บทที่ 31: สอนการบ้าน
ซูหว่านได้คาดการณ์เอาไว้แล้วว่ามู่ไป๋ไป่จะกลับมาเวลาใด จึงได้มารออยู่ที่ห้องโถงในช่วงเวลาที่อีกฝ่ายเลิกเรียน
พอนางได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว นางก็สั่งให้นางกำนัลในตำหนักช่วยพยุงตนออกไป แต่จากระยะไกล นางเห็นเด็กหญิงกำลังพูดบางอย่างพร้อมกับดึงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาข้างในด้วย
“นั่นคือ…” ดวงตาของหว่านผินแสดงออกถึงความอยากรู้อยากเห็น นางเคยพบมู่จวินฝานเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ความทรงจำของนางที่มีเกี่ยวกับเขานั้นเลือนราง
เมื่อหญิงสาวมองดูเด็กหนุ่มคนนี้ที่ดูค่อนข้างคล้ายกับฝ่าบาท นางก็ยิ่งรู้สึกสับสน
“ท่านแม่ ดูสิว่าใครมา” มู่ไป๋ไป่เห็นผู้เป็นแม่จึงโบกมือให้นางอย่างมีความสุข
“ท่านพี่รัชทายาท เขามาที่นี่เพื่อสอนการบ้านให้ข้า”
“องค์รัชทายาท?” ซูหว่านตกใจและรีบก้าวออกไปทำความเคารพเขาทันที
ในความเป็นจริง สิ่งที่ทำให้นางกังวลมากที่สุดเกี่ยวกับเรื่องที่ลูกสาวจะไปเรียนที่ตำหนักฮ่องเต้ก็คือ มู่ไป๋ไป่จะเข้ากับองค์รัชทายาทไม่ได้
นางกลัวว่าเจ้าตัวเล็กจะเผลอพูดในสิ่งที่ไม่เหมาะสม และควบคุมตัวเองได้ไม่ดีซึ่งทำให้อีกฝ่ายต้องหมดความอดทน
มู่จวินฝานเป็นองค์รัชทายาทผู้สง่างาม และเขาก็จะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ในอนาคต หากมู่ไป๋ไป่ไปทำให้เขาขุ่นเคืองเข้า มันก็เหมือนกับมีปัญหากับว่าที่ฮ่องเต้ของแคว้นเป่ยหลง และหลังจากนั้นชีวิตของนางก็จะยากลำบาก
เดิมทีนางอยากจะเตือนเด็กหญิงก่อนไปเข้าเรียน แต่พอนางตื่นมาในยามเช้า ลูกสาวก็ได้เดินทางออกจากตำหนักไปแล้ว
“ข้าคงต้องขอรบกวนหว่านผินด้วย”
มู่จวินฝานพยักหน้าให้หว่านผินเป็นการทักทายด้วยท่าทีสง่างาม
คนผู้นี้เป็นถึงรัชทายาท ในวังหลวงแห่งนี้ตำแหน่งของเขาอยู่เหนือคนนับหมื่นและเป็นรองเพียงแค่คนคนเดียว นั่นก็คือมู่เทียนฉง เขาไม่จำเป็นต้องนอบน้อมกับใครในวังหลวงนี้เลยด้วยซ้ำ
ซูหว่านเป็นคนมีเหตุผลจึงรู้สึกเกรงใจกับท่าทีของอีกฝ่าย
จากนั้นนางก็รีบเทน้ำชาให้เขาโดยเร็ว และเอาใจใส่อย่างเต็มที่
ขณะเดียวกัน นางรู้สึกประหลาดใจมากที่รู้ว่ามู่จวินฝานมาที่นี่เพื่อสอนการบ้านให้กับมู่ไป๋ไป่
“เจ้าลูกคนนี้ช่างซุกซนยิ่งนัก หากองค์รัชทายาทไม่รังเกียจที่จะสั่งสอนนาง หม่อมฉันก็รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง” หว่านผินยืนขึ้นและโค้งคำนับให้กับคนที่มีศักดิ์เป็นรัชทายาท
นับตั้งแต่ที่นางได้ย้ายออกจากตำหนักอวี๋ชิงในวันนั้น นางก็กลายเป็นคนที่คิดมากกับทุกเรื่อง
ตัวนางนั้นเกิดมามีพื้นเพต่ำต้อยและไม่ได้มีอำนาจเท่ากับลี่เฟย หากนางต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น นางจะต้องหาผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
ปัจจุบันอำนาจในวังหลังถูกแบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือไทเฮา ฝ่ายที่ 2 คือลี่เฟย และอีกฝ่ายเป็นของอดีตฮองเฮา
ซึ่งตอนนี้ 2 ใน 3 ฝ่ายตั้งตนเป็นศัตรูกับนางและมู่ไป๋ไป่ เหลือเพียงลี่เฟยจากตำหนักชิงเหอที่ยังไม่ได้แสดงท่าทีใด ๆ
อย่างไรก็ตาม ลี่เฟยเป็นคนที่หยิ่งทะนงและเอาแต่ใจตัวเอง อีกทั้งนางก็เป็นผู้ควบคุมวังหลังทั้งหมด ทำให้นางกำนัลจำนวนมากในวังหลังเชื่อฟังคำสั่งของนาง
ยามนี้หญิงสาวได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทแล้ว ดังนั้นนางจึงจะกลายเป็นหนามยอกอกของลี่เฟย
เพราะฉะนั้นอำนาจทั้ง 3 ฝ่ายดูเหมือนจะพุ่งเป้ามาที่ตัวนางทั้งหมด
ซูหว่านถึงขั้นนอนไม่หลับมาหลายวันเนื่องจากเรื่องดังกล่าว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะมีหนทางแก้ไขปัญหาแล้ว
วังหลวงแห่งนี้นอกจากฮ่องเต้ก็ยังมีองค์รัชทายาทที่มีอำนาจเหนือใคร
ไม่ว่าลี่เฟยหรือคนอื่น ๆ จะมีอำนาจมากเพียงใด แต่สุดท้ายแล้วพวกนางก็ต้องโค้งคำนับให้กับองค์รัชทายาทอยู่ดี
“พระสนมไม่ต้องมากพิธี ข้ายินดีช่วยเหลือ” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันหล่อเหลาของมู่จวินฝาน และรอยยิ้มของเขาก็ได้ดึงดูดสายตาของทุกคน
โอ้โห เขาหล่อมากกก!
อย่างไรก็ตาม คนพวกนั้นก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ
เพราะต่อให้มู่จวินฝานจะมีรอยยิ้มพิมพ์ใจมากเพียงใด และแม้ว่าเขาจะมีตำแหน่งเป็นถึงองค์รัชทายาท แต่เขาก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปมีส่วนร่วมเกี่ยวกับราชกิจ
พระสนมหลายคนในวังหลังเห็นว่าตำแหน่งของเขายังไม่มั่นคง แล้วพวกนางต่างก็วาดหวังว่าสักวันหนึ่งลูก ๆ ของพวกนางจะเข้ามาแทนที่เขาได้
นอกจากนี้พระสนมบางคนถึงขั้นแสดงท่าทีดูถูกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งลี่เฟยซึ่งตอนนี้มีอำนาจในการดูแลวังหลังทั้งหมด
ถ้าไม่ใช่เพราะลี่เฟยยังไม่มีทายาทในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นนางอาจจะปีนขึ้นไปเหยียบอยู่เหนือองค์รัชทายาทเป็นแน่
ดังนั้นในสายตาของทุกคนตอนนี้จึงมองเขาราวกับวีรบุรุษที่ไร้ซึ่งอำนาจ
แน่นอนว่ามู่จวินฝานเองก็สังเกตเห็นสายตาของคนเหล่านั้นเช่นกัน แล้วรอยยิ้มที่อ่อนโยนก็เปลี่ยนเป็นการแสยะยิ้ม
นั่นทำให้ใบหน้าที่หล่อเหลาของเด็กหนุ่มดูหยิ่งทะนงมากยิ่งขึ้น
ท่าทางนั้นส่งผลให้หลายคนหวาดกลัวจนตัวสั่น และสายตาที่เคยจับจ้องเขาก็หลบเลี่ยงออกไปในทันใด
ไม่ว่าตำแหน่งของเขาจะไม่มั่นคงเพียงใด แต่รัชทายาทก็ยังคงเป็นองค์ชายใหญ่!
“ท่านแม่ เย็นนี้ท่านพี่รัชทายาทจะอยู่กินข้าวด้วย ไป๋ไป่มีการบ้านเยอะมาก ท่านพี่รัชทายาทจะต้องอยู่คุยกับไป๋ไป่อีกนานแน่นอน”
“...” มู่จวินฝานที่ได้ยินดังนั้นก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรออกไปดี
เจ้าตัวน้อยคนนี้ไม่รู้จักเกรงใจกันบ้างเลยหรืออย่างไร
“นี่…” หว่านผินรู้สึกลังเลเล็กน้อย
มู่จวินฝานมีตำแหน่งเป็นถึงองค์รัชทายาท และนี่ก็คือวังหลัง เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหา เขาอาจจะไม่เต็มใจที่จะอยู่รับประทานอาหารที่ตำหนักอิ๋งชุน
มู่ไป๋ไป่ที่สังเกตเห็นท่าทีของผู้เป็นแม่จึงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และจับมือของพี่ชาย
เธอแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาขณะกล่าวว่า “ท่านพี่รัชทายาท อาหารในตำหนักอิ๋งชุนอร่อยมากเลยเพคะ แม้แต่เสด็จพ่อยังเอ่ยปากชม”
ถ้าแม่ของเธออยากจะหาคนหนุนหลัง เธอจะต้องสนับสนุนนาง
ยิ่งไปกว่านั้น จากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม องค์รัชทายาทผู้นี้เป็นคนที่นิสัยดีมาก ดังนั้นมันจึงไม่เสียหายอะไรหากเธอจะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเขาตั้งแต่เนิ่น ๆ
“เวลากินข้าวเราต้องกินกับคนในครอบครัว อาหารถึงจะอร่อย!” เสียงของมู่ไป๋ไป่ก้องกังวานไปทั่ว
ในยามที่เด็กหญิงยิ้ม แก้มสีชมพูของเธอก็ชัดขึ้นทำให้เจ้าตัวดูงดงามมาก
เมื่อมู่จวินฝานเห็นเช่นนี้ เขาก็ยกมือขึ้นแตะคางตัวเองเบา ๆ ก่อนจะตอบกลับแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก
“ท่านแม่ ท่านพี่รัชทายาทตกลงแล้วเพคะ!”
มู่ไป๋ไป่ส่งเสียงโห่ร้อง “คืนนี้จะต้องจัดสำรับให้พิเศษขึ้นหน่อย ไป๋ไป่อยากกินปลาเปรี้ยวหวาน แล้วยังมีรากบัวกับดอกกุ้ย แล้วก็เจ้าส้มอยากกินน่องไก่”
หว่านผินยิ้มกว้างก่อนจะดีดหน้าผากลูกสาวเบา ๆ “ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ หากอยากจะให้เพิ่มสำรับก็ควรเพิ่มอาหารที่องค์รัชทายาทชอบกินเข้าไปด้วย ทำไมเจ้าถึงพูดแต่สิ่งที่เจ้าอยากกินอยู่ฝ่ายเดียว?”
มู่ไป๋ไป่หันกลับมาถามพี่ชายทันที “ท่านพี่รัชทายาท อาหารที่ไป๋ไป่เอ่ยถึงนั้นอร่อยมาก ท่านอยากลองชิมดูหรือไม่เพคะ?”
ตามปกติแล้วมู่จวินฝานไม่ได้ใส่ใจเรื่องอาหารการกินของตนเองมากนัก ส่วนใหญ่สำรับที่ถูกจัดเตรียมมาให้เขามักจะเป็นอาหารที่จืดชืดมาก
เมื่อเขาได้ยินชื่ออาหารที่เด็กหญิงเอ่ยออกมา ทันใดนั้นเขาก็เกิดความรู้สึกอยากจะลองชิมมันจริง ๆ
“ท่านแม่ ดูสิ ท่านพี่รัชทายาทพยักหน้าอีกแล้ว”
หลังจากที่มู่จวินฝานตอบกลับ มู่ไป๋ไป่ก็เชิดหน้าขึ้นพร้อมกับส่งสายตามองผู้เป็นแม่ด้วยท่าทางแก่นแก้ว
“เจ้านี่นะ…” หว่านผินส่ายหัวเบา ๆ “เจ้ายกองค์รัชทายาทมาอ้างเพื่อเหตุผลส่วนตนชัด ๆ”
มู่ไป๋ไป่แลบลิ้นให้แม่ตัวเองก่อนจะพามู่จวินฝานไปที่ห้องอ่านหนังสือเพื่อให้เขาได้สอนการบ้านเธอ
ถึงแม้จะพูดว่าเด็กหนุ่มมาสอนการบ้านเธอ แต่เธอกลับไม่รู้อะไรสักอย่างที่เขาสอน พอเขาเอ่ยปากถามคำถามอีกครั้ง เด็กหญิงก็นั่งกะพริบตาปริบ ๆ มองคนเป็นพี่ชายด้วยดวงตากลมโตไร้เดียงสา
สุดท้ายแล้ว มู่จวินฝานก็หยิบพู่กันจากมือของมู่ไป๋ไป่มาเขียนเลียนแบบลายมือที่คดเคี้ยวของอีกฝ่ายเพื่อช่วยเธอทำการบ้านของวันนี้ให้เสร็จ
ในเวลาเดียวกัน มู่เทียนฉงที่เพิ่งเสร็จสิ้นราชกิจของวันนี้ก็เข้ามาเห็นฉากดังกล่าวพอดี
ปัจจุบันคนตัวเล็กกำลังกอดเจ้าแมวสีส้มตัวอ้วนนอนอยู่บนตั่ง นางนอนหลับสนิทโดยมีรอยหมึกเปื้อนอยู่บนใบหน้าที่เกลี้ยงเกลา
ส่วนทางด้านมู่จวินฝานกำลังเขียนอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าจริงจัง แต่ภาพนั้นกลับดูกลมเกลียวและอบอุ่นยิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม มู่เทียนฉงกลับรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
เพียงแค่วันเดียว องค์หญิงหกของเขาก็สนิทสนมกับคนอื่นจนถึงขั้นนี้แล้ว แล้วแบบนี้เขาจะมีความสุขได้อย่างไร?
เมื่ออันกงกงเห็นว่าใบหน้าของฮ่องเต้เริ่มดูถมึงทึงมากยิ่งขึ้น เขาจึงกระแอมในลำคอเบา ๆ เพื่อเตือนองค์รัชทายาทที่กำลังจดจ่ออยู่กับการเขียนบางสิ่ง
“เสด็จพ่อ?” มู่จวินฝานยังคงรู้สึกสับสนเมื่อเห็นผู้เป็นพ่อ
แต่พอเขาแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดไป เขาก็รีบวางพู่กันลงและลุกขึ้นทำความเคารพอีกฝ่าย โดยไม่ลืมที่จะสะกิดมู่ไป๋ไป่ให้รีบตื่นจากฝัน
“หืม? ท่านพี่รัชทายาท ท่านเขียนเสร็จแล้วหรือ?” เด็กหญิงยังคงสะลึมสะลือขณะที่พูด “ถึงเวลากินข้าวแล้วหรือยังเพคะ?”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 38
แสดงความคิดเห็น