Chapter 3 คำให้การจาก เพื่อนสนิท
กลิ่นฉุนจากน้ำหอมเริ่มทำให้ผมปวดหัวจนอยากอาเจียนออกมา แสงสลัวจากโคมไฟทรงโบราณผสมกับแสงสีขาวจากดวงไฟเล็กๆ ที่ติดรอบกระจกทำให้ที่นี่ไม่ต่างไปจากโลกในเทพนิยาย Dark fantasy สักเรื่องหนึ่ง ไม่อยากจะเชื่อว่ายิ่งผมสืบค้นเกี่ยวกับชายหนุ่มผู้สูญหายคนนี้มากขึ้นเท่าไร มันยิ่งพาผมไปในสถานที่แปลกประหลาดเหนือความคาดหมายของผมมากขึ้นเท่านั้น เช่นในตอนนี้ที่ผมนั่งอยู่ในห้องแต่งตัวของโรงละครเก่า ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นสถานที่แสดงนางโชว์สาวประเภทสองที่ต้องแอบเปิดบริการกันใต้ดิน
ขนนกสังเคราะห์และเครื่องประดับที่ทำจากพลาสติกราคาถูกล้วนเป็นเสมือนอาภรณ์ของห้องๆ นี้ เสื้อผ้ากรุยกรายเคล้ากลิ่นบุหรี่มันสุดแสนจะเหนือจินตนาการ เช่นเดียวกับที่ผมจินตนาการไม่ออกเช่นกันว่าชายหนุ่มผู้สูญหายคนนั้นจะมีเพื่อนสนิทเป็นนางโชว์ ผมนั่งรออยู่บนโซฟาขาดวิ่นมานานนับชั่วโมงแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าคนที่ผมกำลังรอจะทำการแสดงจบในเร็วๆ นี้ ผมสังเกตเห็นแสงสีขาวอยู่หน้าม่านสีแดงมันยังคงสว่างอย่างต่อเนื่องสลับกับบทเพลงชวนให้ออกสเต็ป ที่ในบางทีก็มีแสดงการเล่นมุกตลกระหว่างเพลงเพื่อสร้างความสนุกสนานให้กับผู้ชม
ผมรู้สึกว่าดวงตาผมถูกรบกวนด้วยแสงระยิบระยับจากเครื่องประดับและแสงสีต่างๆ ที่ลอดมาจากหน้าม่านสีแดง ผมจึงหลับตาลงเพื่อผ่อนคลายดวงตา แต่แล้วผมก็ได้ยินเสียงม่านสีแดงเปิดออก ดวงไฟสีขาวหน้าเวทีไม่มีอีกแล้ว ผมคาดว่าตอนนี้การแสดงคงเพิ่งจบลงไป ผมรีบดันตัวให้ตั้งตรงในขณะที่ดวงตาจับจ้องกับสาวประเภทสองที่อยู่ในชุดคลุมขนนกสีแดง บนหัวของเธอประดับด้วยคริสตัลคล้ายมงกุฎแต่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ เธอชายตามองผมเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่จะเดินไปถอดชุดคลุมขนนกสีแดงออกเหลือเพียงชุดว่ายน้ำประดับคริสตัลที่เธอสวมใส่อยู่ข้างใน
“นี่คุณยังไม่กลับอีกเหรอ? ดวงฉันยิ่งไม่ค่อยถูกกับพวกตำรวจอยู่ด้วย”
ตอนนี้เธอกลับมานั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าจกพร้อมกับหยิบสำลีแผ่นหนึ่งเตรียมเช็ดเครื่องสำอาง
“ผมมาสืบเรื่องของเพื่อนคุณที่หายตัวไป คุณพร้อมจะให้ปากคำกับผมหรือยัง?”
ผมมองเธอผ่านกระจก แล้วผมก็เห็นเธอหยุดชะงักเพียงเสี้ยววินาทีในตอนที่ผมพูดเรื่องการหายตัวไปของเพื่อนสนิทของเธอ
“คุณพอจะเล่าเรื่องของชายคนนั้นให้ผมฟังไหม?”
ในตอนที่ผมพูดจบประโยค เธอก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ก่อนที่จะนอนฟุบตบโต๊ะตรงหน้าหัวเราะจนแทบขาดใจกับคำพูดของผม
“ชาย!? ฉันอยากให้มันได้ยินคำพูดนี้ของคุณจัง ป่านนี้คุณคงโดนมันตบหน้าคว่ำไปแล้ว”
เธอยังคงหัวเราะตัวงอในขณะที่เธอก็มองใบหน้าผมไปด้วย ไม่รอช้าผมลุกขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้ตัวข้างๆ หน้ากระจก มันจึงทำให้เธอหยุดหัวเราะแล้วมองมาที่ผมอย่างคะเนถึงการกระทำของผม
“คุณหมายความว่าอย่างไร ที่บอกว่าชายคนนั้นไม่ใช่ผู้ชาย”
เธอจ้องมองเข้ามาในดวงตาผมอยู่สักพัก ดวงตาของเธอมีสีน้ำตาลเข้มมีแววประกายของความเศร้าและรอยร้าวที่แก้วตาเล็กๆ ผมเดาว่าเธอคงมองเห็นโลกใบนี้ไม่สมบูรณ์เท่าไรนัก มันอาจจะฟุ้งเบลอมากกว่าความเป็นจริง นางโชว์สาวหัวเราะให้กับการกระทำของผมอย่างกับว่าผมเป็นเด็กไร้เดียงสา แล้วเธอก็กลับไปบรรจงเช็ดใบหน้าต่อไป
“ถ้าคำว่า ‘ชาย’ ในความหมายของคุณคือร่างกาย มันก็คงจะใช่ แต่ถ้าคุณหมายถึงความคิดและความรู้สึก ฉันก็ขอบอกว่าคุณคิดผิด”
“เขาเป็นแบบคุณเหรอ?”
เธอหยุดเช็ดเครื่องสำอางแล้วทิ้งสำลีที่ถูกใช้แล้วลงในถังขยะใต้โต๊ะ เธอหันไปหยิบสำลีแผ่นใหม่ที่ชุบน้ำยาล้างเครื่องสำอางไว้อยู่แล้วบรรจงเช็ดไปที่รอบดวงตา
“แบบฉัน นี่มันหมายถึงแบบไหนเหรอ?”
“ก็…ผิดเพศ ไม่ตรงกับเพศกำเนิด”
“ในโลกของพวกคุณมันง่ายดีนะ ใครที่ไม่ใช่ชายจริงหญิงแท้ ก็นับว่าเป็นพวกผิดเพศไปหมด”
“แต่ธรรมชาติก็สร้างมนุษย์ให้มีแค่ผู้ชายกับผู้หญิงไม่ใช่หรือไง?”
คราวนี้เธอทิ้งลำสีที่อยู่ในมือแม้ว่ามันจะถูกใช้ไม่ถึงครึ่งแผ่นด้วยซ้ำ เธอหันมามองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ใช่ความโกรธเคือง ไม่ใช่ความเสียใจ แต่เป็นเพียงสีหน้าตั้งคำถาม
“คุณเชื่ออย่างนั้นจริงๆ เหรอ…คุณเชื่อว่าโลกเรามีเพียง ‘ชาย’ และ ‘หญิง’ แค่นั้นจริงๆ เหรอ?”
คราวนี้ถึงคราวที่ผมชะงักค้าง ไม่ใช่มาจากความหวาดกลัวสายตานั้น แต่เป็นเพราะผมคิด…ผมคิดตามในสิ่งที่เธอพูด
“แต่เอาเถอะ! พูดไปพวกคุณก็คงยังไม่เข้าใจหรอก ถ้ามันเข้าใจง่ายป่านนี้ฉันคงไม่ต้องมาใช้ชีวิตแบบนี้หรอก”
แล้วเธอก็หันกลับไปเช็ดลิปสติกสีแดงของเธอออก ผมเองไม่เข้าใจวูบความคิดที่เข้ามาในหัวกับคำพูดของเธอเมื่อครู่แม้แต่น้อย มันเหมือนผมจะเข้าแต่ก็ไม่เข้าใจในเวลาเดียวกัน ในเมื่อมันมีกำแพงค่านิยมคนรุ่นเก่าที่ผมไม่สามารถข้ามไปได้เสียที
“คุณอยากรู้อะไรเกี่ยวกับเพื่อนฉันบ้าง?”
เสียงของเธอดึงให้ผมหลุดจากความคิดของตัวเอง ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ตะกุกตะกักขอให้เธอเล่าว่าเพื่อนของเธอเป็นคนเช่นไร
“ตอนแรกฉันตกใจที่คุณบอกว่าเพื่อนฉันหายตัวไป แต่เมื่อคิดดูอีกทีแล้วฉันก็ไม่แปลกใจสักเท่าไร เพื่อนฉันมันเหมือนกับขนนกที่ลอยไปกับสายลม บางเบา สวยงาม และอ่อนไหว”
คำพูดเชิงกวีของเธอดึงดูดทำให้ผมอยากฟังทุกคำที่เธอเอื้อนเอ่ย เธอเล่าว่าเพื่อนของเธอ เขาเป็นคนอ่อนไหวง่าย และมักจะถูกคลื่นของความทรงจำกระหน่ำซ้ำเติมอยู่เสมอ แทบทุกครั้งที่เขามาหาเธอที่นี่ เธอจะเห็นคราบน้ำตาบนใบหน้าเขาตลอด
“ฉันไม่เคยเห็นใครเป็นเพื่อนกับความเศร้าและความโดดเดี่ยวได้ดีเท่ากับเพื่อนฉันอีกแล้ว”
เธอเล่าต่อว่าตั้งแต่ช่วงสมัยเรียนมัธยม เธอได้รู้จักกับเพื่อนของเธอเพราะทั้งสองเรียนอยู่ห้องเดียวกัน ในช่วงนั้นเพื่อนของเธอก็เหมือนกับเด็กทั่วไป มีทั้งสุขมีทั้งเศร้าปะปนสลับกันไปตามแล้วแต่สภาพอากาศแต่ละวัน แต่เรื่องทั้งหมดมันก็เริ่มพัฒนาในแนวดิ่งลงเหว หลังจากที่เพื่อนของเธอได้รู้จักกับยาพิษในคราบขนมหวานที่เรียกว่า ‘ความรัก’
“ฉันไม่เคยเห็นใครจมปักกับรักแรกได้เท่าเพื่อนฉันอีกแล้ว”
คราวนี้เธอพูดในขณะที่กำลังถอดวิกผมยาวจนเผยให้เห็นผมสั้นเตียน เส้นผมดำที่แท้จริงไร้การปรุงแต่งของเธออยู่ในสภาพรีบแบนเพราะถูกกดจากน้ำหนักวิกผมมานาน เธอนำมือขยี้ไปที่หนังศีรษะพร้อมขมวดคิ้วแน่น
“วิกบ้านี่เวลาใส่ก็คันหัวฉิบหาย!”
เธอสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะนำวิกสีบอลนด์ไปครอบกับหัวหุ่นหน้ากระจก ผมจ้องมองเธอค้างเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้าใกล้กับสิ่งที่ในชีวิตประจำวันของผมไม่มีโอกาสได้เห็น…สิ่งผิดปกติในสังคม
“ฉันพูดความจริงนะ! ฉันไม่ชอบผู้ชายที่เพื่อนฉันตกหลุมรักสักนิด”
“ผู้ชาย?”
คราวนี้เธอไม่ตอบโต้สิ่งใด ผมเดาว่าเธอคงจะคุ้นชินกับอาการประหลาดใจของผมเสียแล้ว เธอเพียงลุกขึ้นจากเก้าอี้หน้ากระจกแล้วไปที่หน้าเครื่องเล่นแผ่นเสียง พร้อมทั้งจับแขนยกเครื่องเล่นแล้วนำมันไปวางให้หัวเข็มลงพอดีในร่องแผ่นเสียงสีดำพอดี ไม่นานดนตรีแจ๊สชวนให้เคลิบเคลิ้มก็บรรเลงขึ้น เสียงเครื่องเป่าที่มาพร้อมกับไวโอลินมันทำให้บรรยากาศของห้องเหมือนอยู่ในความฝันมากกว่าเดิม
“แล้วเรื่องมันอย่างไงต่อ?”
ผมเห็นเธอหลุดโฟกัสจากการเล่าเรื่องไป ผมจึงย้ำเธออีกครั้ง
“ผู้ชายนี่เหมือนกันทุกคนเลย รีบร้อน ไร้ศิลปะ ถ้าคุณอยากรู้ก็มาเต้นรำกับฉันสักเพลงสิคะ”
ผมปฏิเสธในทันที หนึ่งเพราะผมเต้นรำไม่เป็น สองมันคงเป็นเรื่องไม่เหมาะสมที่จะใกล้ชิดกับเธอตอนที่อยู่กันลำพังเช่นนี้
“งั้นก็ไม่เป็นไร เรื่องที่ฉันจะเล่าก็มีแค่นี้แหละ เชิญกลับได้แล้ว”
ผมแทบหัวเสียในทันทีที่ดันโดนตัดบทสนทนากลางคันตอนถึงช่วงสำคัญ แววตาขบขันของเธอจ้องตรงมาคล้ายผู้ใหญ่ยามที่เห็นเด็กงอแงยามไม่ได้ของเล่น ร่างกายบอบบางของเธอมากกว่าผู้ชายทั่วไป ซึ่งตอนนี้อยู่ในชุดคลุมสีดำเป็นมันเงาเดินเข้ามาหาผม ก่อนที่จะยื่นมือมาตรงหน้าคล้ายกำลังเชื้อเชิญ
“เถอะน่า! ฉันไม่บอกใครหรอก”
ในที่สุดผมก็ทัดทานคำขอของเธอไม่ไหว ตอนนี้เราสองคนกำลังอยู่ในอ้อมแขนของกันและกัน เท้าของพวกเราก้าวไปตามจังหวะเนิบช้าของดนตรี รู้สึกถึงความอุ่นร้อนของลมหายใจเคล้าเสียงหัวใจเต้นของกันและกัน เพลงบรรเลงเนิบช้าแต่แฝงไปด้วยความร้อนแรง แสงไฟสีเหลืองนวลจากโคมไฟเก่าเก็บ แสงของมันยิ่งทำให้เราสองคนเหมือนหลุดเข้าไปในโลกที่ไม่มีจริง…โลกแห่งอิสระ
“เพื่อนของฉันมันทำทุกอย่างได้เพื่อความรัก แต่ความรักดันใจร้ายกับมัน ชายคนนั้นไม่เคยเห็นเพื่อนฉันอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย แต่ฉันคงไม่โทษเขาอยู่ฝ่ายเดียวหรอก เพราะฉันเข้าใจดี”
เธอกลับมาเล่าเรื่องของชายผู้สาบสูญต่อโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จังหวะก้าวช้าๆ มันทำให้ความคิดของผมเริ่มฟุ้งซ่านจนผมกล้ามากพอที่จะถามคำถามที่ไร้การกลั่นกรอง
“ผมว่าคนอย่างพวกคุณลึกๆ ก็คงรู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ ผู้ชายก็ต้องเลือกรักกับผู้หญิงอยู่วันยันค่ำ แล้วทำไมพวกคุณถึงยังใส่ใจกับเรื่องความรักกันอยู่ได้”
แล้วเสียงหัวเราะแผ่วเบาก็เกิดขึ้นข้างใบหูของผม เสียงนั่นแผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยความรู้สึก ผมรู้สึกว่ามันขมฝาดคล้ายยาขมแต่ในขณะเดียวกันก็โดดเดี่ยวจนใจหาย
“ก็เพราะพวกเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกันไง”
แล้วในจังหวะนั้นเธอก็หมุนตัวตามจังหวะเพลงแล้วกลับมาอยู่ในอ้อมแขนของผมเหมือนเดิม แม้ว่าเพลงมันจะจบไปนานแล้วก็ตาม
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 86
แสดงความคิดเห็น