STARCIN ภาคที่ 8 Freight ตอนที่ 10 กากเนื้อ
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้หนึ่งวัน
“หวาน ฉ่ำ หอม อร่อย” เคนยังคงนั่งฮัมเพลงพลางหยิบของกินไม่หยุดมือ
เรื่องสงครามเขตแดนจะเป็นยังไงบ้างนะ น้องเมอร์จะทำได้อย่างที่พูดหรือเปล่าหรือก็แค่อยากยั่วโมโหคนอื่นเท่านั้น
“ท่านเคนครับ !” เสียงตะโกนดังมาแต่ไกลทำให้เคนพุ่งออกมาทันทีเพื่อไม่ให้ทหารเข้ามาเหยียบในบ้านของตน
“มีเรื่องอะไร?”
“ท่านแม็กซ์มาหาครับ”
“เจ้าแม็กซ์เนี่ยนะจะมาหา แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”
“อยู่ตรงประตูทางเข้าครับ” กว่าเคนจะไปถึงแม็กซ์ก็ฝ่ากองกำลังเข้ามาเสียก่อน เหล่าทหารตัวน้อยไม่มีพลังในการต่อต้านเขาเลยแม้แต่น้อยเหมือนมนุษย์ที่เดินผ่านใยแมงมุมแล้วไม่เป็นอะไรก็แค่รำคาญนิดหน่อย
“มาถึงก็ก่อเรื่องเลยนะ” เคนกอดอกด้วยหนวดทั้งสี่เส้น
“ขอโทษก็แล้วกัน แต่ฉันไม่ได้ก่อเรื่องสักหน่อยก็แค่เดินผ่านประตูมาแค่นั้นเอง” ขณะที่กล่าวขอโทษเช่นนั้นเขากลับยิ้มเยาะตั้งใจกวนประสาทเคน
“เลิกเสียเวลาและบอกธุระมาซะ”
เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะกล่าว “จะว่าอะไรไหมถ้าฉันขออาณาเขตทั้งหมดของนาย?”
“เหอะ มาเพื่อพูดอะไรไร้สาระเนี่ยนะ”
“ไร้สาระตรงไหน?” แม็กซ์แสยะยิ้มเงยหน้ามองขึ้นไปเหนือดินแดนผ่านอาณาเขตป้องกันออกไปจึงเห็นจ้าวทะเลอีกสองคนรออยู่
“ต่อจากนี้เราจะ...”
“เอาไปสิ” เคนพูดขัดกลางคันและเดินกลับบ้านไปทั้งอย่างนั้นทำเอาแม็กซ์งงเป็นไก่ตาแตกไปเลย
“เฮ้ย ! มาคุยกันให้รู้เรื่องสิวะ” พอตั้งสติได้แม็กซ์ก็วิ่งตามหลังเคนไปติด ๆ แถมยังถลึงตามองเตรียมออกหมัดได้ทุกเมื่อ
“พรุ่งนี้...ถ้าอยากได้ที่นี่ก็เอาชนะพวกชาวแผ่นดินด้านบนให้ได้แล้วกัน”
“เจ้านั่นสินะ ฉันเห็นว่านายฉีกสัญญาและให้การช่วยเหลือมนุษย์ ดูเหมือนอยากจะเป็นศัตรูกับมนุษย์เงือกทั้งผืนน้ำเลยสินะ”
“แล้วแต่จะคิดเถอะ เงื่อนไขก็มีแค่นั้นนั่นแหละ...เอาชนะพวกเขาและเอาอาณาเขตตรงนี้ไปได้เลย”
“เอางั้นก็ได้แต่คงไม่ต้องรอถึงพรุ่งนี้หรอก”
“ไม่ ๆ” เคนทักก่อนที่แม็กซ์จะเดินจากไป
“อะไรอีก?”
“ด้วยความหวังดีพวกนายไปเตรียมกองทัพแล้วกลับมาใหม่พรุ่งนี้ก็ไม่เสียหายอะไร พวกนายแค่สามคนเอาชนะชาวแผ่นดินพวกนั้นไม่ได้หรอก”
“เหรอ? ดูถูกกันเกินไปหรือเปล่า” แม็กซ์ยิ้มเยาะเย้ยกับคำเตือนที่หวังดีของเคน
“ฉันไม่เคยโกหก หวังว่านายจะเข้าใจ” จากสีหน้าเยาะเย้ยกลับกลายเป็นสีหน้าจริงจังและค่อย ๆ หุบยิ้มลงไป
ปัจจุบันการโจมตีจากกองทัพมนุษย์เงือกก็ยังไม่หยุด แม้สำหรับพวกเซนจะเป็นเหมือนการละเล่นฆ่าเวลาแต่การใช้เวทมนตร์พื้นที่ก็ผลาญมานาไปมากพอสมควร
“ทหารมนุษย์เงือกจำนวนสองร้อยห้าสิบคนจนตอนนี้โดนจัดการไปแล้วสองร้อยคนแต่จำนวนคนที่เหลืออยู่กลับไม่ตรงกับตอนแรก”
“ขาดหายไปจำนวนหนึ่งสินะ ถ้าให้เดาก็คงกลับไปรายงานผู้บัญชาการไม่ก็หนีตายไปแล้ว” ฟรานกล่าวต่อหลังจากฟังซึฮากิรายงานสถานการณ์
“น่าจะเป็นไปตามที่เดา ปัญหาก็คือจำนวนศัตรูที่เราไม่อาจรู้ได้แน่ชัดว่ามีเท่าไรกันแน่? แต่ดูจากที่ไม่เจรจาใด ๆ ก็คงอยากจมเรือเราใจจะขาดแล้ว”
ซึฮากิยืนคิดพิจารณาอยู่พักหนึ่งจนได้คำตอบ
“ทุก ๆ คนกลับมาบนเรือซะ ย้ำ ! กลับขึ้นมาบนเรือ”
“แล้วพวกเซนจะรู้เรื่องเหรอ?”
“ปล่อยไปเถอะ พอเห็นท่าไม่ดีเดี๋ยวก็ถอยกันเองนั่นแหละ”
หลังจากได้รับการยืนยันว่าร่างโคลนกลับขึ้นเรือหมดแล้วเขาก็ออกคำสั่งใหม่อีกครั้ง
“ทำการทิ้งทุ่นระเบิดจำนวนห้าสิบลูก”
ไม่นานนักทุ่นระเบิดจำนวนมากก็ถูกทิ้งลงใต้ทะเลและค่อย ๆ ดำดิ่งลงไปด้านล่าง
“นั่นมันอะไร?” คานะชี้นิ้วถาม
“นั่นสิแต่มันก็คุ้น ๆ อยู่นะ” จนกระทั่งมีทุ่นระเบิดลูกหนึ่งลอยลงมาใกล้ ๆ จึงทำให้เซนเหงื่อแตกพลั่ก
“นี่มัน...”
พวกเขาคลายเวทมนตร์พื้นที่และพากันว่ายน้ำหนีออกไปให้ห่างก่อนจะกลับขึ้นไปบนเรืออีกครั้ง
“เกือบไปแล้วไง” ไม่บ่อยนักที่จะเห็นเซนเหนื่อยหอบขนาดนี้แต่ไม่นานเขาก็ตั้งสติกลับเป็นปกติได้
“ไปหากิก่อนดีกว่า ถ้าทำอะไรไม่นัดกันอีกเดี๋ยวมันจะเป็นปัญหาเอา” ถ้าไม่ได้คานะพูดดักไว้ก่อนเซนก็อาจจะกระโดดลงไปอีกรอบแน่ ๆ
สุดท้ายทุกคนก็ไปรวมกันที่ห้องควบคุมไม่เว้นแม้แต่มนุษย์เงือกทั้งสามคนนั้นที่ได้ลงเรือลำเดียวกันไปแล้ว
“การใช้ทุ่นระเบิดก็คงทำได้แค่ถ่วงเวลา ถ้าหากพวกตัวใหญ่ ๆ ขึ้นมาเองก็คงไม่มีประโยชน์ขนาดนั้นแต่ก็นั่นแหละ ช่วงเวลานี้เราจะวางแผนกันให้ดี ๆ ก่อน”
“บรีฟมาได้เลยครับหัวหน้า” เซนยกมือทำวันทยหัตถ์ตามมาด้วยคานะและฟรานที่ทำเพราะรู้สึกสนุกดี
“ตอนนี้ฉันส่งร่างโคลนมนุษย์เงือกลงไปหนึ่งคน เพราะว่าแม้แต่ฉันก็ยังตรวจจับไปไม่ถึงที่ที่พวกมันอยู่เลย ก็เลยต้องพึ่งการรายงานโดยตรงเอา”
“แล้วถ้าตอนนี้เราเอาเรือกลับไปที่ท่าเลยจะดีกว่าไหม?” ฟรานถาม
“ก็อยากอยู่หรอกแต่เรือของเรามันไม่ได้ไวขนาดนั้น และจุดประสงค์หลักที่ฉันสร้างเรือลำนี้มาก็เพื่อต่อต้านพวกมนุษย์เงือกไม่ใช่หนีเหมือนอย่างที่เคยทำ”
“ต้องอย่างนี้สิ” ฟรานตบบ่าทั้งสองข้างและฉีกยิ้มเบิกบานจนเห็นฟัน
“ก่อนอื่นเราจะแบ่งทีมไว้เพราะเวลาออกปฏิบัติงานความเข้าขากันถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญและรองลงมาก็คือความสามารถในการต่อสู้ในน้ำหรือบนผิวน้ำได้”
พวกเขาต่างก็จับจ้องมาที่กระดาษวางแผนของซึฮากิที่กำลังร่างรูปแบบการแบ่งกลุ่ม
“เนื่องจากการลงไปสู้ในถิ่นที่ศัตรูถนัดไม่ใช่คำตอบที่ดีนัก ดังนั้นเราจะรอรับมือจากบนผิวน้ำซึ่งจะมีการแบ่งออกไปสามกลุ่มเพื่อกระจายกำลังของอีกฝ่าย เซนกับคานะออกไปทางด้านหน้าเรือห่างประมาณห้าร้อยเมตรเช่นเดียวกับแคทเทอรีน ทีโอน่าและฟรานที่จะไปอยู่ทางด้านหลังของเรือ”
“อ้าว ! อุตส่าห์นึกว่าจะได้อยู่กับกิจัง” ฟรานทำหน้าบูดบึ้งตีหลังซึฮากิไม่หยุด
“พอดีว่าบนเรือจะค่อนข้างยุ่งตอนปะทะกัน ก็เลยแบ่งคนให้ออกไปจัดการส่วนอื่นแทน”
“ใจร้ายชะมัดเลย” ซึฮากิยิ้มเจื่อนตอบรับและลูบหัวแทนคำขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง
“พยายามอย่าตามพวกมันลงไปใต้น้ำเด็ดขาดและทางเราอาจจะมีการทิ้งระเบิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นตั้งใจฟังวิทยุสื่อสารให้ดีว่าฉันจะทิ้งระเบิดลงตรงไหน”
ทันใดนั้นก็มีสัญญาณจากคลื่นโซน่าดังอีกครั้งซึ่งมีกองกำลังมนุษย์เงือกจำนวนหลายพันคนกำลังว่ายน้ำขึ้นมา
“ไปประจำตำแหน่ง หลีกเลี่ยงการใช้มานาเกินความจำเป็นเพราะเรายังคาดการณ์จำนวนกองทัพอีกฝั่งไม่ได้”
“รับทราบ !”
หลังจากทุกคนแยกย้ายกันไปซึฮากิก็กลับมายืนหน้าแผงควบคุมอีกครั้ง
“ด้วยจำนวนที่โผล่ออกมามากกว่ากองกำลังที่เคนมีจึงสรุปได้ว่าด้านล่างกำลังมีปัญหากันแน่นอนและอาจจะมีจ้าวทะเลคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
“แต่ใครจะกล้ามีปัญหากับท่านเคนล่ะ?” ลูกพี่มนุษย์เงือกกล่าว
มนุษย์เงือกคนหนึ่งรอดพ้นทุ่นระเบิดและลอบขึ้นมาบนเรือได้สำเร็จแต่แทนที่ซึฮากิจะกำจัดกลับปล่อยให้มันเดินมาหา
“ตอนนี้ที่ด้านล่างมีจ้าวทะเลอยู่สามคนกับกองกำลังมนุษย์เงือกหลากหลายเผ่าจำนวนสองหมื่นคน”
“จ้าวทะเลคนไหนบ้าง?” ซึฮากิถามต่อ
“สัน ไคแล้วก็แม็กซ์”
“พอจะรู้แผนของพวกนั้นไหม?”
“แผนเดียวที่มีก็คือการส่งกองกำลังขึ้นมาลดทอนพลังของเราก่อนที่พวกจ้าวทะเลจะขึ้นมาปิดงาน”
“เรียบง่ายใช้จำนวนเข้าสู้สินะ เดี๋ยวก็รู้ว่าได้ผลหรือเปล่า” ซึฮากิเปิดวิทยุสื่อสารก่อนจะกล่าวแผนให้ฟัง
“ประหยัดแรงไว้คิดซะว่าเล่นกับพวกมันฆ่าเวลา”
“แบบนี้ก็สนุกสิ !” เซนพยายามสร้างพื้นเสริมมานาแบบที่ซึฮากิเคยทำแต่ก็ดันพลาดจนตกน้ำไป
“ให้ตายสิเมื่อไรฉันจะทำได้บ้างนะ” สุดท้ายเซนก็ลอยคออยู่ในน้ำด้วยท่าปลาดาว ก่อนที่คานะจะดึงตัวเซนขึ้นไปบนพื้นเสริมกำลังของเธอ
“พยายามเข้าแล้วกัน พอใช้เป็นมันก็สะดวกดีเหมือนกันนะ” คานะง้างคันธนูเพ่งเล็งตามพวกมนุษย์เงือกที่เคลื่อนไหวไปมาใต้น้ำ
“นายยังไม่ต้องทำอะไรหรอกเดี๋ยวฉันจะจัดการพวกมันเอง”
“เหรอ...” เซนพูดเสียงสูงแถมยังแอบเข้ามาด้านหลังเพื่อจั๊กจี้ให้ตกใจเล่นแต่ลูกศรเวทมนตร์ดอกนั้นเกือบพุ่งไปโดนเรือเสียแล้ว
“อย่าเล่นตอนกำลังถืออาวุธสิเดี๋ยวก็โดนกิดุอีกหรอก”
“ขอโทษครับ...” เซนเหวี่ยงดาบยักษ์ด้วยมือข้างเดียวฟันคลื่นเพลิงใส่มนุษย์เงือกที่กำลังจะกระโจนใส่
“กิบอกให้ออมแรงไว้แสดงว่าเราต้องเจออะไรที่มันยุ่งยากจนหืดขึ้นคอแน่ ๆ”
“ถ้างั้นเราก็จะได้เจอคู่ต่อสู้ที่คู่ควรเหมือนเจ้ามิโนทอร์ตัวนั้นสินะ” เซนยิ้มชอบใจ
“ก็อาจจะ...” คานะเล็งยิงลูกศรเวทมนตร์ใส่อย่างต่อเนื่องราวกับมีเลเซอร์นำวิถีติดตัวพวกมันอยู่ตลอดเวลา
ขณะเดียวกันพวกแคทเทอรีนก็ช่วยกันกำจัดมนุษย์เงือกคนละไม้คนละมือแต่มันก็ง่ายเหมือนกำลังฝึกซ้อมในสนามเสียมากกว่า
“เธอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเจ้าซึฮากินั่นเหรอ?” แคทเทอรีนยิงคำถามใส่ไม่เกรงใจแม้จะกำลังวุ่นอยู่กับพวกมนุษย์เงือกก็ตาม
“มะ...ไม่ขนาดนั้นนะคะ” คำถามที่พูดตรงเกินไปทำเอาเธอสะดุ้งตกใจจนเกือบยิงกระสุนเวทมนตร์ไปโดนเรือเสียแล้ว
“ไม่เชื่อหรอก ใครมาเห็นก็คิดว่าพวกเธอคบกันอยู่แน่ ๆ”
ฟรานหัวเราะกลบเกลื่อน “นั่นสินะ...”
“ถ้างั้นช่วยบอกจุดอ่อนของเจ้านั่นมาได้ไหม? เขาชอบกวนประสาทฉันไม่หยุดก็เลยอยากแก้แค้นคืนซะบ้าง”
“เขาไม่มีจุดอ่อนหรอก” ฟรานตอบกลับทันควันแทบจะไม่ต้องคิดเลย
“ดูมั่นใจจังเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องมีจุดอ่อนกันทั้งนั้นแหละ”
“ฉันพูดจริง ๆ นะ เขาไม่มีจุดอ่อน...” สีหน้าเหงาหงอยของเธอทำให้แคทเทอรีนยิ้มกรุ้มกริ่มมองไม่ละสายตา
“นั่นไงล่ะ เธอเริ่มรู้แล้วใช่ไหมว่าจุดอ่อนของเขาคืออะไร” ระหว่างที่คุยกันพวกเธอก็ยังสาดกระสุนมานาปะทะกับมนุษย์เงือกไม่หยุด
“จุดอ่อน...คงมีแค่การที่เขากดความสามารถของตนเองไว้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนละก็...” ฟรานปิดปากเงียบไปก่อนจะกล่าวจบ
“นั่นน่ะเหรอจุดอ่อน ให้ตายสิเป็นคนที่แปลกชะมัดเลย”
“ที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้คือกดความสามารถไว้แล้วเหรอคะ?” ทีโอน่าถามต่อ
“ใช่ค่ะ ฉันคงบอกได้แค่นี้เพราะฉันก็ยังไม่แน่ใจว่ากิจังมีความสามารถอะไรอีกไหม”
อีกฟากหนึ่งคือความวุ่นวายของหนุ่มสาวสองคนแต่อีกฟากกลับเป็นเหมือนงานปาร์ตี้น้ำชาที่สาว ๆ มานั่งชิวพูดคุยกัน
“ทำไมพี่รินถึงเรียกข้ามาที่นี่เหรอคะ?” เมอร์ว่ายน้ำตามหลังรินที่กำลังพาไปที่บ้านของเธอ
“จำเรื่องที่พี่เคยถามได้หรือเปล่า? ถ้าน้องเมอร์มาอยู่กับพี่ พี่ก็จะคุ้มครองและช่วยอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่างเลย”
“จำได้ค่ะ ข้าก็เลยลองไปปรึกษากับนายหญิงดูแต่นายหญิงก็ค้านหัวชนฝาเลยค่ะ”
“น้องเมอร์เอ๊ย ทำไมถึงเชื่อใจยายนั่นขนาดนั้นล่ะ เมื่อหลายปีก่อนตอนเธอปรากฏตัวให้เราเห็นครั้งแรกก็เกือบจะฆ่าเราทุกคนด้วยซ้ำ”
“นายหญิงไม่ใช่คนเลวร้ายขนาดนั้นหรอกค่ะ พอยิ่งได้อยู่ด้วยกันก็ยิ่งมั่นใจเลย”
“เหรอ…”
รินพาเมอร์เดินทัวร์บ้านหลังโตที่ด้านในเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องประดับของชาวแผ่นดินที่เคยยึดไว้เมื่อสิบปีก่อน
“ทำตัวสบาย ๆ เหมือนอยู่บ้านได้เลย เดี๋ยวพี่จะไปหาของว่างมาให้”
เมอร์เหลือบมองแผ่นหลังของรินที่กำลังเดินจากไปทิ้งเธอไว้ในห้องกว้าง ๆ ที่แค่นั่งลงก็รู้สึกเหงาแล้ว
ไม่ได้มาบ้านพี่รินนานจนจำไม่ได้แล้วแฮะ เมื่อก่อนยังเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่เลยแต่ตอนนี้กลับใหญ่โตจนอยู่ได้เป็นสิบยี่สิบคนด้วยซ้ำ
เมอร์วนดูรอบ ๆ กวาดสายตามองรูปปั้นของชาวแผ่นดินที่สร้างมาอย่างประณีตแต่ก็โดนน้ำกัดกร่อนไปทีละนิด
ชาวแผ่นดินนี่ช่างน่าทึ่งจริง ๆ พวกเขาสร้างสิ่งต่าง ๆ ไว้มากมายแต่พวกเราชาวมนุษย์เงือกกลับไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันยกเว้นการยึดอาณาเขตกันไปมา
เธอมาหยุดอยู่ตรงหน้ารูปปั้นชายแก่เผ่าเงือกหนวดเคราเฟิ้มกำลังชูตรีศูลขึ้นเหนือหัวเสมือนการประกาศชัยชนะ
รูปปั้นของคุณปู่นี่ ทำไมชาวแผ่นดินถึงได้ปั้นอะไรแบบนี้ขึ้นมา ด้วยความสงสัยเธอจึงเผ่าพันธุ์ดูรอบ ๆ และสายตาก็ไปปะทะกับตัวอักษรของชาวแผ่นดินที่เธออ่านไม่ได้
“เธอยังจำท่านพอนไซได้สินะ” รินกลับมาพร้อมกับอาหารว่างเต็มไม้เต็มมือ
“ค่ะ ข้าไม่มีทางลืมคุณปู่ได้แน่นอน”
“นั่นสินะใครจะลืมลงล่ะ คนแรกที่สามารถปกครองมหาสมุทรทุกเขตได้แต่ในช่วงบั้นปลายชีวิตเขากลับแบ่งมหาสมุทรเป็นหลาย ๆ เขตอีกครั้ง รู้ไหมว่าท่านพอนไซทำไปทำไม?” เธอฉีกยิ้มบางถาม
“ท่านคงไม่อยากให้อำนาจมาอยู่ที่ลูกหลานเพียงอย่างเดียว…” เมอร์ตอบแบบลังเล
“ก็ถูกส่วนหนึ่งแต่สิ่งสำคัญมันอยู่ลึกลงไปอีกหน่อย จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากลูกหลานเป็นผู้กุมอำนาจทั้งมหาสมุทรไว้?”
“เอ่อ...ลุ่มหลงในอำนาจเหรอคะ”
“ผิดจ้า จุดประสงค์หลักของท่านพอนไซมีสองข้อ หนึ่ง...เพื่อกระจายการปกครองออกไปไม่ให้ทุกเผ่าพันธุ์เพ่งเล็งมาที่คุณพ่อของเมอร์ยังไงล่ะ และสองที่พี่ตกผนึกความคิดได้เองก็คือ...กระตุ้นการแย่งชิงเพื่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง”
“ก็คือคุณปู่ทำเพื่อพวกเราเหรอคะ?”
“ใช่จ้ะ สมกับเป็นท่านพอนไซที่เป็นแรงบันดาลใจให้พี่เลยนะ”
“พี่รินรู้จักกับคุณปู่ด้วยเหรอคะ?” ในหัวของเมอร์มีแต่สิ่งที่อยากถามเต็มไปหมดแต่ก็ไม่อยากทำให้รินรำคาญเกินไป
“รู้จักสิ จ้าวทะเลตอนนี้ก็คงมีเคน บลูแล้วก็ปู่สันที่ได้อยู่ในยุคเดียวกับท่านพอนไซ ทุกครั้งตอนที่เห็นท่านพอนไซขว้างตรีศูลด้ามนั่นมันทำให้พี่รู้สึกฮึกเหิมอยากออกไปสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านเสมอเลยล่ะ แต่ตอนนี้พี่กลับไม่เคยได้เห็นตรีศูลด้ามนั่นอีกเลยมันเหมือนชีวิตขาดสิ่งสำคัญไปเลย”
“ถ้าเป็นตรีศูลด้ามนั่นเหมือนจะยังอยู่ที่บ้านนะคะ”
“จริงเหรอถ้าไม่ว่าอะไรพี่ขอดูได้ไหม?” รินกุมมือทั้งสองของเมอร์ไว้แถมยังจ้องมองด้วยแววตาอ้อนวอนเหมือนลูกแมวกำลังขออาหาร
“ได้สิพี่แต่ข้าคงพกมาลำบากหน่อยนะคะเพราะมันหนักมากเลย”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ไปหาถึงที่เอง”
“อืม...เอางั้นก็ได้ค่ะ”
หลังจากนั้นพวกเธอก็นั่งกินของว่างพลางพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันไปเรื่อยจนเวลาล่วงเลยไปหลายชั่วโมง
ขณะเดียวกันซึฮากิที่เฝ้ามองโซน่าเพื่อดูจำนวนของมนุษย์เงือกก็ได้ตัดสินใจออกคำสั่งอีกครั้ง
“เอาเครื่องบินหมายเลขหนึ่ง สอง สาม สี่แล้วก็ห้าขึ้นบินได้เลย” ดูจากจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแสดงว่าอีกฝั่งเริ่มเปิดไพ่ในมือให้ดูแล้ว เราก็คงต้องสู้กลับไม่หมอบไพ่ลงง่าย ๆ หรอก
“ชาวแผ่นดินเป็นอย่างนี้กันหมดเลยไหมเนี่ย?” มือขวากระซิบคุยกับมนุษย์เงือกอีกสองคน
“นั่นสิ ดูเขาทำหน้าเบิกบานสนุกสะใจแปลก ๆ เหมือนตอนเราเล่นไพ่กับพวกเซนไม่มีผิดเลย”
“ใช่ ๆ ก่อนหน้านี้เขายังชอบทำหน้าเย็นชาน้ำเสียงการพูดก็เยือกเย็นแถมสายตาก็ยังเสียวสันหลังอยู่เลย”
“ทั้งคู่เงียบก่อนเลย ตอนนี้ชะตากรรมของเรากำลังอยู่บนเส้นด้ายแล้วนะ”
“ครับ ๆ” ทั้งมือขวาและมือซ้ายตอบกลับพร้อมกัน
เครื่องบินรบทั้งห้าลำบินขึ้นเหนือสนามรบวนไปมารอคำสั่งจากซึฮากิอีกที
“ทิ้งทุ่นระเบิดลงไปอีกห้าสิบลูก” ซึฮากิสั่งการผ่านวิทยุสื่อสารอีกครั้ง ทุ่นระเบิดจำนวนมากถูกปล่อยลงใต้ท้องเรือหวังจำกัดพื้นที่การเคลื่อนไหวของกองทัพมนุษย์เงือก
เหล่าร่างโคลนของซึฮากิสวมชุดประดาน้ำพร้อมกับอาวุธปืนดำลงไปต้อนรับอย่างดี การรอให้พวกมันว่ายขึ้นมาเองเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเพราะยังมีแสงลอดผ่านชั้นน้ำลงมาได้และในระดับความลึกไม่ถึงหนึ่งร้อยก็ยังเคลื่อนไหวได้ไม่มีปัญหานัก
“ทีมหนึ่งเคลื่อนไปทางตะวันออกยี่สิบเมตรแล้วจะมีศัตรูหนึ่งร้อยห้าสิบคนไปทางนั้น ทีมสามถอยกลับขึ้นมาสิบเมตรและถ้าพวกมันหลบทุ่นระเบิดได้ก็ค่อยจัดการ” ซึฮากิคอยสั่งการร่างโคลนของตนเองตลอดเวลาโดยใช้เวทมนตร์ตรวจจับร่วมกับการดูสัญญาณโซน่าทำให้คาดการณ์จำนวนและคาดเดาการเคลื่อนไหวได้
“พูดไม่หยุดเลยแฮะ” มือขวามนุษย์เงือกกล่าว
“นั่นสิ ๆ แววตาเขาดูเหมือนท่านเคนตอนออกไปรบมากเลยนะ” มือซ้ายพูดต่อ
“สัญญาณมานาขนาดใหญ่ ! ทุกหน่วยกลับขึ้นมาบนเรือและใช้รูปแบบป้องกัน”
เหล่าร่างโคลนว่ายขึ้นมาเรือและช่วยกันสร้างบาเรียคลุมเรือไว้แทน พอพวกมนุษย์เงือกเห็นว่าอีกฝั่งหนีจึงพากันบุกทะลวงไม่หยุดยั้งแม้จะต้องฝ่าทุ่นระเบิดไปก็ตาม
“เครื่องบินหมายเลขหนึ่งและหมายเลขสองเตรียมทิ้งระเบิดในตำแหน่งที่ระบุไว้ ส่วนพวกเซนแล้วฟรานเตรียมรับแรงปะทะ !”
ไม่นานนักเครื่องบินก็ทิ้งระเบิดสองลูกลงทางด้านซ้ายและขวาของเรือห่างประมาณห้าสิบเมตรส่งผลให้มนุษย์เงือกที่กำลังจะฝ่าบาเรียขึ้นไปบนเรือโดนแรงระเบิดตายโดยไม่ได้ตั้งตัว
“เครื่องบินหมายเลขสามเตรียมทิ้งระเบิด” ซึฮากิส่งตำแหน่งให้ร่างโคลนที่ขับเครื่องบินซึ่งจุดที่จะทิ้งลงมาก็คือด้านข้างเรือห่างสิบห้าเมตรซึ่งอาจจะมีผลกระทบกับเรือด้วยเหมือนกัน
“ทุกหน่วยเน้นป้องกันไปที่ด้านซ้ายของเรือ” ขณะที่ออกคำสั่งซึฮากิก็ยังมองดูโซน่าพร้อมกับใช้เวทมนตร์ตรวจจับตลอดเวลา
“เครื่องบินหมายเลขสามทิ้งระเบิดได้ !”
ระเบิดถูกทิ้งลงมาเป็นจังหวะเดียวกับที่กลุ่มก้อนมานาขนาดใหญ่กำลังพุ่งเข้าใส่เรือ แรงระเบิดทำให้มานาสลายก่อนจะเข้าปะทะส่วนมนุษย์เงือกคนนั้นยังหนีรอดไปได้
ขณะที่กำลังโล่งใจซึฮากิก็สัมผัสมานาขนาดใหญ่ได้อีกแล้ว
“เซน ! มีบางอย่างกำลังไปทางนั้น เตรียมตัวให้ดีล่ะฉันจะทิ้งระเบิดทำลายมานาก้อนนั้นซะ”
“ไม่ต้องห่วง ฉันอยากลองกับมันสักหน่อย” พอซึฮากิเงียบไปได้ไม่ถึงวินาทีเซนก็ตอบกลับผ่านวิทยุสื่อสาร
“ให้ตายสิ...เอาตามที่อยากเลยแล้วกัน”
เซนยิ้มอย่างมีเลศนัยยกดาบยักษ์ขึ้นบ่าเหมือนท่าโพสต์ในเกมที่เคยเล่น
“ฝากลูกเมียข้าด้วยล่ะ”
“พูดเหมือนมี” คานะได้แต่ขมวดคิ้วทำใจกับท่าทางอวดดีของเซน
“เอาน่าก็แค่อยากพูด” เซนกระโดดลงน้ำไปทั้งอย่างนั้นและดำดิ่งลงไปหลายสิบเมตรโดยไม่มีอุปกรณ์ช่วยเลยสักอย่าง
เซนเพ่งรวมมานาไว้ที่ดาบยักษ์เป็นเวลาเดียวกับที่ก้อนมานาขนาดใหญ่พุ่งขึ้นมา
ดาบผ่าวารีพิฆาต ดาบที่เคลือบด้วยมานาล้วน ๆ เหวี่ยงปะทะกับมนุษย์เงือกเผ่าเต่าที่ใช้กระดองของมันรับดาบมานาไว้ กระดองอันน่าภาคภูมิใจของมันแตกร้าวจากการรับดาบเพียงครั้งเดียวและมานามากมายที่สะสมไว้ก็สลายหายไปด้วยจึงทำได้แค่หนีลงไปใต้น้ำ
เป็นยังไงล่ะเจ้าพวกมนุษย์เงือกหน้าโง่ พอเห็นว่าไม่มีใครแล้วเซนจึงว่ายกลับขึ้นไปหาคานะ
หลังจากนั้นมนุษย์เงือกเผ่าเต่าก็กลับมาอีกครั้งด้วยจำนวนหลักสิบและยังมาหลายระลอกจนระเบิดบนเครื่องบนหมดไปสามลำแล้ว
“เครื่องบินหมายเลขหนึ่ง สองและสามกลับมาก่อน ส่วนเครื่องบินหมายเลขหก เจ็ดและแปดเอาขึ้นบินต่อได้”
แต่ละเผ่าก็มีจุดเด่นไม่เหมือนกันสินะ เมื่อมองไกลออกไปก็จะเห็นมนุษย์เงือกเผ่าปลาดาบที่มีปากและมือทั้งสองข้างเป็นเหมือนดาบของชาวแผ่นดิน อีกทั้งมันยังว่ายน้ำได้รวดเร็วด้วยครีบและหางรวมกับการใช้มานาเสริมเข้าไปให้ถูกจุดจนเหมือนนักรบหอกที่กำลังควบม้าไม่มีผิด
“ลงดาบรูปแบบที่ห้า [ฟ้าหลังฝน]” ฟรานย่อตัวลงเล็กน้อยอยู่ในท่าเตรียมของซามูไร ขณะที่พวกมนุษย์เงือกปลาดาบกำลังเข้ามาใกล้เธอก็ชักดาบวาดเป็นแนวนอนสร้างคลื่นลมที่รุนแรงดั่งพายุหมุนพัดพวกมันกระเด็นออกไป มิหนำซ้ำสายลมเหล่านั้นก็ยังคมกริบเหมือนดาบที่เธอถืออยู่และมันก็ได้คร่าชีวิตมนุษย์เงือกเหล่านั้นจนหมดสิ้น
เป็นเวลานานนับชั่วโมงที่พวกจ้าวทะเลส่งมนุษย์เงือกขึ้นมาตายเป็นผักเป็นปลาย้อมสีน้ำทะเลให้กลายเป็นสีเลือด
“หมดแล้วเหรอ?” พอทุกอย่างเงียบสงบเซนก็นอนเล่นบนพื้นเสริมกำลังของคานะ
ความเข้มข้นมานาที่ผิดแปลกขนาดนี้รวมทั้งความเร็วที่กำลังเคลื่อนที่ก็สูงมากจนพวกมนุษย์เงือกก่อนหน้านี้เทียบไม่ติด ซึฮากิตรวจจับเจอสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งมากกว่ามนุษย์เงือกทั้งหมดที่ผ่านมา
“ถึงเวลาเลิกออมแรงแล้ว ต่อจากนี้คือของจริง” ซึฮากิประกาศผ่านวิทยุสื่อสารและลำโพงของเรืออย่างกับเป็นคำประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ
“เครื่องบินหมายเลขแปดและเก้าเตรียมทิ้งระเบิด”
สิ่งมีชีวิตทั้งสามแยกกันออกไปสามทางและหลบการทิ้งระเบิดของซึฮากิไปได้ไม่ยากนัก
“หมดสักทีฉันรอจนเบื่อแล้ว” แม็กซ์ยืนบนผิวน้ำแถมยังยิ้มแสยะให้เซนอีกด้วย
“เหอะ ฉันก็รอจนเบื่อแล้วเหมือนกัน” เซนยืนกอดอกจ้องหน้ากับแม็กซ์ไม่ละสายตา
อีกด้านหนึ่งไคก็ไปโผล่หัวอยู่ที่กลุ่มแคทเทอรีน
“สวัสดีชาวแผ่นดินทุกคน” ท่าทางใสซื่อกับน้ำเสียงขี้เล่นทำให้แคทเทอรีนไม่ชอบหน้าเป็นพิเศษ
“รีบ ๆ ยื่นหน้ามาให้อัดซะดี ๆ ฉันจะได้กลับไปปั้นน้ำแข็งต่อ” แม้พวกเธอสองคนจะพูดคนละภาษาแต่ท่าทางแววตาก็สามารถสื่อสารจุดประสงค์ออกไปได้เป็นอย่างดี
ที่เรือเกรย์เอลโฟเรียมีมนุษย์เงือกร่างสูงใหญ่โผล่หัวออกมาเงียบ ๆ มองดูเรือลำยักษ์ที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“เดี๋ยวนี้ชาวแผ่นดินสร้างเรือได้ใหญ่ขนาดนี้เชียวเหรอ?” ปู่สันว่ายไปรอบ ๆ เฝ้ามองเรือทุกระเบียบนิ้วด้วยความสงสัย
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 155
แสดงความคิดเห็น