บทที่ 306: คนผู้นี้เป็นใครกัน?
“เฟิ่งมู่ชิงต้องต่อสู้ครั้งนี้ด้วยตัวเอง” จิ๋วจิ่วพูดแบบไม่รู้สึกทุกข์ร้อนใด ๆ
“แต่นั่นคือคนที่แข็งแกร่งในขอบเขตก่อกำเนิด อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้นเขาก็จะกลายเป็นเซียนแล้ว ชิงชิงเพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดได้ไม่นาน นางจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไร!” จวินหรูเย่ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของนาง
“ท่านไม่มั่นใจในตัวนางงั้นหรือ?” จิ้งจอกสาวเหลือบมองอีกฝ่าย พร้อมกับส่งสายตาเตือนเขา
ตอนนี้ผู้สำเร็จราชการฯ หนุ่มยังคงมีความกังวลหลงเหลืออยู่ แต่เมื่อเขาสบสายตาของสตรีตรงหน้า คำพูดคิดไว้ก็หยุดลงกะทันหัน จนในที่สุดเขาก็ยอมแพ้
“ข้าเป็นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของชิงชิง”
“เฟิ่งมู่ชิงแตกต่างจากคนอื่น นอกจากนี้ ตราบใดที่ข้ายังอยู่ที่นี่ นางจะไม่มีวันเป็นอะไร”
พอจวินหรูเย่ได้ยินคำพูดของจิ๋วจิ่ว เขาก็เงียบลงก่อนจะหันไปมองความเคลื่อนไหวของชิงชิง แต่ใบหน้าเคร่งเครียดยังคงแสดงออกถึงความวิตกกังวลเพราะกลัวว่านางอาจจะได้รับบาดเจ็บ
ปัจจุบันผู้มีพลังในขอบเขตสร้างแก่นพลังทองคำทั้งหมดลงไปนอนกองกับพื้นหมดแล้ว ขณะนี้กู้จือชิวจึงรู้สึกหนักใจ เขาเหลือบมองชายหญิง 2 คนนั้นและเห็นว่าพวกเขาไม่มีเจตนาที่จะเข้ามาแทรกกลางระหว่างเขากับเฟิ่งมู่ชิง
คนพวกนี้ไม่ได้เป็นสหายกันหรอกหรือ? ทำไมไม่เข้ามาช่วยล่ะ หรือว่าพวกเขากำลังซ่อนอุบายอะไรเอาไว้?
ส่วนเฟิ่งมู่ชิงที่คอยห่วงหน้าพะวงหลังพอเห็นว่าทั้งจวินหรูเย่กับจิ๋วจิ่วไม่ได้เข้ามาแทรก นางก็รู้สึกเบาใจ
ไม่นานหลังจากที่นางก้าวเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิด มันก็ถึงเวลาที่นางควรประลองกับผู้อื่นเพื่อฝึกฝีมือ ในตอนนี้จู่ ๆ ก็มีผู้มีพลังในขอบเขตก่อกำเนิดส่งตัวเองมาถึงหน้าประตูบ้านของนาง มันเป็นเรื่องธรรมดาที่นางไม่อยากพลาดโอกาสดี ๆ แบบนี้
ท้ายที่สุดแล้ว ในดินแดนซิงหยุนมีผู้มีพลังไม่กี่คนเท่านั้นที่ก้าวขึ้นไปสู่ขอบเขตก่อกำเนิดได้สำเร็จ
แม้ว่าระดับพลังยุทธของตาเฒ่านี่จะสูงกว่านางมาก แต่นางก็จะพยายามต่อสู้ให้เต็มที่ นี่ยังไม่ได้นับรวมว่านางมีหลิวหลีกับจิ๋วจิ่วอยู่ข้างกายอีก ดังนั้นหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น การหลบหนีย่อมไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกนาง
หญิงสาวรู้ดีกว่าใครว่ามีเพียงการได้ต่อสู้จริงเท่านั้นที่สามารถทำให้การฝึกฝนของคนคนหนึ่งก้าวหน้าและมั่นคงยิ่งขึ้น
เฟิ่งมู่ชิงไม่อยู่เฉยอีกต่อไป นางทิ้งไว้เพียงภาพเงาหายตัวไปจากจุดที่เคยยืนอยู่และปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมกับกระบี่ปี้ลั่วในมือ
กู้จือชิวเหลือบมองกระบี่ในมือของหญิงสาวแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ
กระบี่เล่มนี้… พิเศษยิ่งนัก
ขณะนี้พลังวิญญาณธาตุไฟกำลังหลั่งไหลเข้าสู่ตัวกระบี่ไม่หยุด รวมทั้งแสงสีแดงที่เคลื่อนไปยังมือขวาของนาง หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางก็ตวัดมือขวาพร้อมกับกระบี่เป็นรูปคล้ายดอกไม้
แล้วดอกเหมยสีแดงบานสะพรั่งก็มุ่งไปทางกู้จือชิว
ความประหลาดใจเกิดขึ้นในดวงตาของชายชราเพียงชั่วครู่ ในไม่ช้าเขาก็โบกมือเบา ๆ ใบมีดลมที่ทรงพลังก็พุ่งออกมากลางอากาศฟาดฟันดอกเหมยสีแดงที่ลอยอยู่ให้เป็นชิ้น ๆ ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว
สตรีผู้นี้น่าสนใจมากทีเดียว นางสามารถผสานพลังวิญญาณธาตุที่แตกต่างกันเข้าด้วยกันและสร้างการโจมตีในแบบของตัวเองออกมา
น่าเสียดายที่วันนี้นางจะต้องมาตายอยู่ที่นี่
ทางด้านเฟิ่งมู่ชิงมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้สามารถทำลายการโจมตีของนางด้วยการเคลื่อนไหวครั้งเดียว นี่คือความแตกต่างระหว่างระดับพลังแต่ละขั้นใช่หรือไม่?
“หลิวหลี คราวนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”
“เชื่อมือข้าเถอะ!”
สิ้นเสียงของเด็กหญิง เปลวไฟสีแดงสลับฟ้าก็ไหลเข้าไปในตัวกระบี่แทนที่เปลวไฟสีแดงทันที
ชายสูงวัยที่เห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าตะลึงงัน และดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อยในขณะที่เขาจ้องมองกระบี่ปี้ลั่ว “เพลิงฟ้าดินบรรลัยกัลป์!”
เขารู้ถึงพลังของเพลิงฟ้าดินบรรลัยกัลป์เป็นอย่างดี แม้ว่าเขาจะอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสุดท้าย ทว่าหากเขาแตะต้องเปลวเพลิงนี้แม้แต่ปลายก้อย ตัวเขาก็ยังจะถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทำไมคนผู้นี้จึงสามารถฆ่ากู้จื่ออวี๋ต่อหน้าทุกคนโดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกสำนักฉวนชิงล้อมปราบปราม ด้วยความทรงพลังเช่นนี้ใครจะแตะต้องนางได้
กู้จือชิวเลิกดูถูกเด็กผู้หญิงคนนี้ทันที จากนั้นเขาก็เรียกใช้พลังในขอบเขตก่อกำเนิดเต็มที่ ขณะนี้ลมแรงได้พัดผ่านชุดสีน้ำตาลของเขา ไม่นานร่างกายเขาก็เปลี่ยนไป
ก่อนหน้านี้ด้วยวัยวุฒิทำให้เขาเป็นคนที่ค่อนข้างสุขุม แต่ตอนนี้เขากลับทำตัวเหมือนคนหยิ่งผยองคนหนึ่ง
ในระหว่างการเผชิญหน้ากัน เฟิ่งมู่ชิงกับกู้จือชิวรู้ดีว่ากระบวนท่าต่อไปนั้นเป็นการชี้เป็นชี้ตาย
“เถ้าธุลีพเนจร” น้ำเสียงเฉยเมยดังขึ้น ก่อนที่เปลวเพลิงสีแดงฟ้าบนกระบี่ปี้ลั่วจะลุกโชติช่วงชัชวาล
ต่อมา เฟิ่งมู่ชิงปล่อยมือออกและกระบี่ปี้ลั่วที่ลอยอยู่บริเวณหน้าอกของนางก็หมุนด้วยความเร็วสูง ในเวลาเดียวกัน เพลิงฟ้าดินบรรลัยกัลป์ก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นในยามที่มันหมุนตัวด้วยความเร็วสูง
“ไป!”
สิ้นเสียงตะโกน กระบี่ปี้ลั่วก็ชี้ไปทางคู่ต่อสู้พร้อมกับเปลวไฟที่ลุกโชน จากนั้นมันก็พุ่งออกไปราวกับลูกธนูที่หลุดออกจากเชือก แล้วบริเวณโดยรอบที่มันพุ่งผ่านก็มีอุณหภูมิร้อนจัด
จังหวะนั้นกู้จือชิววาดมือเป็นวงกลม ไม่นานแสงสีขาวมากมายก็มารวมอยู่ที่มือของเขา หลังจากวาดวงกลมแล้วเขาก็รวบรวมมันไว้ที่บริเวณหน้าอก ในชั่วอึดใจก็มีม่านพลังปรากฏขึ้น
ทันทีที่เปลวเพลิงสัมผัสเข้ากับม่านพลังสีขาวนี้ ก็เกิดแสงที่สุกสกาวจนคนที่ได้มองต้องหลับตาลง
ขณะนั้นเฟิ่งมู่ชิงกับกู้จือชิวรีบหันหลบไปมองด้านข้าง แต่พลังวิญญาณในมือของพวกเขาไม่ได้ผ่อนคลายลงเลย การโจมตีของทั้ง 2 ฝ่ายปะทะกันอยู่กลางอากาศ เมื่อเวลาผ่านไป กระบี่ปี้ลั่วก็ถูกบังคับให้ถอยกลับ 2-3 ชุ่น
“ชิงชิง”
จวินหรูเย่พึมพำเบา ๆ ในขณะที่หัวใจของเขาแทบจะระเบิดออก ยามนี้มือของชายหนุ่มกำแน่นพร้อมกับสติที่เหลือคอยร้องเตือนว่าอย่าพุ่งออกไปข้างหน้า
แม้แต่จิ๋วจิ่วที่อยู่ด้านข้างก็ยังเผลอกลั้นหายใจ นางอยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือเฟิ่งมู่ชิงได้ทุกเมื่อเช่นกัน
ทางด้านหลิวหลีแตกต่างจากคนทั้ง 2 ที่กำลังรู้สึกประหม่า นางกลับรู้สึกไม่พอใจมากจนทำให้เปลวเพลิงรุนแรงมากขึ้น
นางเป็นถึงสุดยอดไฟประหลาดที่สามารถเผาผลาญทุกสิ่งบนโลกนี้ได้ แต่ในทุกวันนี้นางกลับต้องพบกับความพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยในพลังของตัวเอง
ก่อนหน้านี้มีเรื่องของม่านพลังของอวี้ชิงหลาน จากนั้นก็ปีกของอสูรครึ่งเทพ แล้วตอนนี้ยังมีม่านพลังของตาแก่เครายาวตรงหน้าอีก
เปลวไฟของนางไร้ประโยชน์ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
บัดนี้พลังที่พุ่งสูงของเพลิงฟ้าดินบรรลัยกัลป์ทำให้เฟิ่งมู่ชิงไม่ทันระวังตัว แล้วนางก็รู้ว่าหลิวหลีกำลังโมโหมากซึ่งมันเป็นผลดีต่อตัวนางเอง หญิงสาวจึงรู้สึกโล่งใจในทันที
นางได้ทำสัญญากับเพลิงฟ้าดินบรรลัยกัลป์ อีกฝ่ายจะไม่มีวันแว้งกัดนางแน่ ดังนั้นความโกรธนี้จึงมุ่งตรงไปที่ศัตรูที่อยู่ตรงหน้านางได้เพียงเท่านั้น
หลังจากที่เปลวเพลิงระเบิดตัวออกมา อุณหภูมิโดยรอบก็ไต่ระดับขึ้นไปอีก
จวินหรูเย่ที่อยู่ด้านข้างยังรับรู้ได้ถึงความร้อนแรงที่แผ่เข้ามาที่ใบหน้า จากนั้นแสงสีฟ้าก็สว่างขึ้นพร้อมกับความเย็นยะเยือกที่แผ่มาใกล้เขา
การเคลื่อนไหวในครานี้ส่งผลให้จิตใจของกู้จือชิวเริ่มไม่คงที่
แม้ว่าเฟิ่งมู่ชิงจะเป็นผู้ทรงพลังในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นแรก แต่คู่ต่อสู้ตรงหน้าได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดมาก่อนนานกว่า 20 ปีแล้ว
ซึ่งเพลิงฟ้าดินบรรลัยกัลป์ก็ไม่สามารถอุดช่องว่างระหว่างระดับพลังนี้ได้
หญิงสาวตระหนักดีว่าตัวนางกับศัตรูมีความแตกต่างกันมาก นางจึงได้ตัดสินใจผละมือที่กำลังส่งพลังวิญญาณออกไป ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้า เสื้อผ้าที่ปลิวไสวทำให้ภาพของนางเป็นเหมือนกับดอกไม้สีแดงที่เบ่งบาน
แล้วม่านพลังที่น่ากลัวก็พุ่งผ่านที่ที่นางเคยยืนอยู่
ปัง!
ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลังหญิงสาวหักครึ่งและล้มลงกระแทกกับพื้นจนฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว
ไม่นานเฟิ่งมู่ชิงก็ลอยลงมา พร้อมกับที่กระบี่ปี้ลั่วบินกลับเข้ามาอยู่ในมือ
นางไม่รอช้าและประสานอินด้วยมือทั้ง 2 ข้าง ก่อนที่แสงสีทองจะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ตามด้วยเฟิ่งหวงที่กระพือปีกบินขึ้นสูง
ในเวลาเดียวกัน หลิวหลีได้แยกตัวออกจากกระบี่ แล้วเปลวเพลิงก็ลุกโชน ทันใดนั้นเปลวไฟสีแดงฟ้าก็เปลี่ยนร่างกลายเป็นเฟิ่งหวงซึ่งรูปร่างของมันนั้นเหมือนกับเฟิ่งหวงสีทองที่บินขึ้นไปบนท้องฟ้าทุกประการ
จากนั้นเฟิ่งหวงทั้ง 2 ก็ส่งเสียงร้องและบินโฉบเข้าหากู้จือชิว
ในตอนนั้นเอง เฟิ่งหวงสีทองกับสีแดงฟ้าดูเหมือนจะอดทนต่อไปไม่ไหว ไม่นานก็เกิดเสียงระเบิดดังก้อง ทำให้ประกายไฟปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ ขณะเดียวกันนั้นแสงสีทองก็สลายไป แม้แต่ไฟประหลาดก็ยังถูกชะล้าง
ครู่ต่อมา เปลวเพลิงฟ้าดินบรรลัยกัลป์ที่กระจัดกระจายก็ค่อย ๆ รวมตัวลอยอยู่บนท้องฟ้า ก่อนที่มันจะบินกลับเข้าไปอยู่ในจุดตันเถียนของเฟิ่งมู่ชิงแล้วดูดซับพลังฮุ่นตุ้นที่อยู่ภายในนั้นอย่างบ้าคลั่ง
“ให้ตายเถอะ! คนผู้นี้เป็นใครกัน? เขาไม่กลัวเปลวไฟของข้าเลยสักนิด!” บัดนี้หลิวหลีรู้สึกโกรธมาก
หญิงสาวเองก็ได้ยินเสียงก่นด่าของอีกฝ่ายที่อยู่ภายในร่างกายของนาง มันยิ่งทำให้หัวใจของนางจมดิ่งลงเหว
ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าการใช้หลิวหลีดูจะไร้ประโยชน์สำหรับศัตรู ดูเหมือนว่าการต่อสู้ในครั้งนี้นางจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 150
แสดงความคิดเห็น