มุกดาน้ำผึ้ง 3: ตามรอย
ตรืด..ตรืด..
เสียงสมาร์ทโฟนดังขึ้นขณะอติญากำลังตั้งใจทบทวนตำราอยู่หน้าโน้ตบุ๊ก เธอไม่ได้ตั้งสั่นไว้ เผื่อกรณีจำเป็นเวลาคนเรียกหา ตอนนี้ปกติจะเป็นช่วงว่างงานของเหล่าแม่บ้านในคฤหาสน์ ถ้าใครไม่มีเวรอยู่รอรับเรื่องภายในครัวก็มักจะขอตัวไปทำธุระอื่น แต่ระยะนี้ใกล้ตารางสอบเข้ามาทุกทีเธอจึงขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษซึ่งทุกคนก็เข้าใจ ทว่าเมื่อมือเรียวหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นดูเบอร์ก็ต้องขมวดคิ้ว
[คะพี่ป่าน?] พอเห็นว่าใครโทรมาอติญาจึงรีบกดรับทันที
[ค่ะ..ได้ค่ะ...ไม่เป็นไรค่ะ..ค่ะพี่ป่าน] รุ่นพี่แม่บ้านคนหนึ่งของหญิงสาวนั่นเอง ฝ่ายนั้นโทรมาขอให้เธอขึ้นไปปรุงน้ำอาบให้เจ้านายหนุ่มแทนตอนนี้ เพราะตนเองอาหารเป็นพิษกะทันหันจึงไม่สะดวกทำงานจริงๆ เธอแปลกใจเล็กน้อยที่รู้ว่าวันนี้ดิษกรกลับถึงบ้านก่อนหกโมงเย็น แถมสั่งคนเตรียมข้าวเตรียมน้ำให้อาบตั้งแต่ตะวันยังไม่ตก ซึ่งผิดวิสัยเขามากอยู่ แต่เธอก็คงทำได้เพียงสงสัย จนกว่าจะมีแม่บ้านคนอื่นมาเมาท์ให้ฟัง
ตอนอติญาเข้าห้องไปทีแรกก็ทำใจยากแล้ว เมื่อเปิดประตูเข้าไปพบชายหนุ่มถอดเสื้อเหลือแต่กางเกงทำงานท่อนล่างไว้ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกก็จริง แต่เธอก็ไม่เคยชินสักที ยิ่งหลังเตรียมน้ำอาบเสร็จกลับออกมาเจอร่างกำยำเหลือเพียงผ้าขนหนูปกปิดท่อนล่างผืนเดียวก็ยิ่งใจสั่น ไม่แน่ใจตนเองเหมือนกันว่าใจสั่นเขินหรือหวาดกลัว แต่คนที่มองมาเห็นชัดว่าใบหน้าเรียวกำลังขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างน่ารักแม้เธอจะก้มหน้ามุดอยู่ก็ตามที
“คุณเกรซ” ดิษกรเรียกไว้ขณะเห็นร่างบางกำลังจะเดินออกจากห้องไป
“ค..คะคุณกัสโตร?” อติญาหันหน้ากลับไปหาเขา แต่ก็ยังไม่กล้าเงยหน้าซบตาตรงๆ
“ถ้าเจอแมวผม ฝากดูแลมันให้ด้วยนะครับ”
ใช่ เรื่องแมวเมื่อคืน เธอว่าจะถามเขาอยู่เหมือนกัน เพราะวันนี้อยู่ที่นี่ทั้งวันก็ยังไม่เห็นเงาตั้งแต่เช้าแล้ว
“ค..ค่ะคุณกัสโตร..เอ่อ..ไม่ทราบว่าคุณหนูชื่ออะไรคะ เกรซจะได้เรียกถูกค่ะ เผื่อคุณหนูจะชินง่ายขึ้น”
พอได้ยินคำถามนี้ดิษกรก็เพิ่งนึกได้ว่าตนเองยังไม่ได้คิดชื่อให้เขาในร่างแมวเลย แต่ขณะกำลังจะเอ่ยปากตอบไปส่งๆ ทันใดเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกลางสมอง พร้อมกับเสียงทุ่มเท่ที่เอ่ยออกไป
“จิเซล”
“ค่ะ..คุณหนูจิเซลนะคะ..เอ่อ..คุณกัสโตรมีอะไรจะใช้เกรซอีกไหมคะ” ด้วยความที่เอาแต่มองพื้น เธอจึงไม่ทันสังเกตว่าหลังพูดชื่อแมวเสร็จอีกฝ่ายก็ชะงักไปครู่หนึ่งด้วยความฉงนตนเอง ที่ดันตอบไปอีกชื่อไม่ใช่ชื่อที่ตั้งใจตอบแต่แรก แถมชื่อนั้นใครคนหนึ่งเคยเปรยกับเขาไว้นานแล้ว จริงๆ ก็เพิ่งนึกออกตะกี้นี้เอง
“ถ้ากัสจังมีน้องสาวแม่จะตั้งชื่อ จิเซล มีตัวจีขึ้นต้นชื่อเหมือนกับลูกดีไหม”
“คุณกลับไปช่วยงานพวกป้าแพงต่อเถอะครับ” สิ้นคำชายหนุ่ม เธอรับคำเรียบร้อยก็เปิดประตูออกไปทันทีโดยไม่ถามอะไรอีก ทั้งที่ยังมีเรื่องแมว คุณหนูจิเซลอยากคุยกับเขา แต่ก็คิดว่ารออีกฝ่ายจัดการตนเองเรียบร้อยก่อนดีกว่า
ดิษกรทิ้งตัวลงนอนในอ่างอาบน้ำ สูดหายใจเอากลิ่นหอมคุ้นเคยเข้าเต็มปอด น้ำอาบกลิ่นนี้คือกลิ่นโปรดตั้งแต่แม่ของเขายังมีชีวิต สูตรนี้แม่เป็นคนทำให้ และใช้อาบอยู่ประจำ เพราะมันมีคุณสมบัติช่วยเรื่องการไหลเวียนเลือด ผ่อนคลายร่างกายและอารมณ์ได้อย่างดี เขาใช้กลิ่นนี้เป็นปกติจนเกือบลืมว่าเริ่มมาจากใคร กระทั่งเอ่ยชื่อนั้นออกมาวันนี้
ความที่คิดอะไรไปด้วย อาบน้ำไปด้วย ทำให้ชายหนุ่มรู้ตัวอีกทีก็พบว่าใกล้ถึงเวลาตะวันตกดินแล้ว เขารีบออกมาจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อย และลงไปกินมื้อเย็นทันที อาการเร่งรีบทำอะไรของเขาทำเอาทุกคนแปลกใจ โดยเฉพาะหญิงสาวที่รอจะถามเรื่องแมวก็ยังชั่งใจไม่กล้าพูดออกมาตอนนั้น กระทั่งข้าวในจานหมดร่างสูงก็ลุกพรวดขว้าขวดน้ำวิ่งขึ้นห้องไปทันทีใครก็เรียกไว้ไม่ทัน ทุกคนทราบเพียงว่า เจ้านายหนุ่มสั่งห้ามไม่ให้ใครไปรบกวน
ประตูไม้ลายสวยปิดลงตอนหนึ่งนาทีสุดท้ายพอดี ใบหน้าหล่อเหลายกสมาร์ทโฟนขึ้นดูเวลาก็ใจหายวาบ อีกไม่ถึงนาทีแล้ว แม้ใจยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับสิ่งที่เจอแต่เขาก็ต้องกันไว้ก่อน ขาแข็งแรงก้าวไปทรุดตัวบนเตียงใหญ่ พลางยกสมาร์ดโฟนดูเวลาอีกครั้งด้วยหัวใจเต้นระทึกเมื่อเห็นว่าตัวเลขในหน้าจอเดินหน้าไปเรื่อยๆ จวนจะสิบเก้านาฬิกา
หน้าจอสมาร์ทโฟนปรากฎตัวเลขบอกเวลายี่สิบสามนาฬิกาสี่สิบสองนาที เวลานี้จริงๆ อติญาควรเข้านอนแล้ว ติดเพียงก่อนหน้านี้ห้านาทีน้องชายวัยสิบเอ็ดขวบเพิ่งโทรมาตามให้ไปดูแม่ที่บ้าน เห็นว่าไม่สบายหนักจนเพ้อ เธอถามอาการจนแน่ใจจึงโทรเรียกรถพยาบาลไปรับ และกำลังจะตามออกไปดูอาการ ทว่าขณะเข็นรถมอเตอร์ไซค์ที่ยืมจากรุ่นพี่แม่บ้านในคฤหาสน์มากำลังจะพ้นประตูรั้วอะไรบางอย่างก็กระโดดใส่ตะกร้าหน้ารถอย่างไม่ทันตั้งตัวจนเธอตกใจ
“คุณหนูจิเซล!” แสงสว่างบริเวณหน้าคฤหาสน์มากพอให้หญิงสาวมองเห็นผู้มาเยือนชัดเจน เธอเรียกชื่ออีกฝ่ายก่อนจะได้รับเสียงเมี้ยวตอบกลับมาคล้ายทักทาย
“คุณหนูหายไปไหนมาทั้งวัน? เกรซกำลังจะออกไปทำธุระ ให้คุณหนูไปด้วยไม่ได้หรอก คุณหนูกลับไปหาคุณกัสโตรข้างบนก่อนนะ” เธอบอกับเจ้าแมวสีน้ำตาลสวยราวกับมันเข้าใจที่เธอพูด แต่กระนั้นเจ้าขอ่งร่างอ้วนขนฟูก็ร้องออกมานิดหนึ่งเหมือนจะตอบอะไรสักอย่าง แล้วทรุดตัวนอนขดในตะกร้าหน้ารถหน้าตาเฉยเป็นเชิงว่าจะนอนตรงนี้ล่ะ
“คุณหนูจะนอนตรงนี้ไม่ได้นะ เกรซจะต้องเอารถออกไปทำธุระ” เคลื่อนรถมอเตอร์ไซค์เลยหน้าประตูรั้วมาไม่มากก็หยุดเพื่อหันกลับมาอุ้มนายน้อยของตนกลับไปไว้ข้างใน จิเซลร้องเมี้ยวขึ้นท้วงทันทีเมื่อสองมือพยายามคว้าตัวมันยกขึ้นจากตะกร้า กงเล็บคมจิกเกี่ยวรูตะกร้าไว้แน่นอย่างขัดขืน
“คุณหนูจิเซลจะไปกับเกรซไม่ได้ เกรซจะไปทำธุระ อยู่กับคุณกัสโตรที่นี่ก่อนนะ” พูดพลางแกะกงเล็บน้อยที่เกาะเกี่ยวตะกร้าออกอย่างระมัดระวังไม่ให้อีกฝ่ายเจ็บ แต่ฝ่ายร่างเล็กในอ้อมแขนก็คิดสู้ พอขาหลุดจากตะกร้าก็พยายามเอื้อมมาเกาะไว้อีกหลายรอบจนตอนหลังเธอต้องยึดขามันไว้ไม่ให้เอื้อมมาได้อีก จากนั้นรีบอุ้มพาเข้ารั้วทันที
แม่บ้านสาวพาดิษกรในร่างแมวมาขังไว้ที่ห้องตนเองก่อนรีบออกไป ชายหนุ่มหงุดหงิดพอควรที่ทำอะไรไม่ได้อย่างใจเท่าตอนเป็นคน ใครกันคิดสาปเขาเป็นแมว แถมเป็นแมวตัวเมียพุงพลุ้ยอีกต่างหาก เจ็บใจที่แค่จะขัดขืนผู้หญิงร่างบางแบบนั้นก็ทำไม่ได้ สู้ไอ้แมวบ้ากามวันก่อนก็ไม่ถนัด คิดแล้วก็ได้แต่เดินงุ่นง่านไปมาอยู่ภายในห้องเล็กอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก่อนเสียงหนึ่งจะเอ่ยขึ้นมา
“เด็กคนนั้นไม่มีพิษมีภัยอะไรหรอก ที่เธอต้องระวังที่สุดคือแมวหื่นกระหายที่มาป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้มากกว่านะ”
คนในร่างแมวสะดุ้งโหยง เสียงใครบางคนโผล่มาแบบไม่มีตัวตนอีกแล้ว ใบหน้าเล็กกลมเหลียวซ้ายเหลียวขวาอย่างพยายามหาที่มาแต่ก็ไม่พบใคร
“ถ้าอยากออกไปเราจะเปิดประตูให้” เสียงไร้ที่มากล่าวคล้ายขำท่าทางของเจ้าสี่ขา ไม่เกินอึดใจประตูก็ลั่นดังแกร๊กแล้วเปิดอ้าออก
“ถ้าอยากหาอะไรทำแก้เบื่อ เดี๋ยวเราจะพาไปดูอะไรข้างนอก แต่อาจจะทุลักทุเลอยู่สักหน่อย แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องแมวตัวพ่อพวกนั้น เราจะคุ้มครองให้” เสียงนิรนามกล่าวต่อระหว่างเขากำลังลอดช่องแคบๆ ออกมาจากห้องแม่บ้าน
“คุณจะให้ผมไปดูอะไร?” ดิษกรถามออกมา ทว่าสิ่งที่คนทั่วไปได้ยินคือเสียงร้องเมี้ยวของเจ้าสี่ขาหนวดยาว
“ถ้าไม่อยากให้ใครได้ยินเสียงเธอ พูดกับเราในใจก็ได้ ส่วนจะพาไปดูอะไร คงจะเป็นอะไรที่ใครไม่เห็นกับตา ประจักษ์กับตัวก็คงไม่เชื่อว่ามีอยู่จริงกระมัง”
‘อะไร?’ ขณะเขากำลังจะอ้าปากอีกรอบ แต่นึกขึ้นได้ก่อนจึงเปลี่ยนเป็นพูดขึ้นในใจแทน
“บนโลกนี้มีหลายอย่างที่เธอไม่เห็น แต่รู้ได้ด้วยสติปัญญา แต่เอาล่ะ อย่าชัดช้าเลย กว่าจะไปถึงที่นั่นเดี๋ยวจะไม่ทันเวลาซะก่อน” เสียงนั้นพูดยิ้มๆ แฝงความนัยบางอย่าง แต่แล้วก็ตัดบทเปลี่ยนไปเรื่องอื่นเสียดื้อๆ ทำเอาคนในร่างแมวแทบตามไม่ทัน
“ตามภาพในหัวเธอมาละกัน” ใครคนนั้นทิ้งท้าย ก่อนภาพเส้นทางที่เขาต้องไปจะฉายขึ้นในสมองให้เดินตาม
รถมอเตอร์ไซค์สีแดงแล่นโดดเดี่ยวอยู่ในซอยเงียบสงัด สองข้างทางบ้านเรือนผู้คนปิดไฟมืดสนิทเหลือเพียงไฟรายทางที่ส่องสว่างเป็นระยะๆ ไม่ได้ชวนอุ่นใจเท่าไหร่นัก หลังจากตามไปดูอาการแม่เลี้ยงที่โรงพยาบาลเรียบร้อยอติญาก็พาน้องชายมาส่งที่บ้าน แต่ไม่คิดจะค้างด้วยเพราะรู้ว่าที่นั่นมีแม่บ้านของแม่เลี้ยงและพี่ชายต่างแม่เฝ้าอยู่ แม้ที่นั่นจะเคยเป็นบ้านที่อบอุ่นของเธอ ทว่าเมื่อแม่ผู้ให้กำเนิดเสียชีวิตไปและพ่อพาคนใหม่เข้ามาทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนแปลง นอกจากพ่อและน้องชายร่วมพ่อก็หาใครไว้ใจไม่ได้อีก ถึงน้องชายจะดื้อซนไปบ้างแต่ก็ยังได้ส่วนดีจากพ่อมามากต่อให้พ่อจะเสียชีวิตไปได้ปีกว่าแล้วก็ตาม
พี่ชายไม่ได้ตามไปที่โรงพยาบาลด้วยเพราะเพิ่งทราบข่าวตอนกลับจากงานคุมบ่อน ส่วนแม่บ้านสาวน้องชายบอกไปเรียกที่ห้องอยู่นานก็ไม่มีเสียงตอบรับ ความจริงแม่เลี้ยงของเธอไม่ได้มีเงินจนสามารถจ้างแม่บ้านหรอกถ้าไม่ใช่เสี่ยที่มาติดพันไม่ออกเงินให้ แต่ถึงแม่เลี้ยงจะมีเสี่ยคอยดูแลด้านการเงินก็ยังมิวายมาเบียดเบียนเธอเรื่อยๆ
อากาศคืนนี้ยังร้อนเหมือนเคย แม้สายลมที่พัดผ่านตอนรถมอเตอร์ไซค์เคลื่อนตัวจะช่วยให้เย็นขึ้นบ้าง แต่ส่วนลึกในใจกลับกระวนกระวายร้อนรุ่มอย่างบอกไม่ถูก สายตาที่มองตรงไปเบื้องหน้ายังเห็นถนนทอดยาวปกติจนไม่อาจคิดว่ามีอะไรไม่ดีรออยู่ ทว่ามือที่กำคันเร่งกลับเริ่มเย็นเฉียบและเกร็งขึ้นราวส่วนลึกสัมผัสบางอย่างได้ ก่อนเสียงหนึ่งจะดังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว
มอเตอร์ไซค์สองคันวิ่งขึ้นมาประกบซ้ายขวาอย่างจะไม่ให้มีทางหลีกหนีสะดวกนัก อีกห้าสิบเมตรข้างหน้าเป็นป่าสนทอดยาวราวร้อยเมตร เลยไปอีกเป็นสะพานข้ามแม่น้ำสายใหญ่ ไฟริมทางแม้จะสว่างแค่ไหนเวลานี้คงไม่ช่วยอะไรได้มากนักเมื่อรถที่สัญจรผ่านนานๆ ทีจะมีมาให้เห็นคันสองคัน สัญชาตญาณระวังภัยกระตุ้นให้สมองเริ่มคิดหาทางเอาตัวรอด มือบีบคันเร่งเต็มที่ และไม่เกินคาด คนพวกนั้นก็บิดตามมาติดๆ เช่นกัน
อติญาไม่คิดอยากจะหันมองด้านหลังสักนิดให้ตนเองเสียเวลาจดจ่อกับทางเบื้องหน้า ทว่าตาก็ยังเหลือบไปเห็นกระจกรถด้านซ้ายที่ปรากฏภาพรถจักรยานยนต์ที่วิ่งไล่มาติดๆ โดยคนบนรถหนึ่งในสองควักอะไรบางอย่างออกมาจากอกเสื้อแขนยาว จากนั้นไม่นานดาบยาวจากรถทางขวาก็ยื่นมาตรงหน้าพร้อมเสียงทุ้มนุ่มกล่าวกับเธอ
“จอดริมป่าสนข้างหน้าหน่อยไหมน้อง”
“....”
“พวกพี่มีทั้งมีด ทั้งปืน แถมรถก็แรงม้า ถ้าคิดจะหนีได้ง่ายๆ ก็ลองดูได้นะ”
“....” ไม่มีการตอบรับหรือปฏิเสธจากหญิงสาว แต่ตอนนี้ทั้งมีดและปืนก็เข้าถึงตัวเธอเรียบร้อย มอเตอร์ไซค์สามคันเรียงหน้ากระดานกันไปจนถึงป่าสน ที่ไม่ทราบว่าอะไรจะเหมาะเจาะให้บริเวณดังกล่าวแม้จะมีเสาไฟแต่ดวงไฟกลับมืดสนิท
“จอด” เสียงห้าวแหบจากทางด้านซ้ายเอ่ยขึ้นหลังจากทุกฝ่ายเงียบไปพักใหญ่ แน่นอนว่าเขาสั่งเธอ เหยื่อสาวเพียงคนเดียวเวลานี้
เมื่อรถจอดในจุดที่พวกมันต้องการ ไฟโทรศัพท์ของหนึ่งในสี่ที่คาดว่าทั้งหมดน่าจะเป็นชายก็สว่างขึ้น อติญาเดินลงจากรถเดินเข้าไปในป่าสนมืดๆ โดยมีสี่ร่างสูงผอมอ้วนกำยำคอยประกบทุกฝีก้าว หัวใจดวงน้อยเต้นโครมครามแทบคุมอาการตัวสั่นไม่อยู่ แต่ก็พยายามขมใจไว้สุดขีด หวาดวิตกว่าเหตุร้ายตอนเธอเริ่มเป็นสาวจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
“ง้าว!!!” ทันใดเสียงร้องของอะไรบางอย่างก็ดังขึ้นไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ก่อนตามมาด้วยเสียงร้องเจ็บปวดของหนึ่งในสี่ผู้คุมและเสียงปืนลั่นสนั่นทั่วบริเวณ เหยื่อสาวใช้จังหวะที่พวกนั้นกำลังตกใจกับสิ่งที่เหนือคาดหมายปัดมีดไปทางชายอีกคนจนคนโดนดาบเพื่อนตนเองบาดหน้าเข้าไปร้องลั่นและรีบวิ่งหนีเข้าไปในป่า แต่ก็โดนอีกคนที่ไหวตัวทันเตะสกัดขาเธอล้ม
“มึงมานี่เลย” ฝ่ายนั้นพุ่งมากระกระชากหัวหญิงสาวไว้ กำลังจะลากกลับไปหาพวกแต่จังหวะนั้นมือบางคว้าก้อนหินขนาดประมาณกำปั้นผู้ชายได้จึงยกขึ้นฟาดหัวอีกฝ่ายอย่างแรง ก่อนใช้จังหวะที่พอมีรีบกระโจนลงแม่น้ำใกล้ๆ หมายหนีเอาตัวรอด
“อีเหี้ย! มึง!” คนโดนหินทุบหัวแตกเข้าไปคำรามกร้าวทำท่าจะกระโดดตามลงไป แต่มือแข็งแรงของเพื่อนที่เหลือก็รั้งได้ทันฉิวเฉียดพลางด่าลั่น
“ไอ้จ๊าบมึงจะบ้าหรือไงวะ น้ำเหี้ยนี่ทั้งลึกทั้งเชี่ยว โดดลงไปตายเป็นศพทันทีนะมึง!”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 107
แสดงความคิดเห็น