งขึ้น “ข้าคิดว่าโสมที่มีจิตวิญญาณไม่ได้หาได้แค่ในวังหลวงเท่านั้น”

“ถ้ามีโสมที่มีจิตวิญญาณอยู่ในป่าแห่งนี้ล่ะ?”

“ข้าก็เลยตัดสินใจพาคนไปตามหา”

“ไร้สาระ!” เซียวถังอี้ตบโต๊ะเสียงดัง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ที่ไหน? แล้วยังกล้าเดินออกไปข้างนอกโดยที่ไม่พาองครักษ์ติดตามไปด้วยอีก”

“ถ้าเจ้าเจอคนของแคว้นหนานซวนจะทำเช่นไร”

“เจ้าจะร้องไห้ให้พวกมันรำคาญจนตายหรืออย่างไร!?”

มู่ไป๋ไป่พยักหน้าอย่างรู้สึกผิด ในขณะที่พูดเสียงอ่อยว่า “อวี้ฉีกับจินซือหยางก็ไปกับเราไม่ใช่หรือ… แล้วป่านผืนนั้นก็อยู่ใกล้กับค่ายทหาร ถึงแม้ว่าคนของแคว้นหนานซวนจะกล้าหาญเพียงใด…”

คำพูดถัดมาเบาลงเรื่อย ๆ จนสุดท้ายมันก็เลือนหายไปพร้อมกับแววตาคมดุของเซียวถังอี้

“ข้าขอโทษ… ครั้งต่อไปข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว” เด็กน้อยดึงชายเสื้อของอีกฝ่ายพร้อมกับพูดขอโทษเบา ๆ

“เจ้ายังคิดจะมีครั้งต่อไปอีกหรือ!?” เด็กหนุ่มอยากจะจับขาเจ้าตัวเล็กแล้วฟาดกับพื้นให้มันรู้แล้วรู้รอด เจ้าเด็กคนนี้ไม่รู้จักคำว่ากลัวบ้างเลยหรืออย่างไร?

นางเพิ่งถูกคนของแคว้นหนานซวนลักพาตัวไปได้ไม่กี่วัน ดูเหมือนว่านางจะลืมไปหมดแล้วถึงได้กล้าหาญถึงเพียงนี้!

“ไม่ จะไม่มีครั้งต่อไปแน่นอน!” มู่ไป๋ไป่รีบโบกมือไว ๆ แล้วก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอรีบส่งถุงพอง ๆ ที่เธอถือไว้ให้เซียวถังอี้ “รับไปสิ นี่เป็นสิ่งที่ข้าเก็บมาได้ในวันนี้”

“ท่านพี่รัชทายาทอาจจะไม่ต้องการมัน แต่เสด็จอา ท่านสามารถใช้มันต้มดื่มเพื่อบำรุงกำลังได้”

“...” เด็กหนุ่มถึงกับพูดไม่ออก

โสมนี้ใช้กับมู่จวินฝานไม่ได้ผล นางก็เลยจะเอาให้เขาอย่างนั้นหรือ?

“อวี้ฉีบอกว่าโสมพวกนี้คุณภาพไม่เลวเลย…” มู่ไป๋ไป่รู้สึกเจ็บปวดในใจ เดิมทีเธอวางแผนเอาไว้ว่าหลังจากจัดการเรื่องแคว้นหนานซวนเสร็จแล้ว เธอจะนำโสมพวกนี้กลับไปที่เมืองหลวงและขายมันให้กับหอไป่เฉ่า

พอเซียวถังอี้เห็นสีหน้าเศร้าหมองของเจ้าเด็กน้อยซึ่งคล้ายกับคนที่กำลังเฉือนเนื้อของตนออกมาให้เขา เขาก็รู้สึกโมโหมากยิ่งขึ้นจนหัวเราะออกมา

เจ้าตัวเล็กคนนี้นี่!

ในหัวน้อย ๆ นั่นมีความคิดแปลก ๆ อะไรอีก?

“เสด็จอา!” มู่จวินเซิ่งเปิดม่านเข้ามา พอเห็นเด็กเนื้อตัวสกปรกยืนอยู่ในกระโจม เขาจึงส่งเสียงถามด้วยความประหลาดใจ “เด็กคนนี้มาจากไหนกันพ่ะย่ะค่ะ?”

มู่ไป๋ไป่เม้มปากแน่นแล้วหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางน่าสงสาร “พี่รอง ข้าเอง”

“ไป๋ไป่?” เด็กหนุ่มยิ่งตกใจมากกว่าเดิม “ทำไมเจ้าถึงมีสภาพเป็นเช่นนี้ ไม่สิ เจ้าออกไปทำอะไรมา ทำไมเนื้อตัวของเจ้าถึงได้สกปรกขนาดนี้?”

“นางจะทำอะไรได้อีกล่ะ” เซียวถังอี้พูดเย้ยหยันและเล่าเรื่องที่นางหนีออกจากค่ายทหารไปขุดโสมโดยไม่ได้รับอนุญาตให้พี่ชายของนางฟัง

“ไป๋ไป่… เจ้าประมาทเกินไป” มู่จวินเซิ่งขมวดคิ้วและเอ่ยปากสั่งสอนน้องสาว “มันเป็นเรื่องที่ดีที่เจ้ากังวลเรื่องสุขภาพของพี่ใหญ่ แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจ้าพบเจอกับอันตรายอีกคน?”

“ครั้งหน้าถ้าเจ้าจะออกไปก็ให้มาบอกพี่รอง แล้วพี่รองจะไปกับเจ้าเอง”

มู่ไป๋ไป่เหลือบมองเซียวถังอี้ก่อนจะพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

“เอาล่ะ เจ้ารีบไปอาบน้ำผลัดเสื้อผ้าเถอะ พี่รองกับเสด็จอามีเรื่องต้องหารือกัน”  มู่จวินเซิ่งรูปหัวเล็ก ๆ ของน้องสาว จากนั้นจึงเอ่ยปากบอกให้นางออกไปจัดการล้างเนื้อล้างตัวไม่เรียบร้อย

มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นมองพี่ชายคนรอง แล้วถามเขาว่า “พี่รอง ก่อนหน้านี้ท่านพูดว่าอยากจะไปช่วยแม่ทัพจ้าวจากคนของแคว้นหนานซวนไม่ใช่หรือ?”

“ใช่...” เด็กหนุ่มตกตะลึงกับคำถามของน้องสาว จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าตนพูดเรื่องนั้นต่อหน้านางไปก่อนหน้านี้จริง ๆ

พอเขาเห็นว่าเด็กน้อยคนนี้เป็นกังวลมาก เขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจ

สมแล้วที่นางเป็นลูกหลานตระกูลมู่

“ถ้าอย่างนั้นข้าช่วยท่านได้!” มู่ไป๋ไป่ยกมือขึ้น “พี่รอง สิ่งที่ท่านอยากจะรู้มากที่สุดในเวลานี้น่าจะเป็นสถานการณ์ของแม่ทัพจ้าวที่อยู่ในแคว้นหนานซวน!”

“ข้ามีวิธีแก้ปัญหาสำหรับเรื่องนี้!”

“จริงหรือ?” มู่จวินเซิ่งทำท่าทางผิดปกติ ถ้าเป็นตามปกติเขาจะหัวเราะออกมาและไม่เก็บคำพูดของอีกฝ่ายมาคิดจริงจัง

แต่ในเวลานี้เขากลับอยากได้ยินแผนการที่น้องสาวของเขาคิด

“จริงสิ!” ดวงตาของคนตัวเล็กกวาดมองไปรอบ ๆ เพราะกลัวว่าพี่ชายจะไม่เชื่อสิ่งที่เธอพูด ดังนั้นเธอจึงรีบบอกให้เซียวถังอี้ยืนยันอีกครั้ง

“ถ้าท่านไม่เชื่อก็ลองถามเสด็จอาดูสิ! วิธีการของข้าจะช่วยให้ท่านสืบข่าวของแม่ทัพจ้าวได้แบบไม่มีใครรู้ตัว!”

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2025 keangun. All Rights Reserved.