บทที่ 141: ไม่มีทางบอกเจ้า
“อย่างนั้นหรือ?” มู่ไป๋ไป่ขยับเข้าไปใกล้ชายคนนั้นมากยิ่งขึ้น “ทำไมข้าถึงคิดว่ามันไม่เป็นเช่นนั้นล่ะ?”
ขณะเดียวกัน เซียวถังอี้ที่กำลังดื่มชาอยู่ด้านข้างขยับตาเล็กน้อยแล้วกดปลายนิ้วลงบนโต๊ะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นิสัยพื้นฐานของชาวหนานซวนเป็นคนเจ้าเล่ห์ เจ้าอย่าได้เข้าใกล้เขามากนัก”
เด็กหญิงตอบรับอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็หยุดเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย
นั่นทำให้เด็กหนุ่มไม่คุ้นเคยกับท่าทางเชื่อฟังของเจ้าตัวเล็กนัก
“พวกเราชาวหนานซวนเป็นคนเจ้าเล่ห์อย่างนั้นหรือ?” เถ้าแก่ศาลาหมื่นอสูรหัวเราะเยาะหลังจากได้ยินคำพูดของเซียวถังอี้ “ถ้าเราเจ้าเล่ห์จริง ๆ เราคงไม่ถูกแคว้นเป่ยหลงของพวกเจ้ากดขี่อยู่เช่นนี้”
“พวกเจ้าบุกเข้าไปในดินแดนหนานซวนของเราและปิดล้อมสังหารหมู่ประชาชนในเมือง ถ้าเราไม่เจ้าเล่ห์มากกว่านี้ เราจะเอาชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร?”
มู่ไป๋ไป่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ เนื่องจากเธอมาจากโลกที่สงบสุขและไม่ค่อยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับสงครามมากนัก แต่ความเกลียดชังที่อยู่ในสายตาของชายคนนี้มันลึกซึ้งมากจนเธอลืมสิ่งที่อยากจะพูดไปชั่วขณะ
“ฮ่า ๆ พวกแพ้แล้วพาล” เซียวถังอี้เยาะเย้ย ก่อนที่เขาจะวางถ้วยชาลงแล้วเดินเข้าไปใกล้ ๆ อีกฝ่าย “ถ้าคนของแคว้นหนานซวนไม่บุกมาที่ชายแดนซ้ำ ๆ เพื่อก่อปัญหาและปล้นสะดมพวกเรา แคว้นเป่ยหลงจะส่งทหารไปเหยียบย่ำพวกเจ้าได้อย่างไร?”
“เจ้าเพิ่งบอกว่าแคว้นเป่ยหลงสังหารหมู่ประชาชนของหนานซวนอย่างนั้นหรือ แล้วพวกผู้บริสุทธิ์ที่เป็นประชาชนของแคว้นเป่ยหลงที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนต้องมาเสียชีวิตภายใต้อาชาเหล็กของหนานซวนล่ะ?”
“หนานซวนพ่ายแพ้และไม่คิดที่จะยอมแพ้ กองทัพจึงทิ้งเมืองและหนีไป”
“กองทัพเป่ยหลงไม่เคยทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์เลยแม้แต่คนเดียว”
“เจ้ากล้าพูดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร?”
หน้ากากเงินบนใบหน้าของเซียวถังอี้ส่องประกายด้วยแสงเย็นเยียบภายใต้แสงเทียน และชายหนุ่มผู้ถูกคุมขังก็พูดไม่ออก
“ไม่ว่าเจ้าจะอยากพูดหรือไม่ มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว” จู่ ๆ เด็กหนุ่มก็เปลี่ยนหัวข้อ เขาลดสายตาลงมองอีกฝ่ายอย่างเยาะเย้ยในขณะที่กล่าวว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อน เราจับกุมคนของแคว้นหนานซวนที่ซุ่มซ่อนอยู่นอกเมืองได้”
ทันใดนั้นดวงตาของเถ้าแก่หนุ่มก็เบิกกว้างขึ้น
ทางด้านมู่ไป๋ไป่ลอบถอนหายใจ ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค เจ้าสัตว์ประหลาดก็สามารถทำลายกำแพงป้องกันของชายคนนี้ได้
“นอกจากนี้ข้ายังได้คำตอบมากมายจากปากของพวกเขา” เซียวถังอี้ไม่พลาดที่จะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเชลย แล้วพูดต่อไปว่า “ข้าแค่อยากยืนยันกับเจ้าเท่านั้น”
“มันไม่สำคัญว่าเจ้าจะบอกอะไรข้าหรือไม่”
“ไปเถอะ”
“หา?” มู่ไป๋ไป่ตกตะลึง ก่อนจะเหลือบมองชายที่ถูกพันธนาการเอาไว้แล้วหันหลังเดินตามเด็กหนุ่มไปอย่างเชื่อฟัง
พวกเขาทั้ง 2 เดินไปได้ไม่ไกลจากคุกใต้ดินมากนักก่อนจะได้ยินเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งดังมาจากด้านหลัง “ไม่มีทาง! เจ้าโกหกข้า!!”
“พวกเขาไม่มีทางยอมปริปากบอกเจ้า!!!”
คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมองและเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้าสัตว์ประหลาด ก่อนจะลอบถอนหายใจ
“ส่งคนพวกนี้ไปให้ศาลต้าหลี่” เซียวถังอี้สั่งทหารที่อยู่ด้านข้าง “บอกไปเพียงว่าคนคนนี้เป็นพวกเดียวกับคนของแคว้นหนานซวนที่ถูกจับมาก่อนหน้านี้ เขารู้วิธีจัดการมัน”
มู่ไป๋ไป่เดินตามคนตัวสูงกว่าจนกระทั่งออกจากคุกใต้ดิน เมื่อต้องลมหนาวที่พัดเข้ามา ดูเหมือนว่าสติของเธอจะชัดเจนมากขึ้น ทันใดนั้นเธอก็พูดขึ้นมาว่า “ท่านจงใจใช้ข้าหลอกถามเขาเพื่อให้เขาผ่อนคลายความระวังลงเช่นนั้นหรือ?”
เซียวถังอี้ที่ยังคงเดินเอามือไพล่หลังอยู่ด้านหน้า พอได้ยินคำถามของเจ้าตัวเล็ก เขาก็หันมาถามว่า “เจ้าเป็นเพียงแค่เด็ก ทำไมถึงได้สนใจเรื่องนี้ขนาดนี้?”
“ถ้าอยากให้ข้าช่วย ท่านก็เพียงเอ่ยปากดี ๆ ไม่ได้หรืออย่างไร?”
“ข้าไม่ชอบถูกหลอกใช้!” มู่ไป๋ไป่กระแทกเท้าเดินไปข้างหน้าตามแรงอารมณ์ เธอกำลังตัดชุดแต่งงานให้คนอื่น* แล้วคนอื่นที่ว่านั้นก็ดันเป็นเจ้าสัตว์ประหลาดที่เธอเกลียดอีก!
*เป็นสำนวนที่มีความหมายว่า เหน็ดเหนื่อยทำอะไรสักอย่างโดยที่ตัวเองไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ เลย
“หลอกใช้?” เซียวถังอี้เหยียดยิ้มพลางเอียงศีรษะมองคนตัวเตี้ยกว่า ในขณะที่ดวงตาของเขาเป็นประกายน้อย ๆ “เจ้าเติบโตในวังหลวงซึ่งเป็นสถานที่ที่ผู้คนใช้เล่ห์เหลี่ยมใส่กันตลอดเวลา แต่แล้วจู่ ๆ เจ้าก็มาบอกว่าไม่ชอบถูกหลอกใช้เนี่ยนะ”
“ช่าง… น่าสนใจ”
“...” มู่ไป๋ไป่ถึงกับพูดไม่ออก
“รีบไปกันเถอะ” หลังจากที่เด็กหนุ่มพูดจบ เขาก็ยืนหันข้างอยู่ที่ประตูทางเข้า “ถ้าข้าไม่รีบส่งเจ้ากลับไป อวี้เซิ่งจะต้องเป็นกังวลอีกแน่”
เด็กหญิงกัดริมฝีปากแน่น แต่ก็เดินตามอีกคนไปอย่างไม่เต็มใจ
เธอไม่ได้คำตอบอะไรจากเถ้าแก่ศาลาหมื่นอสูรเลยแม้แต่น้อย ครั้งนี้กลับกลายเป็นว่าเธอช่วยเจ้าสัตว์ประหลาดให้ได้ประโยชน์แทน มันทำให้เธอโมโหมากจนนอนไม่หลับทั้งคืน
วันรุ่งขึ้น เธอนอนอยู่บนเตียงจนเกือบเที่ยงวันก่อนจะลุกขึ้น ทันทีที่เธอเปิดประตูออกไป เธอก็เห็นซูหว่านนั่งอยู่ที่ลานบ้านพร้อมกับนางกำนัลอีก 2 คน
คนตัวเล็กตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และสับสนว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่วัดฮู่กั๋วหรือศาลาหมื่นอสูรกันแน่
“ท่านแม่?!” มู่ไป๋ไป่ขยี้ตาก่อนจะมองภาพตรงหน้าให้ดีอีกครั้ง หลังจากยืนยันแล้วว่าภาพที่เห็นไม่ได้มาจากอาการประสาทหลอน เธอก็รีบวิ่งเข้าไปอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่! ทำไมท่านถึงลงจากเขามาล่ะ?!”
ก่อนหน้านี้เธอรีบลงจากเขาเพื่อมาช่วยเหลือเจ้าตัวโต ดังนั้นเธอจึงได้ทิ้งจดหมายถึงซูหว่านเอาไว้ก่อนออกเดินทาง
ในความเป็นจริง เธอค่อนข้างรู้สึกไม่สบายใจ แล้วเรื่องราวต่าง ๆ ที่อยู่เบื้องหลังศาลาหมื่นอสูรยิ่งซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอจึงไม่มีเวลาแจ้งข่าวกลับไปที่วัดฮู่กั๋ว
“ถ้าแม่ไม่ลงจากเขามาเพื่อตามหาเจ้า เจ้าคิดที่จะรั้งอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?” หว่านผินจับลูกสาวมาหมุนเพื่อสำรวจร่างกายก่อน หลังจากแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้ผอมลง นางก็ขมวดคิ้วทำหน้าโกรธเคือง “ไป๋ไป่ เจ้ามันช่างดื้อยิ่งนัก”
“เราได้รับราชโองการให้ออกจากวังหลวงมาเพื่อสวดมนต์ขอพร แต่เจ้ากลับแอบลงจากเขาและหายตัวไปเป็นเวลานาน”
“หากใครมีเจตนาไม่ดีรู้เรื่องนี้เข้า เจ้าจะต้องได้รับโทษที่ขัดราชโองการ”
หญิงสาวรู้สึกเป็นกังวลทันทีที่เห็นจดหมายของมู่ไป๋ไป่ในวันนั้น แต่นางก็ยังเลือกที่จะรอเด็กหญิงอยู่เงียบ ๆ
ส่วนทางด้านไทเฮา นางได้บอกไปว่ามู่ไป๋ไป่ป่วยขึ้นมาอีกครั้งเพื่อเป็นการรับมือกับสถานการณ์ชั่วคราว
แต่ใครจะไปคาดคิดว่า หลังจากหว่านผินรออยู่หลายวัน เจ้าตัวแสบก็ยังไม่กลับมา นางจึงไม่อาจทนนิ่งเฉยอยู่ได้ จึงตัดสินใจลงจากเขามาตามหาลูกสาวด้วยตัวเอง
ซึ่งมันก็บังเอิญที่นางได้พบหลัวเซียวเซียวระหว่างทาง จากนั้นนางก็ได้รู้ว่าเจ้าเด็กดื้ออาศัยอยู่ในศาลาหมื่นอสูร
“ท่านแม่ ข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านไม่สบายใจ” มู่ไป๋ไป่ทำท่าทีออดอ้อนอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นแม่ “สัตว์ที่ถูกขังอยู่ที่นี่กำลังไม่สบาย ข้าไม่สบายใจที่จะต้องปล่อยพวกมันเอาไว้ที่นี่เพียงลำพัง”
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าได้เขียนจดหมายรายงานเรื่องนี้กับท่านพ่อเรียบร้อยแล้ว ท่านพ่อเองก็ตกลงที่จะให้ข้าอยู่ที่นี่เพื่อจัดการกับเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนที่จะกลับไปยังวัดฮู่กั๋ว”
คนตัวเล็กกลัวว่าซูหว่านจะไม่เชื่อ เธอจึงรีบหยิบจดหมายที่มู่เทียนฉงตอบกลับมาเมื่อวานนี้จากภายในห้องมาแสดงให้อีกฝ่ายดู
หว่านผินถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่ามันเป็นลายมือของฝ่าบาทจริง ๆ และยังมีตราประทับอยู่บนนั้น
ตามปกติแล้วนางไม่เคยคัดค้านที่มู่ไป๋ไป่จะทำเรื่องดี ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้ว สถานการณ์ของพวกนางในตอนนี้พิเศษมาก พอเห็นว่าลูกสาวได้รับอนุญาตจากมู่เทียนฉง นางก็รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง
“ดูเหมือนว่าแม่จะไม่สามารถพูดอะไรได้แล้ว” หญิงสาวถอนหายใจพลางพับเก็บจดหมายแล้วยื่นให้กับเด็กน้อย
พอมู่ไป๋ไป่เห็นว่าซูหว่านรู้สึกผิดหวังกับตน เธอก็เป็นกังวลขึ้นมาก่อนจะรีบอธิบายว่า “ท่านแม่ มันไม่ใช่อย่างนั้น ข้าแค่ไม่อยากให้ท่านต้องเป็นห่วง”
“นอกจากนี้ ข้าเองก็ลงมาได้ไม่นาน ข้าวางแผนจะกลับไปในอีก 2-3 วันและเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ท่านฟัง”
เมื่อหว่านผินเห็นว่าใบหน้าเล็ก ๆ ของลูกสาวซีดลงด้วยความไม่สบาย นางก็ใจอ่อนและหอมหน้าผากอีกคนเบา ๆ
“แม่รู้ แม่รู้สึกว่าเจ้าโตขึ้นแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเองจนแม่ไม่อาจตามทัน พอคิดเช่นนี้แม่ก็รู้สึกทำใจไม่ได้”
ในอดีต นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องปล่อยมู่ไป๋ไป่ออกไปจากอ้อมอก ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี นางจึงอยากจะใช้เวลาอยู่กับลูกสาวให้มากขึ้น แต่กลับพบว่าเจ้าตัวเล็กไม่ต้องการนางอีกต่อไปแล้ว
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 36
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น