บทที่ 190: ตระกูลจินผู้บริสุทธิ์
บนชั้น 2 ของโรงเตี๊ยม หลังจากที่มู่ไป๋ไป่ปิดประตูห้อง เธอก็กระโดดขึ้นไปบนเก้าอี้ยาวแล้วหยิบขนมออกมากินอย่างสบายอารมณ์
หลัวเซียวเซียวได้แต่มององค์หญิงหกอย่างสงสัย และอดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า “องค์หญิง พระองค์ไม่อยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนแม่ทัพหรือเพคะ?”
นางคิดว่าตามนิสัยของมู่ไป๋ไป่ นางจะต้องพยายามอย่างเต็มที่ที่จะแอบฟังแน่นอน
แต่พอเอาเข้าจริงนางกลับเดินขึ้นมาด้านบนอย่างว่าง่าย ซ้ำยังทำตัวดีมากไม่ไปแอบฟังอีกด้วย
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” มู่ไป๋ไป่หยิบขนมชิ้นหนึ่งส่งให้สหายตัวน้อย จากนั้นก็กวักมือเรียกให้อีกฝ่ายมานั่งกินด้วยกัน ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ปฏิเสธ
หลังจากที่หลัวเซียวเซียวหยิบขนมมากัดกิน 2-3 คำ นางก็อดพูดไม่ได้ว่า “ถ้าเช่นนั้นเรานั่งรออยู่ที่นี่ก็ดีแล้วเพคะ เซียวเซียวเห็นว่าองค์รัชทายาททำเหมือนกับว่าไม่ต้องการให้องค์หญิงรู้…”
“เจ้าอย่ากังวลไปเลย” คนตัวเล็กเผยรอยยิ้มมีเลศนัย “ข้ามีวิธีของข้าเอง เจ้านั่งลงแล้วกินขนมจิบชาอยู่เงียบ ๆ เถอะ เดี๋ยวอีกไม่นานเราก็จะได้รู้แล้ว”
พอหลัวเซียวเซียวเห็นท่าทางมั่นใจขององค์หญิงหก นางก็รู้ว่าตนนั้นกังวลไปโดยเปล่าประโยชน์เสียแล้ว
ที่ชั้นล่าง
เซียวถังอี้เหมาโรงเตี๊ยมทั้งหลังเอาไว้ตั้งแต่แรก ดังนั้นเขาจึงสั่งให้คนปิดประตูโรงเตี๊ยมกับให้เถ้าแก่ออกไปโดยตรง
เมื่อเถ้าแก่โรงเตี๊ยมรู้ว่าตัวตนของแขกกลุ่มนี้ไม่ได้ตื้นเขิน เขาก็ไม่กล้ายุ่งกับพวกเขา เขาจึงรีบถอยหลบออกไปและปล่อยพื้นที่ห้องโถงทั้งหมดให้แขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย
“จวินฝาน เจ้าพบอะไรในจวนแม่ทัพใช่หรือไม่?” เซียวถังอี้เหลือบมองแมวสีส้มตัวใหญ่ที่กำลังนอนอยู่ด้านข้าง ก่อนจะถามขึ้นมา
“พ่ะย่ะค่ะ” มู่จวินฝานพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม “อย่างที่เจี่ยอีบอกไปตอนแรก ภายในจวนแม่ทัพมีแต่ศพ เมื่อตรวจดูบาดแผลแล้ว คนพวกนั้นน่าจะถูกคนที่ติดพิษกัดตาย”
“พวกเขาทั้งหมดเลยหรือ?” จินซือหยางผ่อนลมหายใจและดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำในขณะที่เขาคิดถึงการตายของท่านพ่อ “คนของแคว้นหนานซวนพวกนั้นกำลังวางแผนทำอะไรอยู่กันแน่?”
“ตอนแรกคนพวกนั้นวางยาพิษในจวนตระกูลจินของข้า แล้วตอนนี้ยังเป็นจวนแม่ทัพอีก”
“เรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนตระกูลจินเป็นเพียงการทดสอบเท่านั้น” เซียวถังอี้แตะปลายนิ้วบนโต๊ะเป็นจังหวะแล้วค่อย ๆ วิเคราะห์ออกมาอย่างช้า ๆ
“เสด็จอา พระองค์หมายความว่าอย่างไร?” มู่จวินฝานยืดตัวนั่งตรงขณะมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางถ่อมตน “พระองค์มองออกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ถูกต้อง” เซียวถังอี้คิดอยู่พักหนึ่งแล้วพยักหน้า “เมื่อครู่ข้าถามเถ้าแก่เกี่ยวกับจวนแม่ทัพ เมื่อกลางดึกของ 5 วันก่อน มีเสียงกรีดร้องระงมดังมาจากภายในจวนแม่ทัพ”
เดิมทีองค์รัชทายาทก็วางแผนเอาไว้แล้วว่าจะสอบถามเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเกี่ยวกับสถานการณ์เบื้องต้น
เขาไม่คาดคิดว่าเสด็จอาจะลงมือก่อนแล้ว
เซียวถังอี้ยังบอกว่าในคืนนั้นตอนที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมีเสียงร้องโวยวายดังมาก ทำให้หลายคนในเมืองชายแดนรู้เรื่องนี้ ดังนั้นเรื่องดังกล่าวจึงไม่ได้เป็นความลับอะไร
“5 วันที่แล้ว!?” จินซือหยางผุดลุกขึ้นยืน “วันนั้นเป็นวันที่จัดงานฉลองวันเกิดท่านพ่อของข้าไม่ใช่หรือ? สถานที่ทั้ง 2 แห่งนี้อยู่ห่างไกลกัน แต่กลับเกิดเหตุการณ์เดียวกัน…”
“มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” อวี้ฉีกล่าวต่อ “นี่ท่านอ๋อง ทำไมท่านถึงบอกว่าจวนตระกูลจินเป็นเพียงการทดสอบเท่านั้น?”
“เนื่องจากทั้ง 2 สถานที่ถูกวางยาพิษในเวลาเดียวกัน มันไม่ควรเป็นเพียงแค่การทดสอบหรือไม่?”
“เพราะตระกูลจินไม่ได้มีความหมายอะไร” เซียวถังอี้เงยหน้าขึ้น ดวงตาดั่งเหยี่ยวของเขามีประกายแสงเย็นจาง ๆ “ข้าสั่งให้คนไปตรวจสอบนักดาบหิรัณย์ เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ และดูเหมือนว่าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับแคว้นหนานซวน ทั้ง 2 ฝ่ายไม่มีความเชื่อมโยงระหว่างกัน”
“แล้วทำไมคนพวกนั้นถึงเลือกตระกูลจินของพวกเราแทนที่จะเป็นที่อื่น!” จินซือหยางกัดฟันแน่น แม้แต่ตอนนี้ยามที่เขาหลับตาลง เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพพ่อของตัวเองที่ถูกฝังอยู่ในทะเลเพลิง
“เพราะจวนตระกูลจินกับจวนแม่ทัพมีขนาดใกล้เคียงกัน” เซียวถังอี้หยิบภาพวาดออกมาจากอกเสื้อ “จวนตระกูลจินนั้นคล้ายกับจวนแม่ทัพมากในแง่ของแผนผังสิ่งก่อสร้างรวมถึงจำนวนคนรับใช้”
เขาคิดถึงเรื่องนี้ในตอนที่เขามองดูมู่ไป๋ไป่กับหลัวเซียวเซียวเล่นกัน
พอเด็กหนุ่มนึกถึงเจ้าตัวเล็กคนนั้น เขาก็เม้มปากเข้าหากัน
“ดังนั้นท่านอ๋องจึงสรุปว่าพวกมันใช้จวนตระกูลจินเป็นแบบจำลองของจวนแม่ทัพ” อวี้ฉีขมวดคิ้วถามต่อว่า “แล้วท่านจะอธิบายได้อย่างไรว่าเหตุใดทั้ง 2 แห่งถึงเกิดเรื่องในเวลาเดียวกัน”
“ถ้าจวนตระกูลจินเป็นเป้าหมายในการทดสอบ เรื่องที่เกิดในจวนแม่ทัพควรจะช้ากว่าในจวนตระกูลจิน”
“นอกจากนี้อย่างเร็วที่สุดเราต้องใช้เวลา 3 วันในการเดินทางจากเมืองชิงหยางมายังเมืองชายแดน”
“ท่านพูดถูก” มู่จวินฝานคิดอยู่ครู่หนึ่งและเห็นด้วยกับคำพูดของอวี้ฉี “แต่ท่านมองข้ามจุดหนึ่งไป การเดินทางด้วยม้าเร็วต้องใช้เวลา 3 วัน แต่หากใช้นกพิราบสื่อสาร เราไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานขนาดนั้น”
ดวงตาของชายหนุ่มมืดลงทันที “สิ่งที่องค์รัชทายาทจะบอกก็คือคนของแคว้นหนานซวนจับตาดูจวนตระกูลจินเอาไว้ หลังจากยืนยันได้แล้วว่าคนเหล่านั้นถูกวางยาพิษ พวกมันก็ส่งข่าวให้กับคนที่รออยู่ที่เมืองชายแดน จากนั้นก็สั่งให้คนของที่นี่โจมตีจวนแม่ทัพ”
“น่าจะเป็นเช่นนั้น” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ
เซียวถังอี้ก็พยักหน้าชื่นชมอีกฝ่ายเช่นกัน “มันอาจจะเป็นเช่นนั้น แต่มีเพียงคนที่วางยาพิษเท่านั้นที่รู้เรื่องจริง”
“มันเป็นเพียงแค่…” จินซือหยางกำหมัดแน่นขณะเค้นเสียงลอดไรฟัน “แค่ฝึกซ้อมเท่านั้น แต่นั่นได้เอาชีวิตท่านพ่อของข้าไป!”
เขายึดถือพ่อของเขาเป็นต้นแบบมาทั้งชีวิต แต่สุดท้ายแล้วคนที่มีคุณธรรมเช่นนี้กลับต้องมาตายลงในเหตุการณ์ที่ไร้เหตุผล
อวี้ฉีเหลือบมองจินซือหยางและลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “เฮอะ! ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี นี่ เจ้ามากับข้า เราไปหาที่ดื่มกันเถอะ”
“ท่านอาจารย์?” เด็กหนุ่มเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความสงสัยว่าเหตุใดจู่ ๆ เขาถึงอยากดื่มขึ้นมา
“ข้าบอกให้เจ้ามากับข้าก็รีบมาสิ จะมัวชักช้าอยู่ไย” อวี้ฉีคว้าตัวจินซือหยางขึ้นมาก่อนจะลากออกไปโดยที่ไม่ได้คำนับให้กับองค์รัชทายาทหรือท่านอ๋องด้วยซ้ำ
“เฮ้อ เรื่องนี้คงจะโหดร้ายเกินไปสำหรับคุณชายจินจริง ๆ” มู่จวินฝานกล่าวพลางถอนหายใจเบา ๆ
เซียวถังอี้ที่ดื่มสุราจนหมดไหแล้วพูดขึ้นมาว่า “ทุกสิ่งบนโลกนี้ล้วนคาดเดาไม่ได้”
“เสด็จอา จริง ๆ แล้วกระหม่อมพบเรื่องแปลกประหลาดด้วยพ่ะย่ะค่ะ” จู่ ๆ มู่จวินฝานก็นึกถึงเรื่องสำคัญอีกอย่างได้ “นั่นก็คือศพพวกนั้นไม่มีสมาชิกในครอบครัวของแม่ทัพจ้าวอยู่เลย”
“ผู้เสียชีวิตล้วนแต่เป็นคนรับใช้ในจวนแม่ทัพ”
“ตอนนี้กระหม่อมได้สั่งให้คนล้อมจวนเอาไว้และรอให้จวินเซิ่งกลับมาก่อนจะวางแผนจัดการเรื่องนี้ต่อไป”
“เจ้าทำได้ดีมาก” เซียวถังอี้พยักหน้าและเอ่ยปากชื่นชม “แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำ เจ้าต้องให้ใครสักคนเดินทางออกนอกเมืองเพื่อไปค้นหาครอบครัวของแม่ทัพจ้าว”
“โดยเฉพาะบนภูเขาและป่าที่อยู่ใกล้เคียง”
“พวกเขาอาจจะถูกวางยาพิษจนเสียสติไปแล้ว ให้คนของเจ้าระวังตัวให้ดีด้วย”
สีหน้าของมู่จวินฝานดูหนักอึ้งขึ้นทันที “เสด็จอา พระองค์คิดว่าคนที่ถูกวางยาพิษในจวนแม่ทัพอาจจะเป็นคนในครอบครัวของแม่ทัพจ้าวเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” ดวงตาของเซียวถังอี้หรี่ลงเล็กน้อย ในขณะที่หน้ากากบดบังสีหน้าของเขา ทำให้ไม่สามารถมองเห็นความคิดของเจ้าตัวได้ “ข้าแค่คาดเดาเท่านั้น เจ้าลองส่งคนไปค้นหาดูก่อน ถ้าเราหาไม่เจอ อย่างน้อยเราก็ตัดปัจจัยไปได้เรื่องหนึ่ง”
มู่จวินฝานคิดอยู่พักหนึ่งแล้วรู้สึกว่าสิ่งที่เสด็จอาพูดนั้นมีเหตุผล เขาจึงสั่งให้องครักษ์เงาลงมือทันทีโดยไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้ฟังจนละเอียด
ทางด้านเจ้าส้มที่อยู่ด้านข้างเห็นว่างานดักฟังของมันใกล้เสร็จแล้ว มันก็เดินขึ้นไปชั้น 2 ช้า ๆ อย่างเกียจคร้าน
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 85
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น