บทที่ 142: องค์รัชทายาทเชิญอ่าน
“ไม่เลยเพคะ!” มู่ไป๋ไป่จับมือซูหว่านพร้อมกับพูดเสียงหวาน “ไป๋ไป่อายุเพียง 4 ขวบ ไป๋ไป่ยังเด็กนัก ท่านแม่จะบอกว่าไป๋ไป่โตขึ้นแล้วได้อย่างไรกัน?”
“ไป๋ไป่ เจ้านี่มันจริง ๆ เชียว ชอบทำให้แม่กังวลอยู่เรื่อย...”
“แหะ ๆ” เด็กน้อยทำได้เพียงหัวเราะแห้ง ๆ
หว่านผินรู้สึกขบขันกับท่าทางของลูกสาว “มีใครบ้างที่จะทับถมตัวเองเช่นเจ้า”
“ที่ไป๋ไป่พูดเป็นเรื่องจริง” มู่ไป๋ไป่หัวเราะร่า ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านแม่ ท่านอยากรู้หรือไม่ว่าช่วงนี้ไป๋ไป่ทำอะไรบ้าง”
“ไป๋ไป่ขอบอกเลยว่าเรื่องนี้ตื่นเต้นมาก!”
ซูหว่านรู้สึกมีความสุขเมื่อได้ยินว่าลูกสาวยินดีที่จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ตนฟัง นางจึงพยักหน้ารับเบา ๆ
มู่ไป๋ไป่รีบเล่าอย่างตื่นเต้นทันทีว่าเธอลงจากเขามาเพื่อช่วยเจ้าตัวโตได้อย่างไร รวมถึงช่วยสัตว์ต่าง ๆ ในศาลาหมื่นอสูรไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ
ในระหว่างที่พูดเด็กหญิงก็ได้แสดงท่าทางประกอบเต็มที่ ซึ่งหว่านผินเองก็ตั้งใจฟังที่ลูกสาวเล่ามาก จนทำให้นางกำนัลที่อยู่ด้านข้างสัมผัสได้ว่าบรรยากาศระหว่างแม่ลูกช่างดีเหลือเกินจนพวกนางไม่กล้ารบกวนทั้ง 2 หลังจากนำขนมและชาขึ้นโต๊ะ พวกนางก็รีบถอยออกไปเงียบ ๆ
“นี่คือเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น!” หลังจากมู่ไป๋ไป่เล่าจบ เธอก็รับถ้วยชาจากผู้เป็นแม่มายกดื่มจนหมด
ซูหว่านพ่นลมหายใจพลางลูบหัวเด็กน้อยเบา ๆ “เจ้าทำได้ดีมาก ดังคำที่กล่าวเอาไว้ว่า การช่วยชีวิตเพียงหนึ่งได้กุศลยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าการสร้างเจดีย์ 7 ชั้น แม้ว่าพวกมันจะเป็นเพียงแค่สัตว์ป่า แต่พวกมันก็นับว่าเป็นสิ่งมีชีวิต”
“ถือเสียว่าเป็นการสั่งสมบุญกุศลและอุทิศให้กับแคว้นเป่ยหลง”
“จริงหรือเพคะ?” มู่ไป๋ไป่หน้าแดงเมื่อได้รับคำชม “ข้าเองก็คิดเช่นเดียวกับท่านแม่”
“แต่ไป๋ไป่ ถึงอย่างไรสัตว์พวกนั้นก็เป็นสัตว์ป่า สัญชาตญาณดุร้ายของพวกมันไม่มีวันหายไป” หว่านผินเอ่ยเตือนเบา ๆ “แม่รู้ว่าเจ้ามีความสามารถและควบคุมสัตว์ได้ แต่เจ้าก็ยังต้องระวังตัวให้ดี”
“เจ้าเองก็คงเคยได้ยินเรื่องเล่าชาวนากับงูเห่ามา”
มู่ไป๋ไป่อยากจะบอกว่าเธอเป็นถึงจ้าวอสูรซึ่งแตกต่างไปจากชาวนาที่ถูกกล่าวขานในเรื่องเล่า แต่เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของคนเป็นแม่ เธอก็กลืนคำพูดทั้งหมดลงไปแล้วพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง “เพคะ ไป๋ไป่จะจดจำสิ่งที่ท่านแม่สั่งสอนให้ดี”
ซูหว่านยิ้มจาง ๆ และสัมผัสใบหน้าลูกสาวด้วยความรัก ก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้าเหนื่อยหรือไม่ คุยกับแม่มาตั้งนานแล้ว แม่จะส่งคนไปเตรียมอาหารกลางวันให้เจ้า”
“แล้วอีกอย่าง เจ้าส้มก็หายตัวไปหลังจากที่เจ้าลงเขามาได้ 2 วัน แม่สงสัยว่ามันมาหาเจ้าใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้วเพคะ!” มู่ไป๋ไป่เตะขาตัวเองอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับพยักหน้า “ในตอนนี้มันไปช่วยข้าดูแลสัตว์ที่บาดเจ็บอยู่ ท่านแม่ ท่านอยากเห็นมันหรือไม่?”
หว่านผินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าตอบรับ “ได้ แต่เรากินมื้อเที่ยงกันก่อน เจ้าจะปล่อยให้ท้องตัวเองหิวไม่ได้เด็ดขาด”
หลังจากตกลงกันเรียบร้อยแล้ว 2 แม่ลูกก็รับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน ก่อนที่มู่ไป๋ไป่จะพาผู้เป็นแม่ไปยังสถานที่ที่พวกสัตว์รักษาตัวอยู่
ในช่วงเวลานี้ ศาลาหมื่นอสูรถูกเด็กหญิงครอบครอง และเสี่ยวเอ้อร์คนเก่า ๆ ทั้งหมดได้ถูกอวี้เซิ่งส่งไปยังศาลต้าหลี่ซึ่งเป็นการควบคุมคนพวกนี้เอาไว้สอบสวนเพื่อดูว่าพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับแคว้นหนานซวนหรือไม่
ศาลาหมื่นอสูรนั้นกว้างเกินกว่าที่จะจัดการได้หากไม่มีคนรับใช้ ดังนั้นเสิ่นจวินเฉาจึงได้โยกย้ายคนรับใช้บางส่วนจากจวนสกุลเสิ่นมาที่นี่
คนรับใช้เหล่านั้นรู้ว่ามู่ไป๋ไป่เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตคุณชายเสิ่นเอาไว้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงให้ความเคารพคุณหนูตัวน้อยมากกว่าปกติ
ในระหว่างทาง ซูหว่านทั้งรู้สึกประหลาดใจและภูมิใจในตัวของลูกสาวเมื่อเห็นว่าคนรับใช้ที่เดินผ่านมาจะหยุดทักทายมู่ไป๋ไป่ทุกคน
“ท่านแม่ดูนี่สิ” เด็กหญิงชี้ไปข้างหน้าซึ่งจะเห็นว่ามีสัตว์ป่ามากมายกระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นที่กว้างขวาง
ทันทีที่มู่ไป๋ไป่ปรากฏตัว สัตว์ทั้งหลายก็ยืนขึ้นแล้วโน้มตัวลงแสดงออกถึงการทักทายเธอเงียบ ๆ
ภาพที่ปรากฏทำให้ซูหว่านต้องตกตะลึงอีกครั้ง
นางรู้เพียงว่ามู่ไป๋ไป่มีพรสวรรค์ในการฝึกสัตว์ให้เชื่อง แต่นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าลูกสาวจะเป็นคนที่มีบารมีมากถึงเพียงนี้
“พวกเจ้าทุกตัวลุกขึ้นเถิด” เด็กหญิงสั่งเสียงเบา “อย่าทำให้แม่ข้ากลัว”
สัตว์พวกนั้นหันมามองหน้ากันด้วยความสับสน แม้ว่าพวกมันจะไม่เข้าใจว่าทำไมการกระทำนี้ถึงทำให้ท่านแม่ของท่านจ้าวอสูรต้องกลัว แต่คำสั่งของนางนั้นถือเป็นที่สุด แล้วพวกมันก็ทำตามทันที
จากนั้นสัตว์ทุกตัวก็ลุกขึ้นพร้อมกัน
“มู่ไป๋ไป่ ทำไมหว่านผินถึงมาอยู่ที่นี่?” เจ้าส้มกระโดดลงมาจากชั้นวางด้านข้างและไปยืนอยู่บนไหล่ของเด็กหญิงเหมือนที่เคยทำเป็นประจำ ซึ่งแรงกระแทกที่ได้รับนั้นทำให้เธอเกือบล้ม
“เจ้าส้ม ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาน้ำหนักของเจ้าขึ้นอีกแล้วหรือ?” มู่ไป๋ไป่ที่พยายามยืนทรงตัวอยู่รู้สึกพูดไม่ออก “ถ้าเจ้าเอาแต่กินเช่นนี้อยู่เรื่อย ๆ เจ้าจะกลายเป็นแมวที่อ้วนที่สุดในโลก แล้วแม่ขาวมณีจะยังชายตามองเจ้าอยู่หรือไม่?”
แมวที่โดนต่อว่าเหมือนถูกจี้ใจดำ มันแยกเขี้ยวด้วยความโกรธพร้อมกับยกอุ้งเท้าตบเจ้าตัวเล็ก
“เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมาทำร้ายท่านจ้าวอสูร!!” เสียงคำรามต่ำดังมาจากด้านข้าง ทำให้มู่ไป๋ไป่เบิกตาด้วยความตื่นตระหนก และเธอก็เห็นเงาสีเทาผ่านข้างแก้มไป พร้อมกับน้ำหนักที่อยู่บนไหล่หายไป
“ว้าย! ไป๋ไป่ หมาป่าตัวนั้นเอาเจ้าส้มไป! มันจะกินเจ้าส้มหรือไม่?!”
เด็กหญิงมองไปยังทิศทางที่ซูหว่านชี้และเห็นว่าเจ้าตัวโตตบเจ้าส้มลงไปบนพื้น พร้อมกับใช้อุ้งเท้าใหญ่ของมันเหยียบอีกฝ่ายเอาไว้แล้วพูดเสียงทุ้มว่า “ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าอย่าลบหลู่เกียรติท่านจ้าวอสูร เจ้าแมวอ้วน ทำไมเจ้าไม่ฟัง!”
“ไอ้หมาบ้า!” เจ้าส้มตวัดกรงเล็บพร้อมแยกเขี้ยวขู่อีกฝ่าย แต่ไม่ว่ามันจะดิ้นรนมากเพียงใด มันก็ไม่สามารถหลุดจากอุ้งเท้าของหมาป่าได้ “ใครใช้ให้เจ้ามาแส่!!”
“ถ้าไม่กำจัดนิสัยเสีย ๆ ของเจ้าทิ้งไป ข้าจะไม่มีวันยอมให้เจ้าเข้าใกล้ท่านจ้าวอสูรอีก!” หลังจากหมาป่าสีเทาพูดเช่นนี้ มันก็หันไปมองมู่ไป๋ไป่ด้วยสายตาจริงจัง “ท่านจ้าวอสูร ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะช่วยท่านฝึกเจ้าแมวอ้วนเลี้ยงไม่เชื่องตัวนี้เอง”
มันพูดจบแล้วก็คาบหลังคอของเจ้าส้ม ก่อนจะก้มหัวทำความเคารพเด็กหญิงและเดินออกไป
“...” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้มู่ไป๋ไป่ถึงกับทำตัวไม่ถูก
ตอนที่เธอไม่อยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าตัวโตกับเจ้าส้มดีถึงเพียงนี้เลยหรือ?
“ไป๋ไป่…” ซูหว่านอดเป็นกังวลไม่ได้เมื่อเห็นว่าลูกสาวมองภาพตรงหน้าอย่างเฉยเมย “มันจะเป็นอะไรหรือไม่ เจ้าส้มเป็นแมวทรงเลี้ยง หากมันได้รับบาดเจ็บ…”
“ท่านแม่ เจ้าส้มไม่เป็นไรหรอก” มู่ไป๋ไป่จับมือผู้เป็นแม่เพื่อให้นางสบายใจขณะที่พูดด้วยรอยยิ้ม “พวกมันกำลังเล่นกันอยู่ ดูสิ ท่าทางพวกมันกำลังสนุกกันมากเลย”
หว่านผินหันไปมองเจ้าส้มที่ถูกหมาป่าสีเทาปล่อยลงบนพื้นไม่ไกล และกะพริบตามองภาพตรงหน้าด้วยสายตาสับสน “จริงหรือ?”
“จริงเพคะ” คนตัวเล็กพูดโกหกตาใส
ทางด้านแมวอ้วนที่ฟังบทสนทนาระหว่างทั้ง 2 ก็รู้สึกโมโหขึ้นมา “มู่ไป๋ไป่ ใจของเจ้าเปลี่ยนไปแล้วสินะ เจ้าไม่คิดจะช่วยข้าหน่อยเรอะ!?”
“ข้าเป็นแมวตัวโปรดของเจ้าไม่ใช่รึ!?”
มู่ไป๋ไป่มองก้อนไขมันที่ส่ายไปมาบนตัวของมันด้วยสายตาซับซ้อน ก่อนจะกระตุกมุมปากและแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย จากนั้นก็หันกลับมาพาซูหว่านไปดูสัตว์ตัวอื่น ๆ
…
ในเวลาเดียวกัน ณ วังหลวง
ยามนี้มู่จวินฝานกำลังยืนก้มหน้าอยู่ในห้องทรงอักษรของฮ่องเต้
1 เค่อที่แล้วมู่เทียนฉงเรียกตัวเขามา แต่หลังจากที่เขามาถึง เสด็จพ่อก็ไม่ได้พูดอะไรแล้วมุ่งความสนใจไปกับกองฎีกาตรงหน้าตัวเองเท่านั้น
เด็กหนุ่มลดสายตาลงมองดูลวดลายบนแขนเสื้อของตัวเอง และแอบสงสัยว่าในวันนี้เขาจัดการงานราชกิจบกพร่องหรือไม่?
แต่ในขณะที่เขากำลังคิดทบทวนเรื่องนี้ ความคิดของเขาก็ล่องลอยไปไกลโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นเวลาเกือบ 1 เดือนแล้วนับตั้งแต่ที่มู่ไป๋ไป่เดินทางไปยังวัดฮู่กั๋ว และเขาไม่รู้ว่าปัจจุบันนางเป็นอย่างไรบ้าง น้ำหนักลดลงหรือไม่ หรือสูงขึ้นเพียงใดแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เขาจะหาโอกาสเหมาะ ๆ เดินทางไปวัดฮู่กั๋วได้อย่างไร?
ในระหว่างที่มู่จวินฝานกำลังคิดอยู่ก็มีฎีกาเล่ม 1 ยื่นมาตรงหน้า
“องค์รัชทายาทเชิญอ่านพ่ะย่ะค่ะ” อันกงกงถือฎีกาไว้ในมือพร้อมกับกระซิบพูดเบา ๆ
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ขำเจ้าตัวโตกับเจ้าส้มตีกัน 5555 ท่านพี่รัชทายาทหายไปนานเลย มีใครคิดถึงพี่ชายคนนี้บ้างงง
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 45
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น