บทที่ 182: บุญคุณต้องทดแทน
ในเรือนด้านข้าง ทันทีที่อวี้ฉีกระโดดขึ้นไป เขาก็เห็นมู่จวินเซิ่งเดินเข้ามาจากข้างหน้า แล้วทั้ง 2 ก็พบกันที่ประตู
ทั้งคู่มีนิสัยที่คล้ายคลึงกันมาก และค่อนข้างสนิทสนมกันมาตั้งแต่แรก
หลังจากที่อวี้ฉีรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงองค์ชายรอง เขาก็รู้สึกสับสนในใจเล็กน้อย
เขาเดินทางไปทั่วหล้าเพื่อหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์กับคนในราชวงศ์ แต่ใครจะไปคาดคิดว่าตนจะได้พบกับมู่จวินเซิ่งซึ่งเป็นองค์ชายรองที่จวนตระกูลจิน
“ถวายบังคมองค์ชายรอง” อวี้ฉีทำความเคารพอีกฝ่ายด้วยท่าทางขอไปที “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นองค์ชายรอง ในอดีตข้าจึงทำตัวไม่ดีกับเจ้ามากนัก หวังว่าองค์ชายรองจะไม่ตำหนิข้า”
“พี่อวี้…” มู่จวินเซิ่งเกาหัวและเข้าไปพยุงให้คนตรงหน้าลุกขึ้น “ท่านไม่จำเป็นต้องมากพิธี ข้าเองก็จงใจปกปิดสถานะของตัวเองเอาไว้ ผู้ไม่รู้ย่อมไม่มีความผิด”
“แต่ถ้าเราไปพบจินซือหยางหลังจากนี้ ข้าหวังว่าพี่อวี้จะช่วยข้าปิดบังมันต่อไป”
อวี้ฉีเลิกคิ้วขึ้น เขารู้ว่ามู่จวินเซิ่งคงกำลังเป็นกังวลแทนจินซือหยางที่เพิ่งสูญเสียพ่อของตัวเองไป แล้วเขาจะยิ่งรู้สึกหดหู่มากขึ้นหากได้รู้ว่าตัวตนของสหายที่รู้จักกันมานานไม่ได้ตื้นเขินอย่างที่เห็น
แม้แต่ตัวเขาที่รู้สึกสนิทสนมกับมู่จวินเซิ่งเองก็ยังรู้สึกคาดไม่ถึง
ลูกชายและลูกสาวของมู่เทียนฉงดูเหมือนจะเป็นคนดีกว่าที่คิด
“พี่จวินเซิ่ง!” จู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากในเรือน พร้อมกับจินซือซือที่วิ่งออกมาและกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของเด็กหนุ่ม “ฮือออ พี่จวินเซิ่ง ท่านไปอยู่ที่ไหนมา ข้าคิดถึงท่านมาก”
เดิมทีเด็กสาวเป็นคนที่หยิ่งผยองมาก แต่คราวนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่จวน ดูเหมือนนางจะเติบโตขึ้นมาทันตาเห็นรวมถึงไม่ได้ทำตัวเหมือนเด็กน้อยแบบเมื่อก่อนอีกต่อไป
“ซือซือ ปล่อยพี่ฉินก่อน” จินซือหยางเดินออกมาทันทีเมื่อเขาได้ยินเสียงน้องสาวของตัวเอง ก่อนจะยิ้มขอโทษให้แก่สหายของตน
“ไม่เป็นไร” มู่จวินเซิ่งถอนหายใจ “ซือซือคงจะกลัวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้มาก ข้าเข้าใจ”
ตอนนี้เขาได้พบน้องสาวของตัวเองแล้ว เขาจึงสามารถเข้าใจอารมณ์ของจินซือหยางได้ในระดับหนึ่ง
“ทำให้พี่จวินเซิ่งขบขันแล้ว” หลังจากจินซือซือร้องไห้จนพอใจ นางก็ไม่ได้รบกวนมู่จวินเซิ่งอีกต่อไป นางปล่อยมือก่อนจะหันกลับไปหาพี่ชาย “ท่านพี่ ท่านจะไปกับพี่จวินเซิ่งหรือไม่? พี่อวี้ฉี ท่านกำลังบอกว่าจะไปล้างแค้นให้พ่อข้าไม่ใช่หรือ?”
สีหน้าของจินซือหยางเปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วเขาก็ยกมือขึ้นลูบหัวน้องสาวตัวเองเบา ๆ “เป็นสาวเป็นนางอย่าได้พูดถึงเรื่องแก้แค้นตลอดเวลา”
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ? เจ้ายังคงเป็นเหมือนเดิม ครอบครัวของเราจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร”
“เหตุใดจึงไม่มีการเปลี่ยนแปลง!” จินซือซือกัดริมฝีปากตัวเองและเชิดหน้าขึ้นด้วยความโกรธ “ท่านพ่อจากไปแล้ว และจวนตระกูลจินก็ถูกไฟไหม้จนวอดวาย ท่านพี่ ทำไมท่านยังจะมาบอกว่ามันเป็นเหมือนเดิมอยู่อีก!”
หลังจากพูดเช่นนั้นนางก็หันหลังวิ่งหนีไป
“ซือซือ!” จินซือหยางอยากจะไล่ตามน้องสาวไป แต่มู่จวินเซิ่งก็เข้ามาขวางเอาไว้ก่อน
“ปล่อยนางไปก่อนเถอะ” เด็กหนุ่มพูดปลอบใจสหาย “คนของพี่ชายข้าวางกำลังคอยดูแลโรงเตี๊ยมแห่งนี้เอาไว้แล้ว นางไปไหนได้ไม่ไกลหรอก ท่านปล่อยให้นางอยู่คนเดียวสักพักเถอะ”
จินซือหยางยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเอง ตอนนี้ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเช่นกัน “พี่ฉิน ท่านอาจารย์ โชคดีที่พวกท่านยังอยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้น…”
ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่รู้จริง ๆ ว่าในตอนนี้เขาควรทำอย่างไร
อวี้ฉีเดินเอามือไพล่หลังไปนั่งที่โต๊ะหินในลานบ้าน คราวนี้เขาไม่ได้ปฏิเสธคำเรียกขานว่าอาจารย์ของจินซือหยาง เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบโดยเล่าถึงสิ่งที่เขาถามมาจากมู่ไป๋ไป่ว่า “ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าข้าจะตามพี่ชายของน้องฉินไปที่ชายแดน เจ้าจะไปด้วยกันหรือไม่?”
สิ่งที่เขาพูดต่อหน้ามู่ไป๋ไป่เมื่อกี้นี้เป็นความจริงทั้งหมด
เขาเป็นหนี้บุญคุณตระกูลจิน ดังนั้นเขาจึงอยากจะช่วยจินซือหยางล้างแค้นให้กับจินต้าเสีย
“ข้าจะไป!” เด็กหนุ่มตกตะลึงก่อนจะพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น “ถ้าสิ่งที่อาจารย์พูดเป็นความจริง ข้าจะไปที่แคว้นหนานซวนเพื่อค้นหาคนที่ลงมือกับตระกูลจินและล้างแค้นให้กับท่านพ่อของข้า”
“ดีมาก” อวี้ฉีพยักหน้า ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นเดินออกไป
ในเมื่อจินซือหยางเรียกเขาว่าอาจารย์ เขาจึงไม่อยากปล่อยให้อีกฝ่ายเรียกขานตนเช่นนี้อย่างเปล่าประโยชน์
“ขอบคุณท่านอาจารย์!” เด็กหนุ่มคุกเข่าลงคำนับอวี้ฉีด้วยความเคารพ 3 ครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นยืน
เมื่อมู่จวินเซิ่งเห็นท่าทีเช่นนี้ของอีกคน เขาก็รู้สึกเศร้าใจมาก และอดไม่ได้ที่จะเข้าไปตบไหล่ปลอบโยนสหายพลางเอ่ยปากสัญญาว่า “ซือหยาง พี่ใหญ่ของข้าและข้าจะช่วยท่านเช่นกัน”
“เดิมที พี่ใหญ่ของข้าเดินทางมาที่ชายแดนในครั้งนี้เพื่อตรวจสอบเรื่องของแคว้นหนานซวน”
“เมื่อถึงเวลา หากมีข่าวเกี่ยวข้องกับคนที่วางยาพิษคนในตระกูลจิน ข้าจะแจ้งให้ท่านทราบโดยเร็วที่สุด”
“ตกลง! ขอบคุณพี่ฉิน” จินซือหยางเข้าไปกอดสหายอย่างตื่นเต้น ในขณะที่เขาเหมือนจะมีบางอย่างอยู่ในใจ “อย่างไรก็ตาม พี่ฉิน ข้ามีคำถามคาใจอยู่”
“ท่านเพิ่งบอกว่าท่านกับคุณชายเซียวเป็นพี่น้องกัน แต่ทำไมคนหนึ่งแซ่ฉิน ส่วนอีกคนแซ่เซียว?”
“...” คำถามนี้ทำให้มู่จวินเซิ่งถึงกับไปไม่เป็น
…
อีกด้านหนึ่ง ตอนที่หลัวเซียวเซียวมาถึง มู่ไป๋ไป่กับเจ้าส้มก็กำลังนั่งอาบแดดอยู่ที่สวนด้านหลัง
“คุณหนู เถ้าแก่พ่างกับลุงจางมาที่นี่เจ้าค่ะ” เด็กหญิงขยับเข้าไปนั่งอยู่ข้างอีกฝ่าย “พวกเขานำของติดมือมาด้วยมากมาย แล้วบอกว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อขอบคุณท่าน”
เมื่อวานเป็นวันเกิดของนักดาบหิรัณย์และเป็นวันแรกที่ร้านอาหารผิงชางเปิดกิจการอีกครั้ง
เนื่องจากก่อนหน้านี้มู่ไป๋ไป่ได้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของลูกค้าเอาไว้ ในวันแรก ร้านอาหารผิงชางจึงมีลูกค้าหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย
แน่นอนหมูทอดราดน้ำแกงเปรี้ยวหวานที่เธอสอนให้เถ้าแก่พ่างก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ผู้คนจำนวนมากได้ห่อในส่วนที่กินไม่หมดกลับบ้านกันหลายคน
นั่นทำให้ชายร่างท้วมก็ได้ขายอาหารจนเนื้อที่เตรียมเอาไว้หมดลง และเขาก็ต้องปิดร้านเร็วกว่าเดิม
“คุณหนู!” เถ้าแก่พ่างกับลุงจางที่กำลังรออยู่ที่ประตูโรงเตี๊ยม เมื่อพวกเขาเห็นมู่ไป๋ไป่เดินออกมา พวกเขาก็รีบเข้ามาทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “คุณหนู เรามาที่นี่เพื่อขอบคุณท่าน!”
“ต้องขอบคุณคุณหนูมาก ร้านอาหารของข้ากลับมาฟื้นตัวอีกครั้งแล้ว!”
พอพูดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของเถ้าแก่พ่างก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
เมื่อไม่กี่วันก่อน เขายังอยู่ในสภาพที่สิ้นหวัง ได้แต่ดื่มให้เมามายเพื่อคลายความทุกข์ของตัวเองไปวัน ๆ
แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว
ร้านอาหารได้กลับคืนสู่สภาพปกติ และดูเหมือนว่ากิจการของเขาจะดีขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเด็กน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั่นเอง
“ไม่เป็นไร” มู่ไป๋ไป่ที่กอดเจ้าส้มเอาไว้หัวเราะเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีความสุขมากเพียงใด “ข้าแค่อาศัยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อช่วยท่าน เป็นท่านที่พึ่งพาตัวเองจนกิจการกลับมาดีอีกครั้ง”
ถ้าไม่ใช่เพราะเถ้าแก่พ่างมีฝีมือการทำอาหารที่ยอดเยี่ยม หรือถ้าไม่ใช่เพราะเขายังไม่ยอมแพ้แล้วละทิ้งร้านนี้ไป กิจการของเขาคงไม่กลับมารุ่งเรืองเช่นนี้
ไม่ว่าเธอจะทำอะไร เธอก็คงไม่สามารถทำให้ร้านอาหารผิงชางกลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง
“ไม่ว่าคุณหนูจะพูดอย่างไร ข้าคนนี้ก็ตัดสินใจแล้วว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณของข้าไปตลอดชีวิต” เถ้าแก่พ่างถึงแม้ว่าจะเป็นคนโผงผางไปสักหน่อย คำพูดของเขาจึงไม่ได้ฟังดูไพเราะมากนัก จากนั้นเขาจึงวางของทุกอย่างลงและคุกเข่าให้กับเด็กหญิง
“นี่ท่าน รีบลุกขึ้นมาเถอะ!” มู่ไป๋ไป่เคยชินกับการที่มีคนคุกเข่าให้ตอนที่อยู่ในวังหลวง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ออกมาข้างนอกแล้วมีคนคุกเข่าให้ เธอจึงรู้สึกตื่นตระหนกก่อนจะรีบเข้าไปดึงคนตรงหน้าให้ลุกขึ้น
แต่ชายร่างใหญ่ทำเพียงแค่ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนู ขอให้ท่านโปรดรับการคำนับจากข้า”
“ใช่แล้ว คุณหนู ปล่อยให้เขาคำนับท่านเถอะ” ลุงจางเองก็เข้ามาช่วยพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่อย่างนั้น เสี่ยวพ่างคนนี้คงจะนอนไม่หลับทั้งคืน”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 54
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น