บทที่ 134: ช่วยสหายของข้า

-A A +A

บทที่ 134: ช่วยสหายของข้า

 “ถ้าข้าจำไม่ผิด แคว้นหนานซวนยังพยายามรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับแคว้นเป่ยหลงมานับตั้งแต่พ่ายแพ้ในศึกครั้งก่อน” 

 “ข้าเพียงแค่อยากมาสำรวจความเจริญรุ่งเรืองของแคว้นเป่ยหลง และเพียงต้องการทำการค้าเล็ก ๆ ที่นี่เพื่อเลี้ยงดูครอบครัวของข้า มันผิดอย่างนั้นหรือ?” 

เซียวถังอี้แค่นเสียงเยาะเย้ยในลำคอและชี้กระบี่ไปยังชายหนุ่มที่แต่งตัวดูดีคนนั้น “ถ้าเจ้าเพียงแค่อยากจะเลี้ยงดูครอบครัวของเจ้า เจ้าคงไม่มาทำการค้าที่ตลาดผี” 

 “อวี้เซิ่ง จับเป็นผู้ชายคนนั้นมาให้ข้า ข้าสงสัยว่าเขาเกี่ยวข้องกับคนของแคว้นหนานซวนกลุ่มที่เราเคยจับกุมก่อนหน้านี้” 

เมื่อนักฆ่าหนุ่มรู้ว่าตอนนี้เรื่องมันดูเหมือนจะใหญ่โตเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้ เขาจึงไม่เอ่ยถามคำถามอะไรขณะมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างเย็นชา

 “โอ้โห พวกท่านทั้ง 2 ช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก เช่นนั้นท่านก็อย่าหาว่าข้าไร้ความปรานีเช่นกัน” ชายหนุ่มชาวหนานซวนถอยหลังไป 2-3 ก้าว ก่อนจะปรบมือ

 “ทุกคนฟังคำสั่งข้า วันนี้คนพวกนี้มาก่อความวุ่นวายในศาลาหมื่นอสูรของเรา ถ้าใครสามารถตัดหัวของคนพวกนี้มาได้ เราจะตอบแทนพวกเจ้าเป็นเงินรางวัล 100 ตำลึง” 

 “100 ตำลึง!? ฮ่า ๆๆ!” อวี้เซิ่งเงยหน้าหัวเราะราวกับว่าเขากำลังฟังเรื่องตลก “นี่เป็นรางวัลที่ต่ำที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยินมาเลย ราคาขั้นต่ำสำหรับนักล่าที่จะมาล่าหัวข้าเมื่อก่อนคือ 1,000 ตำลึงทอง” 

แล้วคนที่อยู่ชั้นบนก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ ๆ ข้าสามารถเป็นพยานในเรื่องนี้ได้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอวี้เซิ่งได้ท่องไปทั่วหล้า และจะมีคำสั่งไล่ล่าเขาออกมา 2-3 ครั้งในทุกปี” 

 “ราคาที่เสนอมานั้นช่างน่าดึงดูดจริง ๆ แต่กลับไม่มีใครกล้ารับงานสักคน” 

 “ทำไมล่ะ?” มีบางคนถามขึ้นมา “มนุษย์ตายเพื่อเงิน นกตายเพื่ออาหาร ตราบใดที่ผู้ว่าจ้างจ่ายในราคาที่สูงมากพอ คงจะมีคนไม่กลัวตายยินยอมที่จะลองดูบ้าง…” 

 “ลองดูอย่างนั้นหรือ?” มีคนพูดพร้อมกับหัวเราะเยาะ “ท่านอยากจะลองทำสิ่งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเป็นไปไม่ได้หรือไม่ล่ะ?” 

 “อวี้เซิ่งเป็นคนที่แข็งแกร่งมากขนาดนั้นจริง ๆ หรือ? นักฆ่าทุกคนไม่ได้อาศัยความสามารถในการลอบสังหารที่ยอดเยี่ยมจัดการกับเหยื่อหรอกหรือ?” 

ปัจจุบันที่กลางลานเริ่มมีการต่อสู้เกิดขึ้นแล้ว อวี้เซิ่งกับเซียวถังอี้โดดเด่นอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ในขณะที่คนหนึ่งอยู่ในชุดสีดำ อีกคนอยู่ในชุดสีกรมท่าเคลื่อนตัวผ่านฝูงชนอย่างรวดเร็วและให้คำตอบแก่เหล่าคนที่อยู่บนชั้น 2 ได้เป็นอย่างดี

กลุ่มคนที่อยู่ชั้นบนแทบมองไม่ทันว่าพวกเขาทำอะไรกันแน่ พอรู้สึกตัวอีกที ที่ที่เคยมีคนยืนแออัดก็โล่งขึ้น

 “เก่งกาจยิ่งนัก… เขาเก่งกาจมาก ทำไมจู่ ๆ เขาถึงได้วางมือและเข้าร่วมราชสำนักเสียล่ะ?” 

 “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ บ้างก็บอกว่าโลกนี้น่าเบื่อเกินไป เขาจึงเข้าร่วมราชสำนักและทำงานให้กับฝ่าบาท บ้างก็บอกว่าเขาตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่ง เขาจึงอยากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับนางไปตลอด ดังนั้นเขาจึงวางมือจากยุทธภพไป” 

 “แทนที่จะมานั่งถามว่าทำไมอวี้เซิ่งถึงวางมือจากยุทธภพไป ข้าอยากรู้มากกว่าว่าชายที่สวมหน้ากากเงินด้านข้างเขาเป็นใคร ข้าเพิ่งได้ยินท่านเรียกเขาว่าคุณชายเซียว เขาเป็นใครหรือ เขามีชื่อเสียงมากหรืออย่างไร?” 

ทุกคนเงียบลงไปชั่วขณะ หลังจากผ่านไปไม่นานก็มีเสียงคนกระซิบพูดขึ้นมาด้วยท่าทางหวาดกลัวว่า “คุณชายเซียวไม่ได้มีชื่อเสียงมากนักและข้าก็ไม่รู้ว่าเขามาจากสำนักไหน ข้ารู้แค่ว่าจู่ ๆ เขาก็ปรากฏตัวขึ้นในยุทธภพเมื่อ 5 ปีก่อน” 

 “ฝีมือการต่อสู้ของเขานั้นแปลกประหลาด เขาเก่งในการใช้อาวุธลับ และฝีมือของเขาในการใช้กระบี่นั้นน่าทึ่งมาก แม้แต่เจ้าสำนักกระบี่เหลียนเทียนก็ยังชื่นชมเขา” 

 “ครั้งหนึ่งมีคนเคยเรียกขานว่าเขาเป็นมือกระบี่ที่เก่งที่สุดในใต้หล้า จากนั้นไม่นานก็มีคนบอกว่าคุณชายเซียวไม่ชอบชื่อนี้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกคนจึงเรียกขานเขาว่าคุณชายเซียวเท่านั้น” 

ที่ลานกว้างด้านล่าง เซียวถังอี้กับอวี้เซิ่งได้จัดการกับศัตรูเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นพวกเขาก็หันหลังกลับไปมองยังทิศทางของมู่ไป๋ไป่ เมื่อเห็นว่านางสบายดี ทั้งคู่ก็รีบพุ่งเข้าไปหาชายหนุ่มรูปงาม

 “ขวางพวกเขาเอาไว้ เร็วเข้า!” บัดนี้ใบหน้าของชายหนุ่มในชุดหรูหราเปลี่ยนไปแบบพลิกฝ่ามือ และเขาก็ได้สั่งการคนที่อยู่ข้างกายด้วยความหวาดกลัว อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีคนวิ่งไปขวางกี่คนก็ตาม พวกเขาก็ไม่สามารถชะลอความเร็วของเซียวถังอี้และอวี้เซิ่งได้แม้แต่น้อย

เมื่อเถ้าแก่ศาลาหมื่นอสูรเห็นว่าทั้ง 2 คนกำลังใกล้เข้ามาแล้ว เขาจึงผลักเสิ่นจวินเฉาออกไปอย่างตื่นตระหนก

 “คุณชายเสิ่น?” อวี้เซิ่งรับตัวเด็กชายไว้ได้พอดีและเข้าใจในทันที “ท่านเป็นคนพาคุณหนูของเรามาที่นี่ใช่หรือไม่?” 

เสิ่นจวินเฉาได้แต่ยิ้มแก้เก้อพลางลูบพัดของตัวเอง “ไม่ต้องมากพิธี มันเป็นสิ่งที่ข้าควรทำ ตอนนี้เราสามารถตามหาเจ้าตัวโตให้ไป๋ไป่ได้แล้ว ก็นับว่าสมบูรณ์แบบ” 

 “มันยิ่งกว่าสมบูรณ์แบบเสียอีก” เซียวถังอี้ได้ยินคำพูดของเด็กชายพอดีกับที่เขาจับกุมเจ้าของศาลาหมื่นอสูรกลับมา “เป็นการเก็บเกี่ยวที่ยอดเยี่ยมทีเดียว” 

 “...” อวี้เซิ่งพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง

หลังจากที่ชายหนุ่มรูปงามถูกจับกุมแล้ว คนของศาลาหมื่นอสูรคนอื่นก็ไม่กล้าลงมือทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอีก พวกเขาทำเพียงแค่มองชายทั้ง 2 จากด้านข้างด้วยความหวาดกลัวเท่านั้น

จากนั้นเซียวถังอี้ก็โยนเถ้าแก่ศาลาหมื่นอสูรที่เขาทำให้หมดสติไปให้อวี้เซิ่ง ก่อนจะเก็บกระบี่อ่อนลง แล้วเดินเอามือไพล่หลังไปที่ลานกว้างในท่าทางเตรียมพร้อมที่จะไปชื่นชมการแสดงบางอย่าง

ทางฝ่ายมู่ไป๋ไป่เป็นไปได้ราบรื่นกว่าที่เธอคาดเอาไว้ เดิมทีเธอคิดว่าสัตว์ป่าทั้ง 3 จะเสียสติไปแล้ว แต่พอได้ลองสื่อสารกับพวกมัน เธอก็พบว่าไม่เป็นเช่นนั้นเลย

เธอได้ใช้วิธีเดิมเพื่อทำข้อตกลงกับสัตว์ป่าทั้ง 3 ตัว ทำให้พวกมันไม่โจมตีพวกเธอ 

 “ท่านจ้าวอสูร ที่จริงแล้วแม้ท่านไม่เสนอที่จะมอบน้ำตาให้พวกมัน พวกมันก็ยินยอมที่จะฟังท่านอยู่ดี” เจ้าตัวโตที่ยืนยันได้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าคลี่คลายลงแล้ว มันก็นอนหมอบอยู่กับพื้นอย่างเหน็ดเหนื่อย “ท่านเป็นนายเหนือหัวของสัตว์ทั้งปวง พวกเราย่อมเชื่อฟังท่าน” 

 “เรื่องเช่นนี้จะทำแบบขอไปทีได้อย่างไรล่ะ?” มู่ไป๋ไป่คุกเข่าลงลูบหัวของมันแล้วพูดเบา ๆ “นอกจากนี้ ข้าไม่เคยมองว่าเจ้าเป็นเพียงลูกสมุนที่ต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้า…” 

ในใจของเธอ เจ้าตัวโตกับเจ้าส้มนับว่าเป็นสหาย 

พวกมันเป็นสหายที่ต่อสู้เคียงข้างเธอมา

 “ท่านจ้าวอสูร” หมาป่าสีเทารู้สึกซาบซึ้งใจ มันไม่คิดว่าจะได้รับความเมตตาจากท่านจ้าวอสูรถึงเพียงนี้

ส่วนสัตว์ป่าทั้ง 4 ที่อยู่ด้านข้างเคยรู้สึกไม่พอใจมู่ไป๋ไป่อยู่เล็กน้อย ที่พวกมันรู้สึกแค้นเคืองนางเพราะนางเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง

ถึงอย่างไร ครั้งนี้พวกมันก็ถูกมนุษย์จับมาทรมานอย่างหนัก

แต่ตอนนี้พวกมันค้นพบว่าท่านจ้าวอสูรที่เป็นเด็กมนุษย์คนนี้ดูแตกต่างจากสิ่งที่พวกมันจินตนาการเอาไว้

 “ท่านจ้าวอสูร” สิงโตตัดสินใจก้าวเข้ามาพูดอย่างลังเล “ท่านจ้าวอสูร ท่านช่วยข้าได้หรือไม่ ข้าไม่ต้องการน้ำตาของท่านแล้ว” 

 “เจ้ามีอะไรหรือ?” เด็กหญิงหันไปมองสิงโตที่มีดวงตาสีแดงเพลิงพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สหายของเจ้ายังถูกขังอยู่หรือ? เจ้าอยากให้ข้าไปช่วยพวกเขาหรือไม่?” 

 “ใช่!” สิงโตพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “ข้ากับสหายถูกส่งมาจากแดนไกล พวกเขากำลังป่วยและอ่อนแอมาก ดังนั้นมนุษย์ที่น่ารังเกียจพวกนั้นจึงขังพวกเขาไว้ในกรงเพื่อรอวันให้พวกเขาตายไปเอง” 

เพื่อเป็นการประหยัดเงิน ชายหนุ่มรูปงามจะให้อาหารเฉพาะสัตว์ที่ยังพอจะมีสติเท่านั้น ส่วนสัตว์ป่าที่ป่วยระหว่างการเดินทางอันยาวนานก็ทำได้เพียงแค่รอความตายเท่านั้น

 “ท่านจ้าวอสูร ถ้าท่านไม่ช่วยพวกเขา พวกเขาคงจะต้องตายอยู่ที่นี่” 

 “ท่านจ้าวอสูร! สหายของข้าก็เช่นกัน” เจ้าหมีพูดขึ้นมาบ้าง “ข้าไม่ต้องการน้ำตาของท่านอีกต่อไปแล้ว ท่านจ้าวอสูร ได้โปรดช่วยสหายของข้าด้วย พวกเขายังเป็นเพียงเด็กที่ยังไม่โตเลยด้วยซ้ำ” 

ทางด้านเสือดาวและเสือที่อยู่ด้านข้างก็เริ่มเสนอเงื่อนไขแบบเดียวกัน

ในเมื่อสัตว์เหล่านี้ยกเธอเป็นนายเหนือหัว เธอจึงไม่อาจทนนิ่งเฉยมองพวกมันเผชิญกับความยากลำบากโดยไม่ทำอะไรเลย

เธอเองก็มีความรับผิดชอบที่ต้องคอยปกป้องพวกมันเอาไว้

 “ตกลง! ข้าจะช่วยพวกเจ้าเอง” มู่ไป๋ไป่พยักหน้าอย่างเคร่งขรึมและรับปากว่า “ข้าจะช่วยเหลือสหายของพวกเจ้าออกมาให้ได้แน่นอน” 

 

--------------------------------------------------

พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: 2 คนนี้อย่างเท่เลย ที่นี่โหดร้ายกับพวกสัตว์มาก ไป๋ไป่ต้องช่วยออกมาให้ได้นะ ; - ;

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2025 keangun. All Right Reserved.