บทที่ 181: เจ้าส้ม เขายอมแพ้แล้วหรือ?
“น้องชายท่าน! แถมยังเป็นฝาแฝดกันอีก?!” มู่ไป๋ไป่ได้เห็นฝาแฝดตัวเป็น ๆ เป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอ แล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะมองใบหน้าของอวี้เซิ่งและอวี้ฉีสลับไปมา เพื่อค้นหาความแตกต่างระหว่างทั้ง 2
แต่อย่างไรก็ตาม มันกลับล้มเหลว
“พวกท่านดูเหมือนกันมากจริง ๆ” เด็กหญิงส่ายหัวพลางถอนหายใจ “ถ้าไม่มีใครบอกข้าเรื่องนี้ ข้าคงคิดว่าตัวเองเห็นภาพหลอนไปเสียแล้ว”
ทางด้านอวี้ฉีขมวดคิ้ว เขายกชายเสื้อคลุมขึ้นแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะหยิบถ้วยและตะเกียบขึ้นมากินข้าว
“คุณหนู อย่าได้ถือสาเลย” อวี้เซิ่งจ้องน้องชายของตัวเองด้วยสายตาห้ามปราม “เขาเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือการมีคนบอกว่าเขาหน้าเหมือนข้า”
“หา?” มู่ไป๋ไป่เกาหัวขณะทำหน้างุนงง “ทำไมล่ะ การมีพี่น้องฝาแฝดไม่ดีหรือ?”
คงมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าก่อนที่เธอจะทะลุมิติมาที่นี่ ความฝันของเธอตั้งแต่เด็กก็คือการมีพี่น้องฝาแฝด
หากเป็นเช่นนี้เธอก็จะมีเพื่อนเล่นด้วย!
“เจ้าคิดว่าข้ามีความสุขเพราะเรื่องนี้หรือ?” จู่ ๆ อวี้ฉีก็พูดขึ้นมา
อวี้เซิ่งเองก็รู้สึกสับสน “อะไรอีกล่ะ?”
ในความทรงจำของเขา ใบหน้าของอวี้ฉีจะหมองลงทุกครั้งที่เขาได้ยินใครบางคนพูดว่าพวกเขาทั้ง 2 มีหน้าตาเหมือนกัน
หากไม่ใช่เพราะว่าอีกฝ่ายไม่ชอบฟังคนบอกว่าพวกเขาหน้าตาเหมือนกัน แล้วจะเป็นอะไรได้อีก?
“ตอนที่ข้าอายุ 3 ขวบ” อวี้ฉีวางตะเกียบลงแล้วจ้องหน้าพี่ชายฝาแฝดพร้อมกับเหยียดยิ้มมุมปาก “เขาชอบเผาสมุนไพรที่ท่านแม่ปลูกแล้วบอกว่าข้าเป็นคนทำ”
“...”
ดวงตาของมู่ไป๋ไป่เบิกกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น “อวี้เซิ่ง! ทำไมท่านถึงไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้!”
“ตอนที่ข้าอายุ 5 ขวบ เขาทะเลาะกับคนอ้วนคนหนึ่งบนถนนถัดจากบ้านจนฟันของเขาร่วงหมดปาก แล้วเขาก็ยังบอกว่าข้าเป็นคนทำ”
อวี้เซิ่งที่ถูกน้องชายหยิบยกวีรกรรมในอดีตขึ้นมาพูดก็ยกมือขึ้นปิดแก้มตัวเองทันที
“นี่ ท่านมันไร้คุณธรรม!” มู่ไป๋ไป่ตบโต๊ะเสียงดัง และถามอย่างกระตือรือร้นว่า “ท่านพ่อท่านแม่ของท่านเชื่อหรือไม่ที่เขาโยนความผิดให้ท่านเช่นนี้?”
ทันใดนั้นอวี้ฉีก็รู้สึกว่าลูกสาวของฮ่องเต้ดูเหมือนจะไม่ได้น่ารังเกียจเหมือนฮ่องเต้ เขาเหลือบมองนางแล้วพูดเบา ๆ ว่า “พวกเจ้าทุกคนไม่ได้บอกเองหรือว่าข้าหน้าตาเหมือนกับเขา?”
“ตอนเรายังเด็ก เราไม่ได้เพียงแค่หน้าตาเหมือนกัน แต่เรายังแต่งตัวเหมือนกันอีกด้วย”
“ท่านพ่อท่านแม่มักจะแยกเราไม่ออก…”
ดังนั้นทุกครั้งที่อวี้เซิ่งโยนความผิดให้เขา มันก็ประสบความสำเร็จทุกครั้งไป
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่อวี้ฉีได้ยินคนพูดว่าเขากับอวี้เซิ่งหน้าตาเหมือนกัน เขาก็จะรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที
“อวี้ฉี เจ้าก็ใส่ร้ายข้าเหมือนกัน!” คนเป็นพี่ชายเกาหูที่เปลี่ยนเป็นสีแดงของตัวเองขณะโต้แย้งอย่างไร้ยางอาย “ปีนั้นเจ้าดึงเคราของอาจารย์ แล้วก็บอกว่าเป็นข้าไม่ใช่หรือ?”
“นอกจากนี้ เจ้าทำกระบี่ของท่านพ่อหายและโยนความผิดให้ข้าเช่นกัน”
ทางด้านมู่ไป๋ไป่มองพี่น้องฝาแฝดที่โยนความผิดให้กันไปมา ก่อนจะหันไปมองมู่จวินฝานกับมู่จวินเซิ่งเงียบ ๆ แล้วเธอก็รู้สึกว่าพี่ชายทั้ง 2 คนของเธอดูจะดีกว่าพี่น้องคู่นี้เยอะเลย
ฝาแฝดคู่นี้ช่างแสบสันยิ่งนัก!
แล้วอาหารมื้อนี้ก็มี ‘การแสดง’ ของพี่น้องฝาแฝดตระกูลอวี้ให้ทุกคนชม ทำให้เด็กหญิงกินข้าวได้มากกว่าปกติมาก
หลังจากที่เธอกินอาหารเสร็จ และกำลังเตรียมจะไปกินของว่างที่ลานภายในโรงเตี๊ยม ในตอนที่เธอกำลังอุ้มเจ้าแมวส้มตัวใหญ่ไปที่ลานกว้าง จู่ ๆ เธอก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เธอไม่ได้สนใจเจ้าสัตว์ประหลาดนั่น
ตามที่อวี้เซิ่งบอก เซียวถังอี้พาพวกเขาออกตามหาเธอไปรอบเมืองเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน
พออีกฝ่ายกลับมา เขาก็มองสำรวจเธอเสร็จแล้วก็เดินขึ้นไปชั้นบนโดยไม่พูดอะไรสักคำ เขาทำเหมือนกับว่าเธอติดหนี้เขาหลายล้านตำลึงอย่างไรอย่างนั้น
“ฮึ! ข้าไม่ได้ขอให้เขาตามหาข้าสักหน่อย” มู่ไป๋ไป่แค่นเสียงในลำคอขณะที่เหลือบตามองไปยังชั้น 2
จังหวะนั้นเธอรู้สึกประหลาดใจมากในตอนที่เธอสบตาเข้ากับเซียวถังอี้ซึ่งกำลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง
เด็กหญิงไม่รู้ว่าเธอจินตนาการไปเองหรือไม่ แต่หน้ากากสีเงินของเขาดูเหมือนจะเย็นชายิ่งกว่าปกติ
ความเย็นชานั้นทำให้เธอนึกถึงความทรงจำอันเลวร้ายที่ถูกอีกฝ่ายตีก้น
มู่ไป๋ไป่ตัวสั่นไปทั้งตัว ก่อนที่เธอจะกัดฟันและเงยหน้าเล็ก ๆ เผชิญหน้ากับเขา
เดิมทีเซียวถังอี้กำลังยืนรอนกพิราบสื่อสารอยู่ที่หน้าต่าง จากนั้นเมื่อเขาได้ยินคำพูดไร้หัวใจของเจ้าตัวเล็ก คิ้วหนาภายใต้หน้ากากก็ขมวดเข้าหากันแน่น
มันเป็นไปตามที่เขาคาด เจ้าเด็กนี่ยังคงเป็นเหมือนกับตอนที่ยังอยู่ในเมืองหลวง เจ้าหมาป่าน้อยตัวนี้เลี้ยงไม่เชื่องอย่างที่เขาคิด
หลังจากไม่ได้นอนมาทั้งคืนอีกทั้งไม่มีอะไรตกถึงท้องมาทั้งวัน เด็กหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าปกติ เป็นเรื่องยากที่เขาจะไปต่อล้อต่อเถียงกับคนตัวเล็กเหมือนเดิม ดังนั้นเขาจึงแค่นเสียงในลำคอก่อนจะปิดหน้าต่างเพื่อล้มเลิกการเผชิญหน้าระหว่างทั้ง 2
“หืม?” มู่ไป๋ไป่มองหน้าต่างที่ปิดลงอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “เจ้าส้ม นี่เขายอมแพ้ไปแล้วหรือ?”
“หา?” ยามนี้แมวอ้วนตัวสีส้มกำลังขึ้นอืดหลังจากกินอาหารเข้าไปเยอะ ทำให้สมองของมันไม่แล่นเลย ดังนั้นมันจึงตอบด้วยน้ำเสียงเชื่องช้าว่า “ข้าเดาว่าอย่างนั้นนะ”
“เอ๊ะ! แค่จ้องตากันแค่นี้เอง เขาอ่อนแอขนาดนั้นเชียวหรือ?” เด็กหญิงขยี้ตากลมโตที่รู้สึกเจ็บเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะอย่างมีความสุข “ฮ่า ๆๆ คราวหน้าถ้าเขาจะรังแกข้าอีก ข้าจะแข่งจ้องตากับเขา!”
“แล้วพอเขาแพ้ ข้าจะได้หัวเราะเยาะเขาได้มากเท่าที่ต้องการ”
“คราวนี้ข้าจะปล่อยเขาไปชั่วคราว”
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ชายคนนี้ก็ใช้เวลาเกือบทั้งวันทั้งคืนในการตามหาเธอ
มู่ไป๋ไป่ยิ้มอย่างมีความสุข แล้วจู่ ๆ ก็มีหินก้อนหนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้าโดยเล็งไปที่หัวเธออย่างแม่นยำ
“ใครน่ะ?” คนตัวเล็กลูบหัวตัวเองเบา ๆ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นหาคนทำ หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เห็น…อวี้เซิ่งนั่งอยู่บนหลังคาภายใต้แสงแดดที่เจิดจ้า
ทันทีที่เธอเห็นใบหน้าเขา ปฏิกิริยาแรกของเธอก็คือคิดถึงอวี้เซิ่ง
จากนั้นเธอก็เหมือนคิดอะไรออกเมื่อเห็นเสื้อผ้าของอีกฝ่าย
“อวี้ฉี ทำไมท่านถึงขว้างก้อนหินใส่ข้า?” มู่ไป๋ไป่หยิบก้อนหินขึ้นมาแล้วโยนมันกลับไป แต่เธออ่อนแอมากเกินไป เป็นผลให้ก้อนหินหล่นลงบนพื้นโดยไม่สัมผัสเสื้อผ้าของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
“ข้าได้ยินมาว่าคนที่ลักพาตัวคุณหนูไปเมื่อคืนนี้เป็นคนของแคว้นหนานซวน เรื่องนี้จริงหรือไม่?” อวี้ฉีเงยหน้าขึ้นในลักษณะกำลังบิดขี้เกียจ แต่ดวงตาของเขาที่มองมานั้นเย็นชาเล็กน้อย
“น่าจะใช่” เด็กหญิงพยักหน้าก่อนจะถามว่า “ท่านมีอะไรหรือ?”
ชายหนุ่มไม่ตอบแต่ถามขึ้นมาแทนว่า “คนกลุ่มนั้นคือคนที่วางยาพิษคนใช้ในจวนตระกูลจินใช่หรือไม่? พวกเขายอมรับเองหรือเปล่า?”
“ข้าไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดด้วยตัวเอง” มู่ไป๋ไป่ส่ายหัว “แต่เซียวเซียวได้ยิน นางบอกว่าคนเป็นหัวหน้าพูดว่าพวกเขาเป็นคนวางแผนลงมือในจวนตระกูลจิน พอกู่พวกนั้นตื่นขึ้นก็จะเกิดความวุ่นวายในจวน”
อวี้ฉีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณเจ้ามาก”
เมื่อมู่ไป๋ไป่เห็นว่าเขากำลังจะเดินจากไป เธอก็รีบเรียกเขาไว้ “ช้าก่อน! ท่านกำลังจะไปไหน ทำไมท่านไม่บอกอวี้เซิ่ง?”
“ครั้งนี้เขาติดตามเราออกจากเมืองหลวงและตามหาท่านตลอดทางที่ผ่าน!”
มู่จวินฝานบอกเธอก่อนหน้านี้ว่าอวี้เซิ่งดูเหมือนกำลังตามหาใครสักคนอยู่ แต่เธอก็ยังไม่เชื่อ
ตอนนี้เธอแค่อยากจะยกย่องพี่ชายของเธอสำหรับความฉลาดของเขา
“ฮ่า ๆ… เจ้าเด็กน้อย ดูท่าเจ้าจะกังวลเกี่ยวกับข้าทีเดียว” อวี้ฉีหัวเราะเบา ๆ “ไม่ต้องกังวล ข้าแค่จะไปหาครอบครัวตระกูลจิน”
“นักดาบหิรัณย์ให้ความเมตตาข้ามาตลอด 1 ปีที่ผ่านมา”
“จู่ ๆ พวกเขาก็พบเจอการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ข้าเองก็ควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการตอบแทน”
สิ้นเสียงพูด ชายหนุ่มก็กระโดดไปที่หลังคาของเรือนอีกฝั่ง
“อวี้ฉีเคยอาศัยอยู่ในจวนตระกูลจินมาก่อนหรือ?” จู่ ๆ มู่ไป๋ไป่ก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา “ไม่น่าแปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้อวี้เซิ่งขอเข้าไปตรวจสอบในจวนตระกูลจินอยู่หลายครั้ง”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 61
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น