บทที่ 184: ถอดหน้ากากออก
หลังจากที่มู่ไป๋ไป่และคนอื่น ๆ พักอยู่ในเมืองชิงหยางเป็นเวลา 7 วัน ในที่สุดพวกเขาก็ออกเดินทางสู่ชายแดน
ตอนที่พวกเขาเดินทางมาถึงเมืองชิงหยาง กลุ่มของพวกเขานั้นมีประมาณ 10 กว่าคน แต่ตอนที่ออกเดินทางต่อกลับมีสมาชิกเพิ่มมาอีกหลายคน
ครั้งนี้จู่ ๆ มู่ไป๋ไป่ก็ได้ย้ายจากนั่งม้าของพี่ชายตัวเองไปยังม้าของเซียวถังอี้อย่างน่าสงสัย โดยที่เขาให้เหตุผลว่าต้องการให้เธอช่วยคลายความเบื่อหน่ายของเขา
ทางด้านมู่จวินฝานเองก็เคารพเสด็จอามาก หลังจากได้ยินคำพูดนั้น เขาก็ได้หยิบยื่นน้องสาวของตนให้อีกฝ่ายโดยไม่ลังเล
เด็กน้อยผู้น่าสงสารจึงได้แต่มองหน้าเด็กหนุ่มทั้ง 2 สลับไปมาด้วยท่าทางสับสนปนเสียใจ
“จากเมืองชิงหยางมุ่งสู่ชายแดน ด้วยความเร็วของเรา เราจะไปถึงที่นั่นได้ภายใน 3 วัน” มู่จวินเซิ่งขี่ม้าไปด้านข้างพี่ชายคนโตแล้วเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้ “พี่ใหญ่ ข้าได้เขียนจดหมายถึงแม่ทัพจ้าวแล้ว เขาและกองทัพจะรอต้อนรับเราในอีก 3 วัน”
“ดีมาก” มู่จวินฝานพยักหน้าและมองถนนตรงหน้าด้วยสายตาหนักใจ
เดิมทีตลอดทางที่ผ่านมาเป็นไปอย่างราบรื่น แต่เมื่อพวกเขามาถึงเมืองชิงหยาง ก็มีเรื่องพิษกู่เกิดขึ้น
พอถึงวันที่พวกเขาจะต้องออกเดินทาง ฆาตกรที่ฆ่าเจ้าเจ็ดก็ยังจับไม่ได้
สัญชาตญาณของเขาบอกว่าการตายของเจ้าเจ็ดอาจจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนที่วางยาพิษในจวนตระกูลจิน
“เจ้าบอกแม่ทัพจ้าวเกี่ยวกับเรื่องแมลงกู่หรือไม่?” มู่จวินฝานคิดอยู่พักหนึ่งแล้วถามน้องชายของตนว่า “เขาได้พูดอะไรหรือไม่?”
เขารู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมู่จวินเซิ่งกับแม่ทัพจ้าวมาโดยตลอด
แต่เขาก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว
เขารู้ว่าน้องรองของเขาไม่ใช่คนโง่ และอีกฝ่ายก็รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรพูด
“ข้ารายงานเขาไปแล้ว” มู่จวินเซิ่งพยักหน้า ขณะนี้สีหน้าของเขาเคร่งขรึมมากกว่าปกติ “แม่ทัพจ้าวไม่ได้พูดอะไร เขาแค่บอกให้ข้ารีบกลับให้เร็วที่สุด”
เขาอยู่ข้างกายแม่ทัพจ้าวมานานหลายปี แน่นอนว่าเขารู้จักนิสัยชายผู้นั้นเป็นอย่างดี
อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรหลังจากได้ยินข่าวเรื่องพิษกู่ แล้วบอกให้เขารีบกลับโดยเร็วที่สุดซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าในเรื่องนี้มีบางอย่างผิดปกติจริง และมันเป็นปัญหาที่ร้ายแรงมาก
อาจพูดได้ว่าเคยมีกรณีการวางยาพิษในกองทัพเกิดขึ้นมาก่อนหรือไม่?
แต่ทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้เลย?
“เป็นเช่นนั้นหรือ?” มู่จวินฝานจมอยู่ในความคิดของตัวเอง จากนั้นไม่นานเขาก็ชะลอม้าลงไปอยู่ข้าง ๆ เซียวถังอี้ ก่อนจะเอ่ยปากว่า “เสด็จอา กระหม่อมได้ยินมาว่าพระองค์ได้ผูกมิตรกับหมอเทวดาอันดับ 1 ในใต้หล้า”
“พระองค์อาจสามารถขอให้หมอเทวดามุ่งหน้าไปที่ชายแดนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
มู่ไป๋ไป่ที่เผลอหลับไปแล้ว เมื่อได้ยินเสียงพี่ชายคนโตของตน เธอก็ลืมตาขึ้นทันที เธอมองพี่ใหญ่ด้วยสายตาน่าสงสารและพยายามกะพริบตารัว ๆ ให้เขา เพื่อที่เขาจะได้ช่วยเธอออกจากเงื้อมมือของเจ้าสัตว์ประหลาด
“เจ้าอยากให้เจียงเหยามาช่วยกำจัดพิษหรือ?” เซียวถังอี้เข้าใจแผนการของอีกฝ่ายได้ทันที
“พ่ะย่ะค่ะ” มู่จวินฝานพยักหน้าเบา ๆ “สถานการณ์ที่บริเวณชายแดนยังไม่ชัดเจน หากหมอเทวดาสามารถมาช่วยเราได้อีกแรง อย่างน้อยเราก็เสี่ยงน้อยลง”
“คุณชายเซียวได้คิดเรื่องนี้มานานแล้ว” อวี้เซิ่งพูดขึ้นมาบ้าง “หลังจากที่เขามาถึงเมืองชิงหยาง เขาก็ได้ส่งคนออกไปตามหาเจียงเหยาแล้ว”
“อีกไม่นานเราน่าจะพบตัวนาง”
“จริงหรือ?!” มู่จวินฝานรู้สึกประหลาดใจ “เสด็จอายังคงมองการณ์ไกลเช่นเคย”
มู่ไป๋ไป่เอานิ้วแหย่หูตัวเองคล้ายอยากฟังให้ชัดเจนขึ้น
หมอเทวดาเจียงเหยา?
มันฟังดูยอดเยี่ยมมาก
เจ้าสัตว์ประหลาดได้ไปตามหาหมอเทวดาในวันที่เขามาถึงเมืองชิงหยาง แน่นอนว่าเขาคงไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแมลงกู่ขึ้นในภายหลัง แล้วทำไมเขาถึงต้องออกตามหาหมอเทวดาด้วย?
เป็นเพราะเขาต้องการตามหายารักษาสัตว์ในเมืองหลวงหรือไม่?
มู่ไป๋ไป่เป็นคนฉลาด และเธอก็เข้าใจเหตุผลหลังจากคิดได้ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเธอก็ไม่ได้มองเจ้าสัตว์ประหลาดว่าน่ารำคาญอีกต่อไป
พอพูดถึงเด็กหนุ่มคนนี้ ถึงแม้ว่านิสัยจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย แต่โดยรวมแล้วเขาก็ยังเป็นคนดีคนหนึ่ง
ตอนที่อยู่ในเมืองหลวงเขาก็อยู่กับเธอทุกทีที่เธอไปใช่หรือไม่?
แล้วเขาก็ยังไปที่ศาลาหมื่นอสูรเพื่อช่วยเธอด้วย
“เจ้ามองข้าทำไม?” เซียวถังอี้ก้มหน้าลงก่อนจะเห็นว่ามู่ไป๋ไป่กำลังจ้องเขาด้วยดวงตากลมโต
คนตัวเล็กรู้สึกขัดเขินที่ถูกจับได้ แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว
ผู้ชายคนนี้เป็นอาของเธอ ทำไมเธอถึงจะมองเขามากกว่านี้ไม่ได้?
เธอจึงพูดอย่างมั่นใจออกไปว่า “ไม่มีอะไร ข้าแค่สงสัยว่าทำไมเสด็จอาถึงยังสวมหน้ากากอยู่”
ขณะเดียวกัน อวี้เซิ่งที่กำลังแอบฟังอยู่ด้านข้างถึงกับตั้งใจเงี่ยหูฟังมากขึ้น
นั่นเป็นเพราะเขาเองก็อยากรู้เรื่องนี้มากเช่นกัน
เซียวถังอี้เป็นคนที่มีชื่อเสียงโดดเด่นเนื่องจากหน้ากากเงินที่สวมอยู่บนใบหน้าของเขาตั้งแต่เข้ามาในยุทธภพ
ไม่มีใครเคยเห็นว่าหน้าตาของเขาที่อยู่ภายใต้หน้ากากนั้นเป็นอย่างไร
บางคนรู้สึกอิจฉาจึงคาดเดาไปว่าใบหน้าเขาต้องน่าเกลียดมากแน่ ๆ ถึงได้สวมหน้ากากปกปิดรูปร่างหน้าตาของตัวเองเอาไว้
นอกจากนี้ยังมีจอมยุทธ์สาวบางคนเข้ามาพัวพัน ดังนั้นพวกเขาจึงคาดเดาไปว่าที่เขาสวมหน้ากากก็เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็นเพราะใบหน้าที่หล่อเหลาจนเกินไปของตนเอง
บอกตามตรงว่าอวี้เซิ่งรู้สึกว่าการคาดเดาของทั้ง 2 ฝ่ายไม่มีอะไรน่าเชื่อถือ
เขารู้สึกว่าเซียวถังอี้พยายามซ่อนตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ เพราะถึงอย่างไรเขาก็มีศักดิ์เป็นถึงอ๋อง จะเป็นเช่นไรถ้ามีคนค้นพบว่าท่านอ๋องแห่งแคว้นเป่ยหลงผู้สง่างามผันตัวไปเป็นจอมยุทธ์?
“เจ้าอยากรู้หรือ?” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น
“ช่ายยย!!” มู่ไป๋ไป่พยักหน้าอย่างจริงจัง ในขณะที่ดวงตาของเธอมีประกายบางอย่างแล่นผ่าน “ถ้าเช่นนั้นเสด็จอา ท่านช่วยถอดหน้ากากให้ไป๋ไป่ได้เห็นเป็นบุญตาได้หรือไม่?”
เซียวถังอี้หรี่ตาเรียวลงก่อนจะเอ่ยปากว่า “ข้าเคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าทุกคนที่ได้เห็นใบหน้าของข้าได้ตายไปแล้ว”
ในอดีตมู่ไป๋ไป่คงจะหวาดกลัวที่เขาพูดเช่นนี้
แต่ตอนนี้เธอรู้ตัวตนของเจ้าสัตว์ประหลาดแล้วและเข้าใจว่าเขาไม่สามารถทำอันตรายต่อเธอได้ เธอจึงกล้ามากขึ้น “นี่ ข้ารู้ว่าเสด็จอากำลังโกหกข้า เสด็จอาถอดหน้ากากออกเถอะ ไม่เช่นนั้นจากนี้ไปข้าคงจะรู้จักเพียงหน้ากากของท่านเท่านั้น”
“เจ้าอยากให้ข้าถอดหน้ากากออกหรือ?” เซียวถังอี้รู้ว่าเจ้าตัวเล็กกำลังคิดอะไรอยู่ “เอาเถอะ ขอเพียงเจ้าเอาชนะข้าได้ ข้าก็จะยอม”
“ท่านพูดจริงหรือ?” ดวงตาของมู่ไป๋ไป่เป็นประกาย เธอไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนี้ “เสด็จอา ท่านจะต้องรักษาคำพูดตัวเองนะ”
“แน่นอน” เด็กหนุ่มพยักหน้านิ่ง ๆ “ขอเพียงเจ้าชนะข้าได้ ข้าจะถอดหน้ากากออก”
“ท่านมีกติกาที่ตายตัวหรือไม่?” เด็กน้อยถามขณะกลอกไปมา “ไป๋ไป่ยังเด็กและอยู่ในวัยกำลังโต ไป๋ไป่คงไม่สามารถแข่งขันกับเสด็จอาในด้านการขี่ม้าหรือยิงธนูได้อย่างแน่นอน”
เซียวถังอี้เม้มปากตัวเองเงียบ ๆ ด้วยความรู้สึกว่าเจ้าตัวเล็กนี่คงจะมีความคิดเจ้าเล่ห์อีกแล้ว “เราจะแข่งขันตามกติกาของเจ้า”
หลังจากบรรลุเป้าหมายตามต้องการแล้ว มู่ไป๋ไป่ก็โห่ร้องในใจ “ยอดไปเลย! เรามาแข่งจ้องตากันดีกว่า!”
“ใครกะพริบตาก่อนแพ้!”
เธอจำได้ว่าวันนั้นเจ้าสัตว์ประหลาดแข่งจ้องตาแพ้เธอที่โรงเตี๊ยม!
อวี้เซิ่งที่กำลังแอบฟังอยู่ด้านข้างถึงกับต้องยกนิ้วขึ้นแคะหูตัวเอง “องค์หญิงหกกำลังพูดว่าจะแข่งอะไรกันนะ?”
“แข่งจ้องตา!” มู่ไป๋ไป่กลัวว่าเซียวถังอี้จะไม่รู้กฎของเกมนี้ ดังนั้นเธอจึงอธิบายให้เขาฟังว่า “กติกามีอยู่ว่าท่านจ้องตาข้า ข้าจ้องตาท่าน ห้ามใครขยับ”
“ใครขยับก่อนหรือกะพริบตาก่อนคนนั้นเป็นผู้แพ้!”
“เป็นอย่างไร? ท่านคิดว่ามันง่ายมากใช่หรือไม่?”
“...” เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไม่ได้ตอบอะไร
“มันง่ายมาก” อวี้เซิ่งอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฮ่า ๆๆ! ถ้ามีใครเอาเรื่องนี้ไปพูดต่อและคนทั่วทั้งยุทธภพได้รู้ว่าคุณชายเซียวผู้หล่อเหลาและสง่างามได้แข่งจ้องตากับเด็กตัวเล็ก ๆ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะหัวเราะจนตายกันกี่คน”
เซียวถังอี้ไม่ได้หันไปมองนักฆ่าหนุ่มด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่ขยับปลายนิ้วของตัวเองเล็กน้อย จากนั้นก็มีบางอย่างไปแทงจุดฝังเข็มปิดกั้นเสียงของอวี้เซิ่ง ทำให้เขาหุบปากลงทันที
อวี้ฉีที่อยู่ด้านข้างพอเห็นดังนั้นก็แสดงท่าทางเยาะเย้ยใส่พี่ชายฝาแฝด “สมน้ำหน้า!”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ขำอวี้เซิ่ง เป็นตัวโดนแล้วยังโดนน้องชายตัวเองเหยียบซ้ำอีก 5555555
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 73
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น