บทที่ 1: อี๋เหม็น
บนภูเขาด้านหลังวังหลวงมีเสือตัวหนึ่งคอยเฝ้าอยู่ที่นั่น
ขณะนี้ร่างผอมบางกำลังยืนอยู่นอกกรงเพียงลำพัง
เสือที่โตเต็มวัยถูกขังอยู่ในกรงเหล็กตรงหน้าของร่างบอบบางนั้น หางของมันเหวี่ยงไปมาเหมือนแส้เหล็ก แล้วหางที่กระทบกับเสาเหล็กก็เกิดเสียงดังก้องไปทั่ว
ข้างหลังของมันมีเศษซากของกวางอยู่บนพื้น หากร่างผอมบางนั้นไม่ระวัง เธออาจจะกลายเป็นอาหารอันโอชะของเสือเช่นเดียวกับกองเนื้อด้านหลัง
“อี๋…เหม็นชะมัด…”
กลิ่นอะไรน่ะ?
ทันทีที่ ‘มู่ไป๋ไป่’ ลืมตาขึ้น กลิ่นคาวของเนื้อเน่าก็พุ่งเข้ามาในจมูกของเธออย่างรวดเร็ว
เธอรีบยกแขนเสื้อขึ้นปิดปากและจมูกของตัวเอง
จู่ ๆ หญิงสาวก็ต้องตกใจ เพราะมือที่ปิดจมูกของเธอคือมือของใครกัน…
จากนั้นเธอก็ก้มศีรษะลงมองแล้วเห็นชุดกระโปรงยาวที่คลุมถึงข้อเท้าของตนเอง โดยที่บริเวณชายกระโปรงปักลายดอกพุดตานดูงดงามมาก
ชุดนี้มัน… อะไรกัน?
ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งถูกแม่ของเธอคอยจับตามองในขณะที่กำลังท่องหนังสือ แล้วทำไมจู่ ๆ เธอถึงโผล่มาที่นี่ล่ะ?
ทันใดนั้นเสือตัวใหญ่ในกรงก็กระโจนเข้าใส่เธอพร้อมกับอ้าปากกว้าง
“โฮกกกกก!!”
มู่ไป๋ไป่ตกใจกลัวจนถอยหลังหนีไปตามสัญชาตญาณ
ถ้าไม่ใช่เพราะมีกรงเหล็กขวางกั้นทั้ง 2 เอาไว้ เสือตัวโตคงจะกลืนกินเธอเข้าไปเรียบร้อยแล้ว
ขณะนี้หัวใจของหญิงสาวเต้นเร็วแรงมากจนแทบจะทะลุออกจากอก และเธอก็ยังคงสับสนเพราะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนกันแน่
ในเวลาเดียวกันก็มีคน 4-5 คนยืนประปรายอยู่บริเวณรอบ ๆ เพื่อคอยปราบปรามเสือ
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือชายที่ยืนอยู่ข้างหน้า เขาสวมชุดปักลายมังกรสีเหลืองสดใสและมีเข็มขัดหยกพันอยู่รอบเอว ยามนี้ชายคนนั้นยืนเอามือไพล่หลัง ยิ่งขับให้เขาดูทรงอำนาจ เข้าถึงยาก และเย็นชามากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังมีเด็กตัวเล็กยืนอยู่ข้างกายเขา ซึ่งเด็กคนนั้นก็สวมเสื้อผ้าหรูหราเช่นเดียวกัน
เมื่อเห็นมู่ไป๋ไป่แสดงท่าทีหวาดกลัวจนหัวหด เด็กผู้หญิงคนนั้นก็หัวเราะเสียงดัง
ขณะที่หญิงสาวกำลังเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าใครกำลังหัวเราะเธออยู่ ก็มีเสียงที่น่ากลัวดังเข้ามาในหู “ปล่อยเสือร้ายตัวนั้นออกมากินนางซะ”
“!!!”
‘มู่เชียน’ ที่ได้ยินคำพูดนั้นก็หัวเราะชอบใจ “เสด็จพ่อ พระองค์ทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก!”
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงอย่าได้ทำเช่นนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ!” เสนาบดีที่ติดตามฮ่องเต้คุกเข่าลงกับพื้นด้วยความตื่นตระหนก
“แค่เพียงคนโง่คนหนึ่ง ถูกเสือกินไปก็นับว่ามีประโยชน์ขึ้นมาบ้าง” ชายผู้ดำรงตำแหน่งฮ่องเต้กล่าวเสียงเรียบ
“ฝ่าบาท แม้ว่าองค์หญิงหกจะเป็นคนโง่เขลา แต่เสือตัวนี้มีสัญชาตญาณดุร้ายกว่าเสือทั่วไป อีกทั้งมันไม่ได้ลิ้มรสเนื้อมนุษย์มานานหลายปีแล้ว หากครั้งนี้มันได้กินมนุษย์เข้าไป กระหม่อมเกรงว่าเราจะไม่สามารถควบคุมมันเอาไว้ได้อีก ฝ่าบาท ขอให้พระองค์ทรงไตร่ตรองอีกครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ขณะเดียวกัน มู่ไป๋ไป่จ้องมองไปยังผู้คนที่อยู่ด้านนอกกรงเสือ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกหายใจไม่ออก
ฮ่องเต้… องค์หญิงใหญ่… เสนาบดี…
ไม่นานความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมก็ไหลบ่าเข้ามาในสมองของเธอ
ในตอนนั้นเอง หญิงสาวก็หน้าซีดด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง
นี่ฉันทะลุมิติมาในอดีตเหรอเนี่ย!
ตอนนี้เธอได้กลายเป็นองค์หญิงหกของแคว้นเป่ยหลง เนื่องจากนางโง่เขลาไร้ความสามารถ นางจึงไม่ได้รับความโปรดปรานจากผู้เป็นพ่อสักเท่าไหร่ แต่นางเป็นเพียงเด็กอายุ 4 ขวบครึ่งเท่านั้น
ชายในชุดคลุมมังกรก็คือ ‘มู่เทียนฉง’ ฮ่องเต้แห่งแคว้นเป่ยหลง ซึ่งเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของมู่ไป๋ไป่ด้วย
มู่เทียนฉงได้ขึ้นครองราชย์มานานหลายปีแล้ว เขาเป็นคนเจ้าอารมณ์ที่สามารถสั่งประหารใครก็ได้เพื่อระบายความโกรธของตัวเองหากคนผู้นั้นทำสิ่งใดผิดพลาด ดังนั้นขุนนางทุกคนจึงคอยระวังทุกการกระทำและคำพูดของตนเอง ไม่มีใครกล้าทำให้เขาโกรธเลยแม้แต่คนเดียว เพราะกลัวว่าหากพวกเขาเผลอพูดไม่เข้าหูหรือทำอะไรผิดไป พวกเขาก็จะถูกสั่งตัดหัวโดยที่ไม่สามารถอุทธรณ์ได้อีก
ถึงกระนั้น ชายคนนี้ก็มีจุดอ่อนร้ายแรงเช่นกัน ซึ่งก็คือมู่เชียน บุตรสาวคนโตและเป็นบุตรสาวที่เกิดกับฮองเฮาผู้เป็นที่รัก
ฮองเฮาสิ้นพระชนม์ตั้งแต่องค์หญิงใหญ่ยังเยาว์วัยนัก ดังนั้นความรักทั้งหมดที่เขามีต่อฮองเฮาจึงถูกถ่ายทอดไปยังมู่เชียน
และเนื่องจากการถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมตามใจมาโดยตลอด มู่เชียนจึงเป็นคนอารมณ์ร้ายมาตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งไม่ต่างจากพ่อของนาง เจ้าตัวจึงชอบใช้ความรุนแรงแถมยังสามารถฆ่าคนได้เพื่อความสนุกสนานส่วนตัว
ไม่ว่าเหล่าข้ารับใช้หรือนางสนมเห็นองค์หญิงใหญ่ ทุกคนก็รู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับปีศาจ หากไม่นับมู่เทียนฉง นางเองก็ถือว่าเป็นอันธพาลสุดเลวร้ายในวังหลวงคนหนึ่ง
เหตุผลที่มู่ไป๋ไป่เข้ามาในบริเวณกรงเสือในครั้งนี้ก็เพราะว่าองค์หญิงใหญ่ใช้ขนมหลอกล่อให้นางมาที่นี่
หลังจากนั้นมู่เชียนก็แสร้งไปบอกฮ่องเต้ว่ามู่ไป๋ไป่ได้เข้ามาซุ่มโจมตีเสือโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งหมดที่นางทำก็เพื่อให้พ่อของนางปล่อยเสือที่ดุร้ายออกมากัดกินเด็กหญิงตัวน้อยให้นางได้ชมเพื่อความเพลิดเพลิน
สาเหตุที่นางทำเช่นนี้ก็เพราะเมื่อ 2-3 วันก่อนมู่ไป๋ไป่เดินถือชามน้ำแกงแล้วบังเอิญล้ม ทำให้น้ำแกงหกใส่รองเท้าของนาง
ในตอนนั้นนางสั่งให้คนจับองค์หญิงหกคุกเข่าขอโทษนางไปแล้ว แต่มันก็ยังไม่สาแก่ใจ นางต้องการชีวิตของอีกฝ่ายเป็นการไถ่โทษ!
หากเสนาบดีไม่เข้ามาขวางแผนการของนางเอาไว้ มู่ไป๋ไป่คงถูกฆ่าไปนานแล้ว
ข้าไม่ยอม!
“เสด็จพ่อ นางเป็นคนที่บุกเข้าไปซุ่มโจมตีเสือโดยไม่ได้รับอนุญาต เราเพียงแค่ปล่อยให้เสือร้ายออกมากินนาง นี่จะช่วยให้พระองค์ประหยัดเวลาไม่ต้องลงมือเองให้เสียมือด้วยเพคะ” มู่เชียนยังคงพูดใส่ไฟต่อไป
ขณะนั้นมู่ไป๋ไป่จับจ้องไปที่ใบหน้าของคนโกหกหน้าตาย พร้อมกับกัดฟันแน่นด้วยความเกลียดชัง
ก็เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่านางเป็นคนหลอกให้เจ้าของร่างเดิมมาที่นี่ แต่ตอนนี้นางกลับบอกว่าตนบุกรุกเข้ามาที่นี่โดยไม่ได้รับอนุญาตเสียอย่างนั้น
นี่นางคิดว่าฉันเป็นคนอ่อนแอที่ปล่อยให้คนอื่นรังแกได้ง่าย ๆ งั้นเหรอ?
มู่เชียนคุ้นเคยกับการได้แกล้งคนอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก นางเป็นเหมือนผู้หญิงแพศยาที่ใช้มารยาคอยเป่าหูยั่วยุคนอื่นให้ทะเลาะกัน ซึ่งเหล่าผู้มีอำนาจทั้งหลายดูเหมือนจะคุ้นเคยกับการกระทำเช่นนี้จนมองไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมู่เทียนฉง เขาไม่อาจต้านทานความน่ารักและออดอ้อนของบุตรสาวคนโตได้เลย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มู่ไป๋ไป่คงทำได้เพียงผลักเรือไปตามน้ำก่อน แล้วค่อยพลิกเรือกลับเผยให้เห็นธาตุแท้ของอีกฝ่ายจะเป็นการดีกว่า
บัดนี้ดวงตาของมู่ไป๋ไป่เป็นประกาย ในขณะที่เธออยากจะลองสู้ดูสักตั้ง
แล้วหญิงสาวในร่างเด็ก 4 ขวบครึ่งก็พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบากับชายผู้สง่างามที่กำลังจะตัดสินชีวิตของตน “ท่านพ่อ ฮึก…หม่อมฉันขอโทษ… หม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉันจะไม่ทำเช่นนี้อีก…”
เสียงที่นุ่มนวลแฝงไปด้วยความออดอ้อนดังขึ้น
ในเวลานี้นัยน์ตาของมู่เทียนฉงมีประกายบางอย่างอย่างเห็นได้ชัด
เสียงที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดนี้เป็นเหมือนน้ำทิพย์ที่ขจัดความโกรธให้สลายหายไปในพริบตา
ท่านพ่อ?
ตัวเขานั้นมีลูกมากมาย และนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าเรียกเขาว่าท่านพ่อ
นางเสียใจอย่างนั้นหรือ?
เจ้าตัวเล็กนี่คงกำลังรู้สึกผิดจริง ๆ
ในใจของชายผู้ยืนอยู่เหนือคนทั้งปวงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลกประหลาด แล้วสุดท้ายเขาก็มองสำรวจเด็กหญิงตัวเล็กตรงหน้าให้เต็มตามากยิ่งขึ้น
เด็กน้อยคนนี้มีใบหน้าขาวนวล ปากที่กำลังสั่นเทาและดวงตาที่มีน้ำตาคลอหน่วยสะท้อนกับแสงแดด ทำให้นางดูน่ารักราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ
มันจะเป็นเรื่องน่าเสียดายหรือไม่หากปล่อยให้เสือกินเด็กน้อยที่น่ารักเช่นนี้เข้าไป?
“เสด็จพ่อ น้องหกช่างบังอาจยิ่งนัก! เสด็จพ่อเป็นถึงโอรสสวรรค์ แต่นางยังกล้าบังอาจเรียกพระองค์แบบนั้นอีก ดูเหมือนนางจะไม่ให้ความเคารพพระองค์เลย!”
มู่เชียนแทบอยากจะรีบพุ่งออกไปฉีกมู่ไป๋ไป่เป็นชิ้น ๆ ทันที
นังเด็กบ้านี่! นางบังอาจมาแสดงท่าทีอ่อนแอเพื่อแย่งความโปรดปรานจากเสด็จพ่อของข้า!
ขณะเดียวกัน ทางด้านมู่เทียนฉงยังคงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวใด ๆ
ในความทรงจำของมู่ไป๋ไป่ ฮ่องเต้พระองค์นี้มักจะทำตามคำพูดขององค์หญิงใหญ่ ลูกสาวสุดที่รักของเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข
แต่ตอนนี้… ดูเหมือนว่าเขาจะกำลังลังเลอยู่
นี่ฉันรอดตายแล้วใช่ไหม?
ขณะที่เธอกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฟองน้ำมูกก็โผล่ขึ้นมาจากรูจมูกของเธอ ก่อนที่มันจะแตกเบา ๆ
รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้อยู่ในสายตาของมู่เทียนฉง เขาเห็นมันชัดเจนส่งผลให้คิ้วดุดันขมวดเข้าหากันทันที
มู่ไป๋ไป่เองก็ถึงกับนิ่งอึ้ง…
จากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม พ่อที่อารมณ์ร้ายของนางเป็นคนเจ้าระเบียบมากถึงขั้นไม่ยอมให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย
แล้วฟองน้ำมูกเมื่อกี้นั้น…
มันจบแล้ว ฉันเผลอทำให้เขาโมโหเข้าให้แล้ว!
“เสด็จพ่อไม่รักหม่อมฉันแล้วหรือเพคะ?”
ขณะที่มู่ไป๋ไป่กำลังกระวนกระวายใจ น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความน้อยใจขององค์หญิงใหญ่ก็ดังขึ้น
ดวงตาของมู่เทียนฉงเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที จากนั้นเขาก็ยืนยันคำสั่งเดิม “ปล่อยเสือร้ายตัวนั้นออกมากินนางซะ”
“...”
ใครก็ได้ช่วยด้วย! ฮ่องเต้จะปล่อยให้เสือออกมากินลูกสาวตัวเองแล้ว!
ยามนี้มู่ไป๋ไป่ทำได้เพียงกรีดร้องในใจ
เมื่อเหล่าทหารรักษาพระองค์ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ พวกเขาก็เข้ามาดึงประตูกรงเหล็กให้เปิดออก
หลังจากหมุนกลไกแล้ว ประตูเหล็กที่ขึ้นสนิมก็ยกขึ้น
เสียงโลหะเสียดสีกันดังขึ้นอย่างต่อเนื่องสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ สิ่งเดียวที่ขวางกั้นระหว่างเสือตัวใหญ่กับมู่ไป๋ไป่ก็ค่อย ๆ เปิดออก
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: เปิดมาตอนแรกนางเอกของเราก็จะโดนเสืองาบซะแล้ว ตอนต่อไปจะเป็นยังไงหนอ
สวัสดีนักอ่านทุกท่านค่า นี่คือผลงานแปลเรื่องใหม่ของเสี่ยวเถียวเอง ฝากทุกคนติดตามกันด้วยน้า ถ้ามีจุดไหนที่ผิดพลาดไป สามารถเสนอแนะกันเข้ามาได้เสมอนะคะ แล้วเสี่ยวเถียวจะนำไปปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นค่ะ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 142
แสดงความคิดเห็น