STARCIN ภาคที่ 7 Colosseum ตอนที่ 9 ใส่สุด
ภายในดันเจี้ยนโคลอสเซียมโดนแสงประหลาดเคลื่อนย้ายผู้คนมั่วไปหมด บางกลุ่มก็มีเจ้าสำนักอยู่กันเยอะแต่บางกลุ่มก็โชคร้ายที่มีประชาชนทั่วไปรวมอยู่ด้วย
“พวกเจ้าต้องตั้งสติและจงเตรียมเผชิญหน้ากับศัตรูเหล่านั้น” เจ้าสำนักเฉิงตะเบ็งเสียงปลุกใจผู้คนที่กำลังตื่นตระหนก เบื้องหน้านั้นมีฝูงสัตว์อสูรถาโถมกันเข้ามาไม่หยุดแต่เฉิงกลับยืนหยัดอยู่หน้าสุดโดยไม่มีความเกรงกลัว
“อย่ามาทำเป็นอวดเก่งไปหน่อยเลย” เฟยเฟิ่งละทิ้งอคติและก้าวเดินมาเคียงคู่เพื่อช่วยชีวิตประชาชนด้านหลัง
“นึกว่าเธอจะหลบอยู่ด้านหลังเพราะกลัวหน้าเลอะเสียอีก”
เฟยเฟิ่งหัวเราะแห้งและเบือนหน้าหนี “ขำตายแหละ”
ท่าทางสบายใจของพวกเขาทำให้ประชาชนตาดำ ๆ ด้านหลังยิ้มปลื้มปริ่มเชื่อในตัวเจ้าสำนักสุดหัวใจ
“เจ้ายังจำท่านั้นได้หรือไม่?” เฉิงถามโดยที่ยังเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของมอนสเตอร์พวกนั้น
“ทำไม? เจ้าอยากรื้อฟื้นความหลังหรือ?” แม้จะกล่าวด้วยใบหน้าขยาดไม่อยากมองแต่มือกลับเลื่อนขึ้นผสานกับฝ่ามือของเฉิง
มานาของทั้งสองผสานรวมกันตรงมือคู่นั้น จากนั้นจึงใช้มืออีกข้างที่เว้นว่างร่ายเวทมนตร์บอลเพลิง
“ถึงหน้าจะเริ่มเหี่ยวแต่มือก็ยังนุ่มไม่เปลี่ยนเลยนะ”
“ไม่เหี่ยว !” เฟยเฟิ่งตะคอกกลับทันควัน
แล้วมือข้าก็ไม่เห็นจะนุ่มเลย จากที่เบือนหน้าหนีแต่ตอนนี้เธอกลับค่อย ๆ เหลือบมองใบหน้าของเฉิง
ความละเอียดละเมียดละไมของมานาที่เฟยเฟิ่งควบคุมกำลังก่อรวมและปรับเปลี่ยนรูปร่างดั่งใจนึก จากนั้นจึงส่งต่อมานาให้เจ้าสำนักเฉิงเป็นผู้นำการปลดปล่อย
"ไม่ได้ใช้นานไม่รู้ว่าข้าจะทำได้ดีหรือไม่? เพราะฉะนั้นอย่าคาดหวังให้มากนัก"
วินาทีที่กองทัพมอนสเตอร์กำลังจะเข้าถึงตัว เฉิงก็ใช้กำปั้นที่เต็มไปด้วยมานาของทั้งสองชกออกไปตรง ๆ คลื่นเพลิงสีส้มหมุนวงเสมือนเฉิงได้ชกพายุเพลิงออกไปทั้งอย่างนั้นและมันก็ได้เผาทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าจนเหลือแต่เถ้าถ่าน
“ระยะลดไปหน่อยหนึ่งนะตาแก่” เฟยเฟิ่งกอดอกกวาดสายตาดูผลงานที่เฉิงได้ทำไว้
“ก็ข้ามันแก่แล้วนี่ ถ้าอายุน้อยกว่านี้สักสิบปีก็คงกวาดทางเดินพวกนั้นออกไปแล้ว”
มีเพียงแค่สองเจ้าสำนักที่เผชิญหน้ากับมอนสเตอร์และปล่อยให้อาจารย์ท่านอื่นคอยดูแลประชาชนแทน
“ถ้าเป็นดันเจี้ยนซ้อนดันเจี้ยน...แสดงว่าเราต้องทำตามเงื่อนไขของมันเพื่อออกจากที่นี่” เฉิงเดินวนดูรอบ ๆ จึงเหลือแต่เส้นทางที่มอนสเตอร์ทะลักเข้ามาเท่านั้น
“เจ้าก็คิดเองเป็นนี่” เฟยเฟิ่งใช้เวทมนตร์ตรวจจับขยายรัศมีไปไกลถึงหนึ่งกิโลเมตรก่อนจะกล่าวต่อ
“มีสัญญาณสิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งแถมยังมีออร่ามานามหาศาลด้วย พวกเราควรไปตรวจสอบเสียก่อน”
“เอาสิ ข้าก็อยากออกแรงอยู่เหมือนกัน” เฉิงถอดเสื้อคลุมเผยให้เห็นร่างกายกำยำแม้อายุจะมากขึ้นแล้วก็ตาม
“พวกเจ้าคอยระวังให้ดี ห้ามไปไหนจนกว่าข้าจะกลับมา”
สองเจ้าสำนักวิ่งไปยังจุดรวมออร่ามาที่เฟยเฟิ่งสัมผัสได้ ทางเดินเปิดโล่งมองเห็นกระทั่งท้องฟ้าตอนเที่ยงตรงโดยมีกำแพงหินเก่า ๆ ทำเป็นเส้นทางให้เดินผ่าน
“อยู่ข้างหน้าประมาณห้าสิบเมตร” เฟยเฟิ่งสูดหายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อตั้งสมาธิกับการตรวจจับมานาเพื่อให้วิเคราะห์ได้ละเอียดที่สุด
“ได้เรื่องอย่างไรบ้าง?”
“เงียบก่อน” เฟยเฟิ่งตรวจจับได้ถึงการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตนั้นและมันก็กำลังเคลื่อนที่เข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
“มันมาแล้ว” น้ำเสียงตกใจลนลานของเฟยเฟิ่งทำให้เฉิงรู้ได้ทันทีว่าสิ่งนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน
เขาเปิดใช้งานเสริมกำลังและกางโล่มานาเตรียมตั้งรับแต่สิ่งนั้นก็โดนพังทลายลงก่อนจะหายใจเต็มปอดด้วยซ้ำ
“เป็นพวกเจ้านี่เอง” น้ำเสียงเข้มของหญิงสาวเผ่าจิ้งจอกผู้มีหางสีขาวดูนุ่มนิ่มทั้งแปดหาง
“โธ่ ! ข้าก็นึกว่าเป็นมอนสเตอร์เสียอีก แต่ก็ดีใจที่ได้เจอนะขอรับ...ท่านมิโกะเจ้าสำนักเทวาคารประทับ” เฉิงผสานมือก้มโค้งเล็กน้อยทักทายอย่างสุภาพ
“แล้วทางนั้นเป็นยังไงบ้างคะ?” เฟยเฟิ่งเองก็ผสานมือทักทายเหมือนกัน
“ข้าให้ทุกคนดูแลประชาชนไว้แล้ว ส่วนที่เหลือข้าจะจัดการเอง”
“ถ้าท่านมิโกะออกโรงเองพวกข้าก็คงไม่ต้องทำอะไรแล้ว”
“ทำสิ ข้าจะหาจุดรวมพลไว้และพวกเจ้าต้องเป็นคนประสานงานส่วนนั้น ข้าจะไปตามเส้นทางต่อดูว่าต้องจัดการดันเจี้ยนนี้อย่างไร”
“ขอรับ/ค่ะ” เจ้าสำนักทั้งสองตอบรับโดยไม่มีข้อกังขา จากนั้นหญิงสาวผู้นั้นก็หายตัวไปทันที
“ให้ตายสิ การที่ได้เห็นท่านมิโกะเคลื่อนไหวถือว่าหายากมาก ๆ เลยนะ” เจ้าสำนักเฉิงเหลือบไปมองเฟยเฟิ่งเพื่อดูท่าทีว่าจะทำอะไรต่อ
“อืม แต่ข้ารู้สึกสังหรณ์ไม่ค่อยดีเลย”
“ไม่เอาน่า ถ้าเทียบความแข็งแกร่งในอาณาจักรคาท่านมิโกะก็คงเป็นอันดับหนึ่งแน่นอน หรืออาจจะแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดินีทุ่งสีขาวด้วยซ้ำ”
“เรื่องนั้นเราไม่มีทางรู้หรอก แต่ไม่ว่าจะเป็นท่านมิโกะหรือจักรพรรดินีทุ่งสีขาวต่างก็มีพลังอำนาจพอที่จะยึดทั้งอาณาจักรได้”
และโอกาสที่ดีที่สุดก็ดันหลุดมือไปต่อหน้าต่อตา พอย้อนนึกกลับไปก็ได้แต่สมเพชตัวเองเหลือเกิน
“เหม่ออะไรอยู่ไปกันได้แล้ว” เฉิงเดินกลับไปหาประชาชนเพื่ออธิบายสถานการณ์ให้ทราบ
มิโกะเจ้าสำนักเทวาคารประทับกำลังมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ดันเจี้ยนวางไว้ หลังจากวิ่งตามทางมาเรื่อย ๆ เส้นทางก็ยิ่งกว้างใหญ่ขึ้นซึ่งมาพร้อมกับมอนสเตอร์ตัวยักษ์ใหญ่ที่มีพลังทำลายเมืองได้ด้วยตัวเอง
“น่ารำคาญเสียจริง” เธอเดาะลิ้นหงุดหงิดจนคิ้วขมวด
มิโกะวิ่งผ่านร่างกายอันใหญ่ของมอนสเตอร์แต่เพียงแค่อึดใจเดียวเส้นทางที่เธอวิ่งผ่านก็ลุกเป็นไฟเผาทุกสิ่งทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่มอนสเตอร์ยักษ์พวกนั้น ความรวดเร็วในการจัดการมอนสเตอร์ของมิโกะสูงมากกว่าใครอื่นแถมเธอยังไม่ได้เอาจริงด้วยซ้ำ
ตั้งแต่จำความได้ที่นี่ก็ไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย หรือเพราะงานวิจัยที่ว่าดันเจี้ยนสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ตลอดจะเป็นจริง
ในที่สุดเธอก็วิ่งออกไปจากเส้นทางที่ตีกรอบด้วยกำแพงหินเข้าไปในลานประลองขนาดใหญ่ยิ่งกว่าโคลอสเซียมก่อนหน้านี้หลายเท่าตัว
[ผู้ท้าชิงคนที่สองมาถึงแล้ว]
เสียงจากพระเจ้าหรือ ถ้าข้าเป็นผู้ท้าชิงคนที่สองแล้วใครเป็นคนแรกกันแน่
เธอเหลือบไปเห็นชายหนุ่มหน้าตาเฉยชาและได้สบตากันพอดิบพอดี
เจ้านั่นเองสินะ อาจารย์ผู้มีวิชาชั้นสูงของสูงที่สุดของชั้นฟ้าประทาน อาจารย์พิเศษของสำนักศาสตร์นักสู้แถมยังมากับเด็กสาวจิ้งจอกนั่นด้วย
“เจ้ามาถึงคนแรกสินะ แล้วคนอื่น ๆ หายไปไหน?” มิโกะเอ่ยถามด้วยท่าทางองอาจกอดอกมองด้วยสายตาที่ใช้กับสิ่งมีชีวิตเบื้องต่ำ
“เส้นทางจะถูกปิดเมื่อมีคนมาจากเส้นทางนั้น ๆ หรือก็คือตอนนี้เราถูกแยกออกจากคนอื่นเรียบร้อยแล้ว”
“เป็นความจริงหรือ?” เธอหันเดินกลับไปยังเส้นทางเดิมแต่มันก็มีกำแพงที่มองไม่เห็นปิดกั้นไว้คล้าย ๆ โล่มานา
มิโกะขมวดคิ้วสงสัยจากนั้นจึงง้างหมัดมานาชกเข้าไปเต็มแรงจนส่งแรงสะท้อนไปถึงจุดที่ซึฮากิยืนอยู่
นี่มันเหนือขึ้นไปอีกขั้นของโล่มานาแล้ว ความแข็งแกร่งทนทานไม่สะทกสะท้านเลยสักนิดคงจะเป็นฝีมือของพระองค์เป็นแน่
บรรยากาศเงียบขรึมภายใต้แสงตะวันเที่ยงตรงทำให้เหงื่อไหลซก แต่พอมิโกะหันไปมองซึฮากิกลับไม่มีเหงื่อเลยสักหยด
“นี่เจ้ามีเวทมนตร์น้ำแข็งหรืออย่างไร?” มิโกะเดินเข้าไปหาซึฮากิช้า ๆ วางตัวให้ดูน่าเกรงขามและยังมีสีหน้าไม่สบอารมณ์จากอากาศเช่นนี้อีก
“ทำไมครับ? ผมไม่มีหรอกเวทมนตร์น้ำแข็งอะไรนั่น” ซึฮากิตอบโต้โดยไม่มองหน้า
“เวลาพูดกับใครช่วยมองหน้าด้วย นี่เจ้าไม่มีคนสอนมารยาทหรือ?”
“เวลาพูดกับใครช่วยอย่าโยงคนอื่นในทางไม่ดีด้วยนะครับ”
มิโกะผงะตกใจกับคำพูดที่ไม่มีท่าทีเกรงกลัวของซึฮากิ เธอจ้องมองด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ว่าชายคนนี้มีอะไรดีกันแน่
เจ้าสำนักเทวาคารประทับที่ส่งคนไปหาพวกคิโนริ เธอต้องวางแผนอะไรอยู่แน่ ๆ เพราะฉะนั้นเราต้องล้วงข้อมูลมาให้ได้
“ได้ยินว่าคนของของคุณมารังควานคนของผม ทำไมถึงทำแบบนั้นครับ?”
“โห่ เจ้าเองก็รู้แล้วสินะ ถ้าอย่างนั้นข้าจะได้ไม่ต้องอ้อมค้อมให้มากความ” หญิงสาวเผ่าจิ้งจอกเดินมายืนตรงหน้าด้วยความสูงสองเมตรครึ่งทำให้ซึฮากิต้องเงยหน้ามองจากนั้นจึงกล่าวต่อ
“เจ้าจงส่งเด็กสาวเผ่าจิ้งจอกนั่นมาเสีย”
“ไม่ !” ซึฮากิตอบกลับทันทีโดยไม่ต้องคิด
“ข้าพร้อมจ่ายเท่าที่เจ้าต้องการ หนึ่งพัน...หนึ่งหมื่น...หรือหนึ่งแสนเหรียญทอง?”
“ปัญหาไม่ใช่จำนวนเงินแต่เป็นพวกคุณนั่นแหละ การเข้าหาด้วยวิธีหลบซ่อนและเฝ้ามองเป็นอะไรที่แย่สุด ๆ ถ้าหากอยากได้ตัวคิโนริคุณก็ต้องเป็นคนทำให้เธออยากไปเอง”
“อืม...พูดแล้วอย่าคืนคำก็แล้วกัน”
[ผู้ท้าชิงคนที่สามมาถึงแล้ว]
หญิงสาวผมสีน้ำตาลอ่อนเดินเข้ามาด้วยความระมัดระวังจนกระทั่งได้เห็นใบหน้าของซึฮากิ จากความหวาดระแวงเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเบิกบานวิ่งเข้าสวมกอดอย่างกับไม่ได้เจอกันนาน
“ยังปลอดภัยดีสินะกิจัง แล้วเธอเป็นใคร?” ฟรานจ้องมิโกะตาเขม็งสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอ่อน ๆ
“ข้าคือเจ้าสำนักเทวาคารประทับ แล้วผู้กล้าแห่งอาณาจักรเซียเป็นอะไรกับอาจารย์ชั้นสูงผู้นี้?”
“เป็นอะไรเหรอ...ฉันเป็น...” ไม่ทันได้พูดจบก็มีผู้ท้าชิงเข้ามาเพิ่มในเวลาไล่เลี่ยกัน
[ผู้ท้าชิงคนที่แปดมาถึงแล้ว]
จากนั้นเส้นทางทั้งแปดก็โดนปิดสนิทด้วยกำแพงหินที่เหมือนไม่มั่นคงแต่ไม่อาจทำอะไรมันได้เลยสักนิด
“นี่ท่านก็อยู่ด้วยหรือ...ท่านมิโกะ” ชายวัยกลางคนไว้หนวดทรงบาลโบกล่าวทักแต่มือยังจับด้ามดาบไม่ปล่อยไปไหน
“เห็นเจ้าเติบโตมาได้ดีข้าก็ดีใจ แล้วลูกชายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” มิโกะถามด้วยความเป็นห่วงแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความองอาจท่าทางหยิ่งยโส
“ก่อนหน้านี้ข้าส่งเจ้าตัวแสบไปที่อาณาจักรเซียเพื่อเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ และก็ได้เห็นนักดาบเก่ง ๆ อยู่คนหนึ่ง เธอคนนั้นเป็นผู้ที่ได้สมญานามว่าผู้กล้าและยังเชี่ยวชาญเวทมนตร์ธาตุทั้งสี่อีกด้วย”
“อือ...คนที่เจ้าพูดถึงก็อยู่ตรงนี้แล้วนี่” เธอหันหน้ามองฟรานทำให้ชายคนนั้นรู้ได้ทันที หญิงสาวผู้มีสเตตัสสูงกว่าปกติและพลังธาตุทั้งสี่ซึ่งหาได้ยากมากจนแทบเป็นไปไม่ได้มายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว
“เป็นเจ้าเองสินะ...ผู้กล้าแห่งอาณาจักรเซีย” เขายืนเว้นระยะเล็กน้อยดูหวาดระแวงแต่ไม่ใช่กับฟราน แววตาฉงนเหลือบมองใบหน้าของซึฮากิที่เหมือนคนไม่รู้ร้อนรู้หนาวแถมยังแสดงท่าทางกิริยาเป็นกันเองกับท่านมิโกะ
ขณะที่กำลังสนทนาเพื่อทำความรู้จักจู่ ๆ ก็มีหญิงสาวในชุดคลุมปิดทั้งตัวมายืนข้างซึฮากิ
“สเตล่าเหรอ? เธอเองเป็นผู้ท้าชิงสินะ” ฟรานจับมือทักทายส่งยิ้มเบิกบานให้
“ขอกล่าวทักทายคุณซึฮากิ” จากนั้นก็มีชายร่างใหญ่เดินเข้ามาผสานมือทัก เขาผู้นั้นก็คือกังศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักศาสตร์นักสู้ แม้เสื้อผ้าจะขาดหลุดลุ่ยแต่เขาก็หาสนใจไม่
"อืม" ซึฮากิตอบกลับสั้น ๆ และกวาดสายตาไปเห็นชายชราเจ้าสำนักมนตร์ดำที่อยู่ห่างออกไปซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับชุนศิษย์อันดับสองของสำนักศาสตร์นักสู้
เมื่อชุนสังเกตเห็นกังจึงรีบวิ่งมารวมกลุ่มด้วยทันทีและตอนนี้ก็เหลือเพียงโยฮันเจ้าสำนักมนตร์ดำที่ยืนแยกอยู่คนเดียว
“ลูกพี่กังก็มาด้วยหรือ ข้าดีใจจริง ๆ ที่มีคนรู้จักอยู่ด้วย” น้ำเสียงคมเข้มแสดงให้เห็นความใจเย็นและท่าทางหวาดระแวงที่คอยมองหาอันตรายรอบ ๆ ทำให้รู้ว่าเป็นคนรอบคอบพอตัว
[ประกาศสู่สิ่งมีชีวิตชั้นสูง บัดนี้ดันเจี้ยนโคลอสเซียมกำลังจะเริ่มการท้าทายที่แท้จริง]
สถานที่ปิดล้อมค่อย ๆ แปรเปลี่ยนกลายเป็นโคลอสเซียมเหมือนที่เคยเห็นก่อนหน้านี้แต่บนที่นั่งกลับว่างเปล่าไร้สิ่งมีชีวิต
[ประกาศสู่สิ่งมีชีวิตชั้นสูง ดันเจี้ยนโคลอสเซียมจะทำการสุ่มสิ่งมีชีวิตชั้นสูงจากทั้งดาวดวงนี้ เพื่อมาเป็นสักขีพยานชัยชนะอันเลอค่าและความตื่นเต้นที่ไม่อาจหาได้จากที่แห่งใดอีก]
เสาสีขาวสว่างจ้าจนมองไม่เห็นอะไรและเพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็มีคนเต็มที่นั่งผู้ชมแล้ว บางคนก็เป็นขุนนางจากอาณาจักรเซีย บางคนก็เป็นคนจากอาณาจักรนอดที่ต้องสวมชุดกันหนาวตลอด และบางคนก็โชคร้าย
“นี่มันอะไรวะเนี่ย !” มีชายคนหนึ่งกำลังนั่งถ่ายหนักอยู่ดี ๆ แต่กลับโดนอัญเชิญมายังที่แห่งนี้ สภาพอันน่าอายและกลิ่นเหม็นที่โชยออกมาทำให้คนรอบข้างพากันรังเกียจทั้งเตะ ผลักและลากให้ออกไปห่าง ๆ แต่สถานที่ทั้งหมดกลับถูกปิดไม่สามารถออกไปไหนได้
นั่นคงเป็นมุมมองภายนอกของแสงสีขาวที่ใช้เคลื่อนย้าย เสาสีขาวส่องสว่างจนเห็นได้แต่ไกลแม้จะเป็นตอนเที่ยงตรงก็ตาม
“ข้าไม่ได้เห็นบัญชาของพระเจ้ามานานแค่ไหนแล้วนะ? ไม่สิ...ก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องดันเจี้ยนบททดสอบด้วย” มิโกะเงยหน้ามองเหล่าผู้คนที่ได้รับการอัญเชิญรวมทั้งความวุ่นวายมากมายที่เกิดขึ้น
“ไอ้พวกอมนุษย์ชั้นต่ำ” ทหารที่มาจากอาณาจักรเซียชักดาบแทงอมนุษย์ข้าง ๆ จากนั้นเขาก็โดนฟันแขนคลุ้มคลั่งที
น้อยคนนักที่จะสงบใจไม่คล้อยไปกับสถานการณ์เช่นนี้ ความสับสนและอคติของคนจากอาณาจักรเซียทำให้เกิดการนองเลือดจนเหลือผู้รอดชีวิตเพียงแค่ครึ่งเดียว
“หยุดเดี๋ยวนี้ !” ฟรานตะโกนลั่นแต่เสียงของเธอไปไม่ถึงคนเหล่านั้น
“แค่คำพูดมันทำอะไรไม่ได้หรอก” ซึฮากิวางมือลงบนไหล่พยายามให้ฟรานใจเย็นลง
มิโกะกางมือขึ้นไปด้านบนเพื่อส่งเปลวเพลิงลุกสูงเหนือโคลอสเซียมและแพร่ขยายจนเกือบครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด ด้วยความรุนแรงและอลังการของมันทำให้ประชาชนผู้โชคร้ายหันมาสนใจได้
“จงฟังข้า ! ถ้ายังไม่หยุดฆ่ากัน ข้าเนี่ยแหละจะไปฆ่าพวกเจ้าเอง”
“แล้วมันต่างกันตรงไหน?” ซึฮากิพูดขัดอารมณ์ทำเอามิโกะถลึงตาใส่
แม้จะดูงง ๆ แต่ด้วยออร่ามานาเข้มข้นที่แพร่ออกไปทำให้ประชาชนหยุดตีกันเองได้เสียที แต่นั่นก็อาจจะได้ผลแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นหากมีใครปลุกระดมขึ้นมาอีกก็คงไม่วายฆ่ากันอีก
[ประกาศสู่สิ่งมีชีวิตชั้นสูง เนื่องจากที่นั่งสิ่งมีชีวิตชั้นสูงมีไม่ครบจึงทำการสุ่มเรียกใหม่]
เสาสีขาวปรากฏอีกครั้งเพื่อเติมเต็มที่นั่งที่โชกไปด้วยเลือดให้เต็ม แต่นั่นกลับเป็นการซุ่มไฟกองใหม่เข้าไปอีกครั้งแต่ก็สูญเสียน้อยกว่าครั้งแรก
เพราะกลุ่มก่อนหน้าช่วยกันพูดคุยก็เลยลดโศกนาฏกรรมไปได้บ้าง แต่บรรยากาศและสถานที่ที่เละไปแล้วก็ยิ่งทำให้พวกเขาจมดิ่งลงไปได้อีก เราจ้องรีบจบการท้าทายนี้ก่อนที่พวกเขาจะหมดความอดทน
“เหมือนมีประตูโผล่ออกมาด้วยล่ะ” ฟรานสะกิดซึฮากิให้มองไปยังเบื้องหน้าห่างออกไปสุดขอบกำแพงหิน
[สเตตัสของผู้ท้าชิงทุกคนจะถูกลดกลับไปเป็นค่าเริ่มต้นทั้งหมด]
“หา?” เสียงอุทานด้วยความฉงนของผู้ท้าชิงและเมื่อเปิดหน้าต่างสเตตัสดูกลับพบว่าสเตตัสทุกอย่างลดลง
[เริ่มการท้าชิงรอบที่หนึ่ง]
ประตูขนาดใหญ่ค่อย ๆ เปิดออก จากนั้นก็มีวัวกระทิงขนาดปกติที่หาได้ทั่วไปเดินออกมา ดวงตาสีแดงก่ำกำลังคลุ้มคลั่งจนควบคุมตัวเองไม่ได้และวิ่งเข้าไปหาผู้ท้าชิงทันที
“ถอยออกไปข้าจะจัดการเอง...”
“อย่าพึ่งใช้ !” ซึฮากิตะโกนขัดมิโกะที่กำลังจะฟาดดาบเพลิงใส่กระทิงตัวนั้น
“อะไรของเจ้า ทำไมถึงไม่ให้ใช้?” ระหว่างที่กำลังคุยกันพวกเขาก็ต้องคอยวิ่งหลบกระทิงไปเรื่อย ๆ
“สเตตัสกลับไปเป็นค่าเริ่มต้นซึ่งมีมานาน้อยมาก ๆ ถ้าพวกคุณใช้เวทมนตร์สุ่มสี่สุ่มห้าเดี๋ยวก็หมดสติกันพอดี”
“อย่าริอ่านมาดูถูกข้า ข้าไม่เหมือนพวกอ่อนหัดเช่นเจ้า” มิโกะเดาะลิ้นไม่สบอารมณ์จากนั้นจึงพุ่งเข้าหาวัวกระทิงตัวนั้นและใช้มานาเสริมหมัดชกเข้าที่หัวของมันตาย
เสริมมานาเพียงเล็กน้อยและโจมตีให้โดนจุดตาย เธอไม่ใช่แค่พวกบ้าพลังเหมือนจักรพรรดินีซึ่งนั่นเป็นข้อดีมาก ๆ
[เริ่มการท้าชิงรอบที่สอง]
ประตูบานยักษ์เปิดออกอีกครั้ง จากนั้นก็มีวิวกระทิงธรรมดาอีกแปดตัววิ่งเข้าใส่ด้วยความคลุ้มคลั่ง สามตัววิ่งไปหากังเพราะตัวใหญ่รวมทั้งใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาดกว่าคนอื่นทำให้พวกมันโดนดึงดูดไป ส่วนอีกห้าตัวได้กระจายกันไปทั่วลานดินวิ่งไล่มั่วซั่วจนบางครั้งก็ชนกันเอง
“ฟราน ! ล่อพวกมันมา” ซึฮากิกับฟรานวิ่งออกไปคนละทางเพื่อล่อวัวกระทิงทั้งหมด
พวกเขาสองคนวิ่งล่อสักพักกว่าที่พวกมันจะหันมาสนใจ ขบวนวัวกระทิงวิ่งตามหลังทั้งสองมาติด ๆ และแล้วเส้นทางวิ่งของทั้งสองก็มาบรรจบรวมกัน
“ไป !” เสียงสัญญาณของซึฮากิดังขึ้นทำให้ทั้งเขาและฟรานกระโดดหลบไปข้าง ๆ ในวินาทีสุดท้าย
แรงกระแทกอันรุนแรงของวัวกระทิงฝั่งละสี่ตัวกำลังปะทะกันจนบางตัวก็มีเขาแทงเข้าที่คอ บางตัวก็โชคดีที่ไม่โดนจุดสำคัญแต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจรอดพ้นเงื้อมมือของสองหนุ่มสาวได้
“ตอนนี้แหละ” ซึฮากิและฟรานใช้ช่วงเวลาอันน้อยนิดเพื่อจัดการปิดฉากวัวกระทิงที่เหลือด้วยมีดสั้นและดาบขณะที่มันยังตั้งหลักไม่ทัน
“โห่...นี่มันสุดยอดไปเลยคุณซึฮากิ” กังปรบมือยืนอึ้งที่ได้เห็นการประสานงานของทั้งสอง
เราเองก็อยากไปยืนอยู่จุดนั้นบ้างจัง สเตล่าเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของทั้งสอง จดจำและจินตนาการสร้างแบบจำลองการต่อสู้ในหัว
“สมกับเป็นผู้กล้าแห่งอาณาจักรเซียผู้มีวิชาดาบระดับสุดยอด การตัดหัวของพวกมันเมื่อกี้ก็ทำได้อย่างประณีตและรวดเร็วราวกับการลงสีบนผืนผ้าใบ” เจ้าสำนักดาบเทพยิ้มสนุกที่ได้เห็นการต่อสู้ดิบเถื่อนไร้ซึ่งเวทมนตร์
[เริ่มการท้าชิงรอบที่สาม]
ไม่ทันได้พักหายใจเต็มปอดประตูยักษ์ก็เปิดออกอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้มันไม่ใช่วัวกระทิงอีกต่อไปแต่เป็นกอริลลาตัวโตเต็มวัยแปดตัว
“สั่งมาได้เลย” สเตล่าชักมีดสั้นออกมาเตรียมพร้อมสู้เฉกเช่นเดียวกับชายวัยกลางคนคนนั้น
“ดูเหมือนข้าจะต้องเข้าร่วมด้วยเสียแล้ว” เจ้าสำนักดาบเทพก้าวขึ้นมาเคียงข้างซึฮากิและฟรานเป็นดั่งป้อมปราการชั้นแรก
“คนที่เหลือเก็บแรงและมานาไว้ก่อน ดูเหมือนการท้าชิงจะมาอย่างต่อเนื่องซึ่งการแบ่งเวรพักเอาแรงน่าจะเป็นเรื่องที่ดี” ซึฮากิป่าวประกาศเสียงดังไม่สนฐานะหรือพลังอำนาจใด ๆ เพราะที่แห่งนี้หากไม่ร่วมมือกันก็คงจะไม่รอดเป็นแน่แท้
อีกด้านหนึ่งก็มีการปะทะกันของกองทัพทหารกับฝูงสัตว์อสูร
“เหล่านักเวทสร้างหลุมให้ลึกที่สุด” หัวหน้าหน่วยกำแพงทิศเหนือประกาศเสียงดังโดยที่มีสีหน้าสั่นกลัวแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง เพราะเป็นเช่นนั้นทำให้ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารตกลงต่ำจนอยากจะหนีออกไปให้ห่างเดี๋ยวนี้
“บ้าเอ๊ย ! นี่มันการลงทัณฑ์จากพระเจ้าหรือ?”
“ความสงสัย นินทา คำครหา ข้อเท็จจริง คำเชยชม ความเกียจคร้าน ไม่ว่าสิ่งใดก็ต้องมีเหตุและผลรองรับไม่เว้นแม้แต่ฆาตกรที่ฆ่าคนไม่เลือกหรือนักบุญที่หลับหูหลับตาช่วยเหลือทุกคนจนตัวเองต้องลำบากแทน แต่ทุกอย่างที่หาเหตุผลมารองรับได้จับเป็นต้องเข้าใจมันซึ่งน้อยคนนักจะสามารถทำได้ เกียจคร้านเพราะเคยโดนดูถูกเหยียดหยามจนหมดแรงใจที่จะทำสิ่งใด ๆ หรือขุนนางที่ร่ำรวยแจกเงินให้ผู้คนยากไร้แต่เบื้องหลังกลับค้ามนุษย์เป็นกิจจะลักษณะ…” นักบวชคนหนึ่งสาธยายให้เหล่าทหารทั้งหลายฟังแต่ทันใดนั้นก็มีเสียงชายคนหนึ่งพูดขัดกลางคัน
“ครั้งหนึ่งเคยมีชายหน้าหล่อที่พยายามจะทำลายใบหน้าของตัวเอง ใบหน้าที่นำพาความทุกข์มาให้ไม่มีที่สิ้นสุดแต่แล้วเขาก็ทำไม่สำเร็จ อยากรู้ไหมว่าทำไม?” เซนเดินฝ่าวงล้อมทหารไม่เกรงกลัวใด ๆ
ใบหน้างุนงงของพวกเขาเสมือนเป็นการตอบว่าไม่รู้
“ที่เขาทำไม่สำเร็จไม่ใช่เพราะเลือกเส้นทางผิดหรืออะไรอื่นเลย สาเหตุนั้นมันอยู่เพียงแค่ใต้จมูกเราเท่านั้น...ความแข็งแกร่งและจิตใจที่มุ่งไปสู่ความแข็งแกร่ง พวกนายจะไปกับฉันหรือไม่ !” เซนตะโกนถามแต่แทนที่จะรอคำตอบเขากลับกระโดดข้ามหลุมกว้างมากกว่าหนึ่งร้อยเมตรเข้าไปกลางดงศัตรู
เปลวเพลิงลุกขึ้นสูงเสียดฟ้าราวกับประตูนรกที่เปิดรับสัตว์อสูรเหล่านั้น แค่การฟาดดาบหนึ่งครั้งก็กวาดพวกสัตว์อสูรในระยะหนึ่งร้อยเมตรให้หายไปได้ทันที
“บ้าน่าถ้าใช้พลังแบบนั้นเดี๋ยวตัวเองก็โดนลูกหลงไปด้วยหรอก” หัวหน้าทหารมองด้วยสายตาตกตะลึงก่อนที่จะมีหญิงสาวอีกคนตามมาสมทบ
“จำนวนที่เหลือมีประมาณเท่าไร?” คานะมาถึงก็ถามทันที
“อะเออ ประมาณหนึ่งหมื่นห้าพันตัวขอรับ”
“อืม งั้นให้เขาจัดการตรงนี้ไป ส่วนพวกนายไปเสริมทัพกับประตูฝั่งตะวันออก”
“ตะแต่ว่าเขาคน...” เมื่อกวาดสายตามองดี ๆ จึงเห็นพวกสัตว์อสูรค่อย ๆ ลดลงอย่างรวดเร็วจนเหลือประมาณหนึ่งหมื่นสี่พันตัว
“สัตว์อสูรพวกนั้นเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เขาเคยเจอมาเลย แค่ระดับพลังก็ต่างกันหลายเท่าแล้ว...” คานะกวาดสายตามองไปยังกำแพงเมืองทิศอื่นจากนั้นจึงกล่าวต่อ
“พาทหารไปที่ประตูตะวันออกซะ ส่วนฉันจะไปช่วยประตูตะวันตก”
แม้จะกล้า ๆ กลัว ๆ แต่สุดท้ายพวกทหารก็ถอนกำลังจากประตูทิศเหนือและมุ่งไปยังทิศตะวันออกทันที
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 303
แสดงความคิดเห็น