บทที่ 75: สัตว์ประหลาด
เพียงแค่มู่ไป๋ไป่เห็นท่าทางของเขาที่ทำเหมือนกับว่าเรียกสุนัข มันก็ทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจมากยิ่งขึ้น เขาคิดว่าตัวเองเป็นใคร กล้าดีอย่างไรถึงมาแสดงท่าทีเช่นนี้กับเธอกัน?
เธอเป็นถึงองค์หญิงหกผู้สง่างาม เขาไม่คิดจะไว้หน้ากันบ้างเลยหรือ?
“หืม?” เซียวถังอี้หรี่ตาลงเป็นเชิงข่มขู่ “พูดอีกทีซิ”
“ข้าบอกว่าไม่!” มู่ไป๋ไป่ที่กำลังโมโหสุดขีดยืนเท้าเอวยกมือขึ้นชี้หน้าเขาและสบถออกไปว่า “ทั้งหมดเป็นเพราะท่าน ทำตัวอย่างกับสัตว์ประหลาดมายืนอยู่มืด ๆ กลางค่ำกลางคืน แล้วยังทำท่าเหมือนผีอีก มันเลยทำให้เจ้าส้มกลัวจนหนีไป”
“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?” ดวงตาของเด็กหนุ่มมีประกายความเย็นแล่นผ่าน และเขาก็เม้มปากแน่น “สัตว์ประหลาดอย่างนั้นหรือ?”
เด็กหญิงที่เห็นท่าทีของเขาเช่นนั้นก็ตัวสั่นจนอยากจะหนีไป แต่เธอรู้สึกว่าถ้าตัวเองหันหลังหนีไปเพียงเพราะถูกดุคงขายหน้าแย่ ถึงอย่างไรเธอก็เป็นถึงองค์หญิง ดังนั้นไม่มีอะไรที่เธอต้องกลัว!
พอคิดได้ดังนี้มู่ไป๋ไป่ก็กัดฟันโต้เถียงกับอีกฝ่าย “ใช่ ข้าเรียกท่านว่าสัตว์ประหลาด ทำไม ท่านจะกัดข้าหรือ?”
“ฮ่า ๆๆ” เซียวถังอี้หัวเราะเยาะ “ข้าไม่ได้ชอบทำอะไรแบบเด็ก ๆ ดังนั้นข้าไม่มีทางกัดเจ้าหรอก”
ขณะที่เด็กหนุ่มพูด เขาก็ขยับเท้าเล็กน้อยแล้วร่างของเขาก็มาปรากฏอยู่ต่อหน้าเด็กหญิง
มู่ไป๋ไป่มองเห็นการเคลื่อนไหวของเขาไม่ชัดเจนทำให้เธอวิ่งหนีไม่ทัน จากนั้นคนตัวสูงกว่าก็คว้าคอเสื้อของเธอขึ้น ก่อนจะบินขึ้นไปในอากาศ
“กรี๊ดดดด! ช่วยด้วย! เจ้าสัตว์ประหลาดกำลังรังแกเด็ก!” เด็กน้อยตะโกนสุดเสียงโดยไม่สนใจใบหน้าของอีกฝ่าย ขณะที่เธอตะโกน เธอก็เอื้อมมือไปแตะแส้ที่ผูกอยู่ที่เอวของตัวเองและพยายามจะสู้กลับ
อย่างไรก็ตาม เธอไม่สามารถคว้าแส้มาได้ สุดท้ายแล้วแส้เส้นนั้นก็ถูกเซียวถังอี้คว้าเอาไว้พร้อมกดมันลงไว้ที่เดิม
ตามด้วยเสียงดังป้าบ!
มู่ไป๋ไป่ตกตะลึงที่ถูกตีก้น
ขณะนี้หัวสมองของเธอว่างเปล่า แล้วเธอก็ต้องใช้เวลาหลายอึดใจในการเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เจ้าสัตว์ประหลาดกล้าตีก้นเธออย่างนั้นหรือ?
คนตัวเล็กรู้สึกอับอายและโกรธมาก ถึงแม้ว่าเธอจะเคยถูกมู่เทียนฉงตีก้นมาก่อน แต่นั่นเป็นเพราะเขาเป็นพ่อของเธอ
แต่เจ้าสัตว์ประหลาดคนนี้เป็นใครกัน การที่เขาตีก้นผู้หญิงแบบเธอนั้นมันเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจมากจริง ๆ!
“วางข้าลงเดี๋ยวนี้นะ!” ใบหน้าของมู่ไป๋ไป่เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ และเธอก็ดิ้นรนสุดชีวิตโดยการสะบัดแขนขาตัวเองแรง ๆ “ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ท่านกล้าทำเช่นนี้กับข้า—”
“เจ้าก็ถอนคำพูดของเจ้าก่อนสิ” เซียวถังอี้กดมู่ไป๋ไป่ลงและตีก้นของเธอเสียงดัง
“ข้าพูดผิดตรงไหน!” เด็กหญิงกัดริมฝีปากด้วยความหงุดหงิดขณะตอบอย่างดื้อรั้น “ท่านมันสัตว์ประหลาด! สัตว์ประหลาด! ถ้าข้ากลับไปแล้วข้าจะฟ้องพ่อของข้า แล้วให้ท่านพ่อจัดการท่านซะ!”
“หึ ๆ เด็กน้อยเอ๋ยเด็กน้อย พอรู้ว่าตัวเองสู้ไม่ได้ ก็จะกลับไปฟ้องพ่ออย่างเดียว” เด็กหนุ่มรู้สึกเอือมระอาและตีก้นของคนตัวเล็กเพื่อระบายความโกรธ หลังจากพอใจแล้วเขาจึงโยนนางลงบนพื้นก่อนจะหันหลังกลับ
ตั้งแต่มู่ไป๋ไป่ทะลุมิติมายังที่นี่ เธอไม่เคยได้รับความอยุติธรรมเช่นนี้มาก่อนเลย มันทำให้เธอลงไปนั่งกองกับพื้นแล้วร้องไห้เสียงดัง “ฮืออออ!! โฮ ๆๆ!!”
เธอรู้สึกโกรธมาก แต่ก็ทำอะไรตัวต้นเหตุไม่ได้จึงทำได้เพียงร้องไห้ระบายความโกรธของตัวเอง ส่งผลให้น้ำหูน้ำตาเปื้อนอยู่บนใบหน้านวลจนดูน่าสงสารมาก
“...”
เซียวถังอี้เดินเข้าไปหาเด็กน้อยก่อนจะคุกเข่าลงถามว่า “นี่เจ้าร้องไห้จริง ๆ หรือ?”
“อย่ามาพูดมั่วซั่ว!” บัดนี้มู่ไป๋ไป่โกรธจัด “ท่านไม่มีตาหรืออย่างไร หรือไม่เคยเห็นใครร้องไห้ ข้าเป็นแบบนี้แล้วท่านยังจะแกล้งข้าอีกหรือ ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร!”
ฝ่ายที่ถูกต่อว่ารู้สึกตกใจกับเสียงตะโกนของคนตัวเล็ก จึงยกมือขึ้นเกาจมูกตัวเองแบบคนทำอะไรไม่ถูก
มู่ไป๋ไป่เหลือบตามองไปที่หน้ากากเงินของคนตรงหน้าด้วยความหงุดหงิดและนึกสงสัยว่าจะมีคนที่น่ารำคาญขนาดนี้อยู่บนโลกได้อย่างไร เธอจึงสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง
อย่างไรก็ตาม อึดใจต่อมา ร่างของเธอก็ลอยขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง
เป็นเซียวถังอี้ที่อุ้มเธอขึ้นจากพื้น
“นี่ท่านจะทำอะไรน่ะ!” มู่ไป๋ไป่ตกใจมากจนร้องไห้สะอึกสะอื้น ประกอบกับมีฟองน้ำมูกพ่นออกมาจากจมูก ทำให้ท่าทางของเธอนั้นดูน่าอับอาย “เจ้าสัตว์ประหลาด ท่านยังจะตีข้าอีกหรือ!?”
ผู้ชายคนนี้มันวิตถาร!
“...” เซียวถังอี้มองเด็กหญิงตรงหน้าอย่างพูดไม่ออก เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าสีเดียวกับเสื้อผ้าของเขาออกมาแล้วยื่นให้นาง “เอาไปเช็ดหน้าเช็ดตาให้สะอาด”
มู่ไป๋ไป่กระชากผ้าเช็ดหน้ามาพลางจ้องมองเขาอย่างระมัดระวัง “ทำดีหวังผล เมื่อกี้ท่านยังตีข้าอยู่เลย แล้วตอนนี้กลับมาเสแสร้งหยิบยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ข้าอีก ข้าไม่ขอบคุณท่านหรอกนะ”
“แมวเจ้าจะไม่หลงทางหรือ?” เด็กหนุ่มอุ้มเด็กหญิงเดินไปในทิศทางที่เจ้าส้มวิ่งหนีไป “ข้าจะพาเจ้าไปตามหามัน”
“ท่านใจดีได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ?” มู่ไป๋ไป่รู้สึกไม่เชื่อคำพูดอีกฝ่าย
“ไม่ได้หรืออย่างไร?” เซียวถังอี้ถามติดตลก “หรือว่าข้าจะลักพาตัวเจ้าเอาไปขายดี แต่จากที่ชั่งน้ำหนักดูแล้ว ดูเหมือนว่าจะขายได้ไม่เท่าไหร่ บางทีอาจจะถึงขั้นขายไม่ออก ไม่น่าจะคุ้มค่ากับการลงทุนลงแรง”
คำพูดของเด็กหนุ่มทำให้เด็กหญิงรู้สึกโกรธขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านจะบอกข้าว่าไร้ค่าหรือ ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร!”
ฉันเป็นถึงองค์หญิงลำดับที่ 6 ที่ได้รับความโปรดปรานของแคว้นเป่ยหลงเชียวนะโว้ย!
“ข้าไม่รู้ แล้วไม่ได้อยากรู้ด้วย” เซียวถังอี้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า หลังจากนั้นเขาก็พาคนตัวเล็กลงจากภูเขาแล้วถามว่า “แมวของเจ้าชื่ออะไร เรียกมันแล้วมันจะมาหาหรือไม่?”
เมื่อมู่ไป๋ไป่เห็นว่าอีกฝ่ายอยากจะพาเธอไปหาแมวจริง ๆ เธอจึงผ่อนคลายตัวเองลงเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยเสียงโกรธเคืองว่า “มันชื่อเจ้าส้ม”
ส่วนเรื่องที่เรียกมันแล้วจะมาหาหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเจ้าส้มอีกที
เพราะท้ายที่สุดตอนนี้เธอก็ไม่มีของกินอะไรติดมือมาด้วย เจ้าแมวอ้วนตัวนี้ต้องเอาของกินมาล่อถึงเรียกแล้วจะยอมมาหาเธอ
“เจ้าส้ม?” เซียวถังอี้พยักหน้าอย่างจริงจัง “ชื่อนี้เหมาะกับมันมาก”
“...” มู่ไป๋ไป่มองเขาด้วยสายตาเอือมระอา “ถ้าไม่รู้จะพูดชมอย่างไรท่านก็ไม่ต้องชมก็ได้ อย่างนี้มันน่าอึดอัดกว่าเดิมอีก”
เป็นไปตามที่เด็กหญิงคาด เด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนขณะเดินไปรอบ ๆ บางครั้งเขาก็จะหยุดเดินและย่อตัวลงนั่งอยู่บนพื้นหญ้าเพื่อตรวจสอบอะไรบางอย่างบนพื้น
มู่ไป๋ไป่สังเกตการณ์เคลื่อนไหวของเขาอย่างระมัดระวัง ในไม่ช้าเธอก็เริ่มรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ลึกลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ดูจากเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ เขาคงเป็นคนที่มีฐานะคนหนึ่ง
แต่เขาดูไม่เหมือนพวกพ่อค้าวาณิช เขามีวรยุทธที่เทียบเท่ากับอวี้เซิ่ง และยังสวมหน้ากากเอาไว้ตลอดเวลา
หึ… จากประสบการณ์การอ่านนิยายอันยาวนานของเธอ คนที่รวบรวมองค์ประกอบลึกลับเหล่านี้เอาไว้ในคนเดียวได้นั้นจะต้องเป็นคนที่มีบุคลิกโหดเหี้ยมอย่างแน่นอน
“มันน่าจะอยู่ใกล้ ๆ นี้” เซียวถังอี้วางมู่ไป๋ไป่ลงกับพื้นแล้วเอ่ยว่า “เจ้าลองเรียกมันดูสิ ลองดูว่ามันจะยอมกลับมาหรือไม่?”
“มันอยู่ใกล้ ๆ จริงหรือ?” คนตัวเล็กถามเขาอย่างสงสัย “ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้าส้มอยู่ใกล้ ๆ ท่านไม่ได้พูดมั่วซั่วหรอกหรือ?”
เซียวถังอี้เหลือบมองคนพูดเล็กน้อย ในตอนที่มู่ไป๋ไป่คิดว่าเขาจะไม่ตอบคำถามตน เขาก็พูดขึ้นมาว่า “ร่องรอยบนหญ้า แมวของเจ้าเป็นแมวเลี้ยง มันไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศบนภูเขา ดังนั้นจึงยังมีร่องรอยเหลืออยู่บนพื้น”
“และร่องรอยสุดท้ายของมันอยู่ที่นี่”
ต่อมา เด็กหญิงนั่งลงมองพื้น และแน่นอนว่าเธอเห็นร่องรอยกลีบมังคุดจาง ๆ บนพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยวัชพืช อีกทั้งยังมีขนแมวสีส้มจำนวนหนึ่งหล่นอยู่ด้านข้าง
นั่นทำให้มู่ไป๋ไป่รู้สึกมั่นใจมากขึ้นทันที เธอรีบลุกขึ้นพร้อมกับตะโกนเรียกเจ้าแมวอ้วนสุดเสียง
ในไม่ช้า เสียงตอบรับที่เกียจคร้านของเจ้าส้มก็ดังมาจากเหนือศีรษะของเธอ
เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะเห็นแมวตัวโตกำลังยัดตัวเองเข้าไปขดตัวนอนอยู่ในรังนกขนาดใหญ่บนกิ่งไม้ต้นข้าง ๆ
“...”
มู่ไป๋ไป่คิดในใจว่า
ฉันไม่อยากได้ไอ้แมวตัวนี้อีกแล้ว!
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: 2 คนนี้เจอหน้ากันหยุมหัวกันไม่พักเลย 555
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 45
แสดงความคิดเห็น