ยาที่ทำจากโสมที่มีจิตวิญญาณ
มู่ไป๋ไป่ไม่เกรงใจอีกฝ่ายอีกต่อไป เธอเปลี่ยนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้และเทชาดื่มด้วยตัวเอง ก่อนจะค่อย ๆ พูดว่า “ข้าจะทำอะไรได้อีก ท่านเดาไม่ออกหรือ?”
เซียวถังอี้เป็นคนเจ้าเล่ห์มาก เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเหตุใดเธอถึงเขียนจดหมายหาเจียงเหยา
ฮึ! เสแสร้งชะมัด ฉันไม่เชื่อหรอก!
“เจ้าอยากจะถามเจียงเหยาถึงวิธีการกำจัดแมลงกู่อย่างนั้นหรือ?” เด็กหนุ่มไม่ได้ปฏิเสธขณะนั่งลงตรงข้ามเจ้าตัวเล็กพร้อมกับยิ้มมุมปากจาง ๆ “หากเป็นเรื่องนี้ เจ้าจะได้คำตอบโดยที่ไม่ต้องส่งจดหมายฉบับนี้ออกไป”
มู่ไป๋ไป่กลอกตาไปมาพลางว่า “ท่านได้รับคำตอบมาแล้วหรือ?”
ทันทีที่เด็กหญิงพูดจบเธอก็ถูกมืออีกฝ่ายกดหัว
“เรียกข้าว่า ‘เสด็จอา’ สิ ไม่เอาทั้งเล็กทั้งใหญ่” เซียวถังอี้ดึงมือที่กดหัวเล็ก ๆ กลับคืน ก่อนจะตอบว่า “ใช่ ข้าถามนางแล้ว”
“แมลงกู่นั้นเป็นอันตรายที่ใหญ่หลวง ดังนั้นเราจำเป็นต้องวางแผนรับมือล่วงหน้า”
“การที่องค์หญิงหกมาหาข้า นั่นหมายความว่าเจ้าเองก็มีความคิดเช่นเดียวกันกับข้า”
มู่ไป๋ไป่แค่นเสียงในลำคอก่อนจะสะบัดหน้าหนีเขา
แม้ว่าเธอจะไม่อยากยอมรับสักเท่าไหร่ แต่ต้องบอกตามตรงว่าเจ้าสัตว์ประหลาดนั้นฉลาดมาก
“คำตอบของเจียงเหยายังคงเหมือนเดิม นางไม่สามารถรักษาพิษแมลงกู่นี้ได้” เซียวถังอี้หุบยิ้มและทำสีหน้าจริงจัง “แต่ตอนนี้นางรู้วิธีการชะลอพิษในร่างกายและช่วยชีวิตคนที่ถูกพิษได้แล้ว”
มู่ไป๋ไป่เคยเห็นคนที่ถูกพิษแมลงกู่ด้วยตาของตัวเอง พวกเขาไม่เหลือลมหายใจแต่ยังสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้เหมือนผีดิบ
เจียงเหยาบอกว่าการชะลอพิษแมลงกู่เป็นเพียงมาตรการรับมือชั่วคราวเท่านั้น แต่มันอาจจะมีประโยชน์ในช่วงเวลาที่วิกฤตได้เช่นกัน
“แล้วเราควรทำอย่างไร?” เด็กหญิงเอ่ยถาม “ว่าที่อาจารย์ของข้าได้บอกวิธีการแก่ท่านหรือไม่?”
“นางบอกข้ามาแล้ว แต่วิธีการนั้นมีความเป็นไปได้น้อยมาก” เซียวถังอี้กล่าวพลางลดสายตาลง “ยาที่นางพูดถึงนั้นล้ำค่าเกินไป ข้าส่งคนออกไปตามหาก็ยังไม่พบมัน”
“มันล้ำค่าขนาดนั้นเลยหรือ?” มู่ไป๋ไป่ขมวดคิ้วด้วยความเหลือเชื่อ “ถ้าไม่มีขายข้างนอก… แล้วในวังหลวงของเรามีหรือไม่?”
“หรือว่ามันจะเป็นสมุนไพรในตํานาน?”
เด็กหนุ่มทำเพียงแค่เหลือบตามองคนตัวเล็กแต่ก็ไม่พูดอะไร
มู่ไป๋ไป่กะพริบตาปริบ ๆ และต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย แล้วเธอก็อุทานขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ช้าก่อน! อย่าบอกนะว่านั่นเป็นสมุนไพรในตำนานจริง ๆ!”
ว่าที่อาจารย์ของเธอจะกล่าวเกินจริงเกินไปหรือไม่?
“มันไม่ใช่สมุนไพรในตำนาน แต่มันเป็นยิ่งกว่าสมุนไพรในตำนาน” เซียวถังอี้ทอดถอนหายใจ “สมุนไพรที่เจียงเหยาพูดถึงนั้นเป็นโสมชนิดหนึ่ง”
“โสมที่ว่านี้เป็นโสมที่มีจิตวิญญาณ”
“...”
“บนโลกนี้จะมีต้นโสมที่มีจิตวิญญาณได้อย่างไรกัน?” เด็กหนุ่มประสานมือไว้หลังศีรษะพลางเอนกายมองออกไปนอกหน้าต่าง “ดังนั้น ไม่ว่าเจ้าจะส่งจดหมายฉบับนี้ไปหรือไม่มันก็ไม่มีความหมาย”
“มันไม่มีประโยชน์”
“ทำไมท่านไม่บอกข้าตั้งแต่ก่อนหน้านี้!” มู่ไป๋ไป่ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างตื่นเต้น จากนั้นก็โน้มตัวไปคว้ากระบอกไม้ไผ่จากมือคนตรงหน้า “รอข้าสักครู่ ข้าจะเขียนจดหมายอีกฉบับ แต่เราจะไม่ส่งไปที่เมืองชิงหยาง เราต้องส่งมันไปที่วัดฮู่กั๋ว!”
“ไม่สิ… ท่านแม่ของข้าน่าจะสวดมนต์เสร็จแล้วและมุ่งหน้ากลับวังหลวงเรียบร้อยแล้ว”
หลังจากพูดเช่นนั้นมู่ไป๋ไป่ก็รีบวิ่งกลับห้องของตัวเอง
เธอไม่รู้ว่าควรเรียกเรื่องนี้ว่าความบังเอิญหรือไม่
ถ้าสมุนไพรที่เจียงเหยาพูดถึงเป็นของอย่างอื่น เธออาจไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้
แต่ท่านแม่ของเธอดันมีต้นโสมที่มีจิตวิญญาณอยู่ในตำหนัก!
ครั้งก่อนท่านแม่ไม่เห็นด้วยที่เธอจะใช้โสม ทว่าตอนนี้มันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของชายแดน ท่านแม่คงจะไม่ปฏิเสธ
มู่ไป๋ไป่รีบกลับไปเขียนจดหมายฉบับใหม่อย่างรวดเร็วและขอให้เซียวถังอี้ส่งมันไปที่เมืองหลวงโดยเร็วที่สุด
“ในตำหนักของหว่านผินมีต้นโสมอยู่อย่างนั้นหรือ?” เด็กหนุ่มฉลาดมากจนสามารถเดาความคิดของเจ้าตัวเล็กได้ในเวลาไม่นาน “เจ้าต้องการขอต้นโสมจากหว่านผินมาหรือ?”
“ใช่!” มู่ไป๋ไป่รู้ว่าเธอไม่สามารถปิดบังอีกฝ่ายได้ ดังนั้นเธอจึงพยักหน้ายอมรับไปตามตรง “ครั้งหนึ่งข้าเคยเห็นต้นโสมที่ตำหนักของท่านแม่”
“โสมต้นนั้นพิเศษมาก! แถมมันยังเรืองแสงได้อีกด้วย!”
“มันจะต้องเป็นจิตวิญญาณโสมที่ท่านพูดถึงแน่ ๆ”
เธอไม่สามารถบอกเจ้าสัตว์ประหลาดได้ว่าเธอเคยคุยกับต้นโสมนั้นมาแล้ว ด้วยเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจพูดเพียงเท่านี้
“มันเรืองแสงได้ด้วยหรือ?” เซียวถังอี้พยักหน้าอย่างครุ่นคิด “ดูเหมือนว่าจะมีความเป็นไปได้จริง ๆ”
จากนั้นเขาก็เป่าปาก ไม่นานเหยี่ยวตัวใหญ่ก็โฉบลงมาจากท้องฟ้าและมาเกาะอยู่บนไหล่ของเขา
“นี่คือ…” มู่ไป๋ไป่รู้สึกหลงใหลในความงดงามของเหยี่ยวมากจนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองตาไม่กะพริบ “เหยี่ยวหรือ?”
เธอเคยอ่านเรื่องของเหยี่ยวไจร์ฟัลคอน*จากในอินเทอร์เน็ต แต่ดูเหมือนว่าเหยี่ยวของเซียวถังอี้นั้นดูจะตัวใหญ่กว่าที่เธอเคยเห็น
*เหยี่ยวไจร์ฟัลคอน (Gyrfalcon) คือเหยี่ยวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและเป็นหนึ่งในเหยี่ยวที่เร็วที่สุด
“ใช่” เด็กหนุ่มตอบขณะผูกจดหมายไว้ที่เท้าของเหยี่ยว “สถานการณ์นี้เร่งด่วนมาก นกพิราบสื่อสารธรรมดาไม่สามารถบินได้เร็วเท่าเหยี่ยว”
หลังจากพูดจบเขาก็ชะงักไปชั่วคราว ก่อนจะเคยถามว่า “องค์หญิงหกไม่ได้เข้าใจภาษาสัตว์หรอกหรือ? เจ้าอยากจะกำชับอะไรมันสัก 2-3 คำหรือไม่?”
มู่ไป๋ไป่ลอบถอนหายใจ ดูเหมือนว่าเจ้าสัตว์ประหลาดจะสังเกตเห็นความลับที่เธอปกปิดเอาไว้แล้ว
ทางด้านเหยี่ยวก็เอียงคอมองคนตัวเล็กอย่างสงสัย ประหนึ่งว่ามันมองเห็นอะไรบางอย่าง จากนั้นมันก็พับปีกข้างหนึ่งและโค้งคำนับให้กับอีกฝ่ายด้วยความเคารพ “คารวะท่านจ้าวอสูร”
เสียงของมันนั้นทุ้มลึกซึ่งค่อนข้างฟังคล้ายกับเซียวถังอี้ เสริมให้ท่าทางที่ดุร้ายของมันดูสง่างามมากยิ่งขึ้น
“สวัสดี เจ้าเหยี่ยวน้อย!” มู่ไป๋ไป่ยื่นมือเล็ก ๆ ออกไปแตะหัวของเหยี่ยว
“...”
“...”
“อ๋า เจ้าเหยี่ยวน้อยน่ารักมาก” เมื่อเด็กหญิงเห็นสีหน้าซับซ้อนของเซียวถังอี้ เธอก็แอบหัวเราะในใจ
เธอจงใจเรียกเหยี่ยวตัวนี้ว่า ‘เจ้าเหยี่ยวน้อย’ เพราะก่อนหน้านี้เจ้าสัตว์ประหลาดหักหน้าเธอ
ถ้าเธอไม่เอาคืนเขาบ้าง เขาก็อาจจะคิดว่าองค์หญิงหกคนนี้รังแกได้ง่าย ๆ!
“ท่านจ้าวอสูร ข้ามีชื่อแล้ว” เหยี่ยวทนรับชื่อ ‘เจ้าเหยี่ยวน้อย’ ไม่ไหวจริง ๆ เมื่อเห็นว่าเจ้านายของตนไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร มันจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องปกป้องตัวเอง “นายท่านของข้าตั้งชื่อข้าว่าชางหลาน”
เหยี่ยวเป็นตัวแทนของท้องฟ้าสีคราม และเซียวถังอี้ก็หวังว่ามันจะไม่ถูกผูกมัดเอาไว้ในที่แห่งเดียวเหมือนกับตัวเขา
เขาจึงตั้งชื่อมันว่า ‘ชางหลาน’ ที่แปลว่าฟ้า
“อ๋อ ที่แท้เจ้าชื่อเสี่ยวชางหลานนี่เอง” มู่ไป๋ไป่ขยิบตาซุกซน “นี่ เสี่ยวชางหลาน เจ้าจะต้องส่งจดหมายของข้าไปที่เมืองหลวงให้เร็วที่สุด!”
“หลังจากที่เจ้ากลับมาหลังจากทำภารกิจเสร็จสิ้น ข้าจะเอาของอร่อย ๆ ให้เจ้ากิน”
“...” ชางหลานที่ถูกเรียกแบบเอ็นดูขัดกับบุคลิกของมันก็ไม่รู้จะพูดกับอีกฝ่ายว่าอย่างไร
“...” ส่วนเซียวถังอี้ก็ยังคงนิ่งเงียบไม่เอ่ยปากอยู่เหมือนเดิม
“ท่านจ้าวอสูร ท่านไม่ต้องกังวล เนื่องจากนี่เป็นคำสั่งของท่าน ข้าจะทำสุดความสามารถอย่างแน่นอน” ชางหลานก้มคำนับให้กับมู่ไป๋ไป่อีกครั้งก่อนจะหันกลับไปบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ในชั่วพริบตา เหยี่ยวตัวใหญ่ก็หายไปจากสายตาของทั้งคู่
“เสี่ยวชางหลานของท่านเก่งมาก” มู่ไป๋ไป่ปรบมือ ก่อนจะเงยหน้าเอ่ยปากชมเหมือนผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก “ข้าไม่คาดคิดเลยว่าท่านจะเลี้ยงเสี่ยวชางหลาน”
“นี่เป็นของขวัญที่เสด็จพ่อของเจ้าให้ข้า” เซียวถังอี้ยกยิ้มมุมปาก
ตามปกติแล้ว มู่เทียนฉงคิดแต่จะหาสัตว์หายากและแปลกตามาเลี้ยงมากมาย และเหยี่ยวตัวนี้ก็ถือเป็นของขวัญวันเกิดปีที่ 15 ที่เขามอบให้กับเซียวถังอี้
“ท่านพ่อของข้ามอบมันให้ท่านหรือ?!” มู่ไป๋ไป่รู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย เพราะนี่เป็นของขวัญที่ท่านพ่อมอบให้อีกฝ่าย
ทำไมเธอถึงได้เจ้าแมวอ้วนจอมตะกละ ส่วนเจ้าสัตว์ประหลาดได้เหยี่ยวที่ดูหล่อเท่ตัวนั้น?!
ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังต้องเป็นคนเอ่ยปากขอเจ้าแมวอ้วนนี่มาดูแลเองด้วย!
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: เอ้อ เจ้าของเป็นยังไง สัตว์เลี้ยงก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ นะ 5555555
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 67
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น