ตอนที่ 10 สร้างบ้านดิน
หลังราตรีที่โอบล้อมด้วยรอยยิ้มและความสุขผ่านพ้นไป วันรุ่งขึ้นในยามซื่อ ( 09.00 – 10.59) สองพ่อลูกตระกูลจางจึงพากันออกเดินมุ่งสู่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อพบซุนถง จางอี้เทาถือกระบอกน้ำตาลผักไปสองกระบอกไม่ไผ่ไปด้วย มันมีทั้งแบบเข้มข้นสำหรับปรุงอาหารและแบบเจือจางสำหรับใช้ดื่มแทนชา
ด้วยบ้านจางนั้นอยู่ท้ายหมู่บ้าน พวกเขาจึงต้องใช้เวลามากพอสมควรกว่าจะถึงบ้านครอบครัวซุน จางอี้หมิงจับมือบิดามาตลอดทาง เด็กน้อยได้โอกาสมองสำรวจโน่นนี่อย่างหนำใจ
“ท่านลุงซุนถง อยู่บ้านหรือไม่ขอรับ” เมื่อมาถึงที่หมาย จางอี้เทาก็ตะโกนเรียกอยู่สองสามครั้ง
“ใครมาโวยวายอยู่ตรงบ้านข้า” ซุนซูเย่เดินออกมาดู “อ้าวอาเทาเองหรือ มีอะไรหรือเปล่า”
“ท่านพี่เย่ ข้าอาเทากับหมิงเอ๋อร์มีธุระอยากจะขอคุยกับท่านลุงถง ไม่ทราบท่านหัวหน้าหมู่บ้านอยู่หรือไม่ขอรับ”
“เจ้ามาหาท่านพ่อหรือ เข้ามาในบ้านก่อน ท่านพ่ออยู่หลังบ้าน”
“ขอบคุณขอรับ ข้าไม่ได้มาหาท่านลุงถงอย่างเดียว ข้าอยากปรึกษาบางอย่างจากท่านพี่เย่ด้วยขอรับ”
“ได้ ๆ งั้นพวกเราไปหาท่านพ่อกันก่อนเถอะ” ซุนซูเย่ตอบ เขาเดินนำสองพ่อลูกตรงไปทางหลังบ้านที่มีซุนถงกำลังนั่งสานตะกร้าอยู่
“ท่านพ่อ อาเทากับหมิงเอ๋อร์มาหาขอรับ”
“อาเทากับหมิงเอ๋อร์งั้นหรือ” หัวหน้าหมู่บ้านเงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตาคู่นั้นดูมีเมตตาและใจดี “มีธุระอันใดกับข้าหรือ มาๆ นั่งลงก่อน”
ซุนถง ชายวัยชรา อายุประมาณ 50 ปี หัวหน้าหมู่บ้านหลัวถง เขาเป็นคนเดียวที่รู้หนังสือในหมู่บ้านนี้ เพราะชาวบ้านที่นี่ด้อยความรู้นัก แม้แต่ซุนซูเย่ผู้เป็นบุตรชายของเขาเองก็ยังไม่รู้หนังสือ เนื่องจากว่าเกลียดการเรียนหนังสือ ซุนซูเย่ชอบงานในไร่มากกว่าและไม่คิดที่จะรับตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านสืบต่อจากบิดา
ซึ่งนั่นทำให้ซุนถงปวดหัวใจไปหลายปี
“ท่านลุงถง พวกข้าสองคนพ่อลูกมีเรื่องมาปรึกษาขอรับ นี่ก็ใกล้เข้าฤดูหนาวแล้ว อีกไม่ถึงสามเดือน ข้าเกรงว่าบ้านข้าจะทนสภาพอากาศหนาวเย็นและหิมะไม่ไหว ข้าจึงอยากจะสร้างบ้านก่อนที่ฤดูหนาวจะมาถึงขอรับ” จางอี้เทาเอ่ยเข้าเรื่อง เขานั่งลงตรงข้ามกับชายชราอย่างเรียบร้อย
“อาเทา ข้าก็เห็นด้วยนะ เพราะบ้านเจ้าก็เหมือนกระท่อมปลายนาที่บอบบาง ถ้าหิมะตก หลังคาคงรับไม่ไหว ทว่าการสร้างบ้านมันต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก แต่ว่า....บ้านเจ้า.....” ซุนถงเอ่ยเสียงขาดหาย เขาไม่อยากกล่าวอะไรให้กระทบกับความรู้สึกของชายหนุ่มตรงหน้า
“ขอรับ ตอนนี้บ้านข้าไม่มีเงินแม้แต่อีแปะเดียว แต่ตอนที่ข้าเป็นอาจารย์อยู่ในเมืองหลวงได้รู้วิธีการสร้างบ้านจากดินขอรับ จึงไม่จำเป็นต้องไปซื้อวัสดุอุปกรณ์ใด ๆ ใช้แค่ดินกับเศษฟางแห้งในการทำ ไม้ก็ไปตัดเอาบนภูเขา แต่ว่าข้าติดปัญหาแรงงานที่จะมาช่วยสร้างบ้านขอรับ จึงอยากจะมาปรึกษาท่านลุงถงว่าสมควรเห็นทำเช่นใดดีขอรับ”
“มันก็พูดยากนะอาเทา ช่วงนี้กำลังอยู่ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ชาวบ้านยุ่งกับการเก็บเกี่ยวผลผลิตก่อนเข้าฤดูหนาว ถึงแม้ว่าบางบ้านจะทำเสร็จแล้ว แต่พวกเขาก็ต้องไปหางานทำในเมืองเพื่อหาเงินมาซื้อเสบียงตุนไว้เหมือนกัน ยกเว้นเจ้าจะมีเงินไปจ้างแรงงานมาช่วยเท่านั้น แต่ตอนนี้พวกเจ้าก็ไม่มีสักอีแปะ” ซุนถงถึงกับขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ตกว่าจะช่วยครอบครัวนี้อย่างไรดี
“ท่านลุงถง ข้ามีความคิดว่าจะทำการแลกเปลี่ยนกับชาวบ้านขอรับ ข้าในฐานะที่เคยเป็นอาจารย์ในเมืองหลวง ข้ายินดีสอนหนังสือให้เด็ก ๆ เป็นเวลา 1 ปี หลังจากผ่านฤดูหนาวนี้ไปแล้ว แลกกับแรงงานของบิดาเด็กที่มาช่วยข้าสร้างบ้าน ท่านลุงถงเห็นเป็นเช่นใดบ้างขอรับ”
“จ่ายแรงงานด้วยการสอนหนังสือเช่นนั้นหรือ เป็นความคิดที่ดี พวกเราชาวบ้านแบบนี้คงไม่มีเงินเพียงพอที่จะไปเรียนหนังสือในเมืองเช่นกัน” ซุนถงเห็นด้วย แบบนี้จะมีเด็กๆในหมู่บ้านที่ได้รับการศึกษาเพิ่มขึ้น นับเป็นเรื่องที่ดี
“ข้าคิดว่าบิดาทั้งหลายคงอยากให้บุตรหลานของตนรู้หนังสือ ในเมื่อข้าเคยเป็นอาจารย์มาก่อน ข้าสามารถสอนหนังสือให้เด็ก ๆ เหล่านั้นได้ ในอนาคตหมู่บ้านของเราอาจจะมีบัณฑิตสักคนก็เป็นได้นะขอรับ” จางอี้เทายังเกลี่ยกล่อมหัวหน้าหมู่บ้านต่อ
“อาเทา เจ้ามาวันนี้คงอยากให้พ่อของข้าออกหน้าไปถามเหล่าชาวบ้านใช่หรือไม่” ซุนซูเย่ที่นั่งฟังมานานเอ่ยถาม
“ใช่แล้วขอรับท่านพี่เย่ ข้าอยากรบกวนท่านลุงถงออกหน้าถามชาวบ้านให้ข้าได้หรือไม่ขอรับ”
“อาเทา ข้ายินดีที่จะสอบถามให้เจ้า แต่ข้าไม่รับปากนะว่าชาวบ้านจะเห็นด้วยหรือไม่” ซุนถงรับคำ
“ขอบคุณท่านลุงถงมากขอรับ รบกวนท่านลุงถงแล้ว”
“ท่านพ่ออย่าลืมน้ำตาลผัก” จางอี้หมิงเมื่อเห็นว่าบิดาบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว จึงสะกิดเตือน
“โอ้ จริงด้วย ท่านลุงถง ท่านพี่เย่ นี่เป็นน้ำตาลผักที่บ้านข้าได้คิดค้นขึ้นมา ข้านำมาให้สองกระบอก สีเข้มเอาไว้ปรุงอาหารแทนน้ำตาล ส่วนสีอ่อน เอาไว้ดื่มแทนชา มันหวานอร่อยมาก ท่านลุงถงลองชิมดูได้” จางอี้เทาแย้มยิ้ม เขายื่นน้ำตาลผักให้หัวหน้าหมู่บ้านไปทั้งสองกระบอก
“อาเทา เจ้าว่ายังไงนะ” ซุนถงถึงกับชะงัก ชายชราลองแคะหูตัวเองเผื่อว่ามันอาจจะเพี้ยนไปแล้ว“น้ำตาลผักเช่นนั้นหรือ ใช้แทนน้ำตาลได้งั้นหรือ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“ใช่แล้วขอรับ น้ำตาลผัก ท่านต้องการความหวานมากน้อยแค่ไหนก็ตักใส่ได้เลยขอรับ ค่อย ๆ ใส่ไปทีละน้อย ได้ความหวานตามที่ต้องการแล้วก็หยุดได้ขอรับ เมื่อคืนวานบ้านข้าต้มโจ๊กธัญพืชใส่น้ำตาลผัก อร่อยมากทีเดียว นี่ก็ใกล้ยามอู่ (11.00 – 12.59) แล้ว ท่านลองให้ท่านพี่เจียวเม่ยทำดูได้ขอรับ”
จางอี้เทาแนะนำท่านหัวหน้าหมู่บ้านด้วยความคล่องแคล่วสมเป็นบัณฑิต เขาไตร่ตรองไว้แล้วว่าถ้าท่านลุงถงชอบใจในน้ำตาลผัก ชาวบ้านคนอื่นๆก็คงจะพึงใจไม่ต่างกัน
“อย่าลืมลองดื่มน้ำตาลผักสีอ่อนดูนะขอรับมันสามารถดื่มได้แบบนั้นเลยโดยไม่ต้องนำไปทำอันใดอีกแล้วขอรับ”
“อาเย่ เอาไปให้สะใภ้ลองทำดู ข้าก็อยากจะรู้นักว่าน้ำตาลผักมันจะหวานเหมือนกับที่อาเทาบอกหรือไม่” ซุนถงยื่นกระบอกไม้ไผ่ให้กับบุตรชายเพื่อส่งต่อไปให้ภรรยาของเขาทดลองทำดู
“ไหนพวกเจ้าบอกว่ามีวิธีสร้างบ้านจากดิน มันเป็นยังไง” ซุนถงหันมาถามจางอี้เทาอีกครั้ง
“มันเป็นแบบนี้ขอรับ........”
จางอี้เทาเริ่มอธิบายถึงวิธีการทำบ้านดินโดยละเอียด ก่อนที่จะมาหาซุนถง จางอี้หมิงได้บอกเล่าวิธีการให้เขาฟังแล้ว ซึ่งเขาสามารถเข้าใจได้ทั้งหมดหลังจากฟังเพียงไม่กี่ครั้ง ทั้งยังสามารถอธิบายแยกย่อยออกมาให้ซุนถงเข้าใจโดยง่าย สมกับเป็นอาจารย์จากเมืองหลวง แต่ก็คงไม่เท่าชาวสวรรค์ที่คิดค้นการสร้างบ้านแบบนี้ขึ้นมา
“ถ้าจากที่เจ้าอธิบายมา วิธีการไม่ยาก ไม่น่าเชื่อการทำแบบนี้แล้วจะสร้างบ้านได้ ดูแล้วคงแข็งแรงและทนทานพอรับกับฤดูหนาวที่จะมาถึง วันพรุ่งนี้ข้าจะประกาศให้ชาวบ้านรู้ อีกสามวันพวกเจ้าค่อยมาฟังคำตอบก็แล้วกันนะ” ซุนถงสรุปพร้อมตบบ่าเบาๆ
เวลาผ่านไปไม่นาน ซุนซูเย่ที่หายเข้าครัวไปก็ออกมาเรียกบิดาให้ทานข้าว ซุนถงเอ่ยชวนสองพ่อลูกอยู่ทานด้วยกัน ดังนั้นทั้งหมดจึงพากันย้ายมานั่งด้านในแทน
“หมิงหมิงน้อย มานี่ ลุงจะแนะนำให้รู้จักกับลูก ๆ ของลุง” ซุนซูเย่กวักมือเรียกจางอี้หมิงให้เข้าไปหา
“นี่คือซุนซูลี่ นางอายุ 10 ขวบ และ ซุนหมิงเย่ อายุ 8 ขวบ รู้จักกันไว้สิ ต่อไปจะได้เป็นเพื่อนเล่นด้วยกัน” ซุนซูเย่แนะนำ “ลี่เอ๋อร์ เย่เอ๋อร์ นี่คือ จางอี้หมิง บุตรชายท่านอาอี้เทา หมิงเอ๋อร์ อายุ 5 ขวบ พวกเจ้าอาจจะยังไม่เคยได้เจอกัน เพราะหมิงเอ๋อร์ เพิ่งหายจากเจ็บไข้ ต่อไปเป็นเพื่อนกันดี ๆ นะ”
ซุนซูลี่ เด็กสาวที่กำลังจะเติบโตเป็นหญิงสาว มีรูปร่างผอม แต่ไม่ถึงกับแห้ง ใบหน้าเรียวรูปไข่จิ้มลิ้ม ส่วนซุนหมิงเย่ เป็นเด็กชายที่ตัวเล็กกว่าพี่สาวนิดหนึ่ง ซูลี่ดูแล้วเป็นคนที่มีความมั่นใจในตนเองสูงอาจจะเพราะเป็นพี่คนโต ส่วนหมิงเย่ผู้เป็นคนน้องกลับขี้อาย คอยแต่หลบหลังพี่สาว ไม่กล้าเยี่ยมหน้าออกมามองจางอี้หมิง ทั้งที่ตนเองอายุมากกว่า
“สวัสดีท่านพี่ซูลี่ ท่านพี่หมิงเย่” จางอี้หมิงเอ่ยทักทายพร้อมส่งยิ้มไปให้
“สวัสดีหมิงหมิงน้อย ต่อไปเจ้ามาเป็นน้องชายข้าอีกคนดีหรือไม่ อาเย่คงถูกใจที่มีเพื่อนเป็นเด็กชายเช่นเจ้า” ซุนซูลี่กล่าวตอบพร้อมกับยิ้มให้น้องชายคนใหม่ นางรู้สึกถูกชะตาเด็กคนนี้นัก
“ขอบคุณพี่ซูลี่ ข้ายินดีเป็นน้องชายของพี่ซูลี่และพี่หมิงเย่ ขอรับ”
“ดี ๆ ผูกมิตรกันเอาไว้ เด็ก ๆ ไปนั่งได้แล้ว อาเทาเจ้าก็มากินข้าวด้วยกัน ไหนลองหน่อยสิว่าน้ำตาลผักจะอร่อยตามที่เจ้าบอกหรือไม่” ซุนซูเย่เอ่ยไล่เด็กๆ ไปนั่งประจำที่ รวมทั้งผลักจางอี้เทาให้ร่วมโต๊ะด้วย ถึงจะบอกว่ามันเป็นโต๊ะก็เถอะ แต่ความจริงแล้วมันก็คือแคร่ไม้ไผ่นี่เอง
ทุกคนนั่งล้อมวงนั่งกินข้าวด้วยกัน เด็กๆทั้งสามนั่งติดกันทางฝั่งซ้ายของหัวหน้าหมู่บ้าน ทางขวามือเป็นจางอี้เทาและซุนซูเย่กับสะใภ้ สำหรับภรรยาของซุนถงนั้นเสียชีวิตไปได้หลายปีแล้ว เขาไม่คิดแต่งงานใหม่ให้มากความ สมาชิกทั้งหมดจึงมีเพียงเท่านี้
สำหรับอาหารวันนี้ก็เป็นดั่งที่จางอี้เทาแนะนำ โชคดีที่บ้านซุนมีฐานะดีกว่าจึงมีข้าวกิน แม้ว่ามันจะไม่ใช่ข้าวคุณภาพดีเท่าบ้านจางในเมืองหลวง แต่ก็ดีกว่าธัญพืชหยาบเป็นไหน ๆ มื้อแรกของจางอี้หมิงในวันนี้จึงมีน้ำแกงเนื้อ 1 อย่างไว้กินกับข้าวต้ม นับว่าเป็นอาหารชั้นดีสำหรับชาวบ้านธรรมดา
“ท่านแม่ น้ำแกงเนื้อวันนี้อร่อยมากเลยขอรับ” ซุนหมิงเย่เอ่ยขึ้นมาเป็นครั้งแรกหลังจากที่ตักข้าวกินไปคำแรก เด็กน้อยรีบตักคำต่อๆไปเข้าปากตามไปติดๆ
“แม่ก็ทำเหมือนเช่นทุกวันนะเย่เอ๋อร์ แต่วันนี้แม่เติมน้ำตาลผักที่ท่านอาอี้เทาเอามาฝาก” เจียวเม่ยหันไปตอบบุตรชาย
“ข้าชอบมากขอรับ ท่านแม่ทำให้ข้ากินทุกวันได้หรือไม่ขอรับ” ซุนหมิงเย่เอ่ยบอกมารดาทั้งที่ในปากยังเต็มไปด้วยข้าว
“เย่เอ๋อร์ มันอร่อยมากเช่นนั้นหรือ” ซุนถงเอ่ยถามหลานชายด้วยความสนใจ ปกติแล้วหมิงเย่ไม่ค่อยกินข้าว ตัวถึงเล็กกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน
“ขอรับท่านปู่ มันอร่อยกว่าทุกวันเลย ข้าชอบมากขอรับ”
“ดี ๆ ถ้าอร่อยเย่เอ๋อร์ต้องกินเยอะ ๆ จะได้โตไว ๆ และอ้วนขึ้นอีกนิด ปู่ปวดใจเหลือเกินที่หลานผอมแห้งเช่นนี้” ซุนถงถึงกับตบมือลงไปบนเข่าตนเองฉาดใหญ่อย่างถูกใจที่หลานชายของตนกินอาหารได้ เพราะครอบครัวซุนเป็นกังวลเรื่องที่ซุนหมิงเย่นั้นร่างกายเล็กเกินไปมานานแล้ว ถ้าเด็กชายเริ่มเจริญอาหาร เขาจะได้มีร่างกายที่แข็งแรงและเติบโตได้ตามปกติ
“อร่อยก็กินเยอะ ๆ แม่มีให้เย่เอ๋อร์กินอีกมาก” เจียวเม่ยมองดูลูกชายกินเอากินเอาแล้วยิ้มเต็มใบหน้า
“ท่านพ่อ ลองดูขอรับ เย่เอ๋อร์บอกว่าอร่อย มันคงอร่อยจริง” ซุนซูเย่หันไปเอ่ยกับบิดาของตน
ซุนถงตักน้ำแกงพร้อมข้าวเข้าปาก เขาพินิจดูไปมาอย่างใคร่สงสัยว่าน้ำแกงธรรมดาจะอร่อยขึ้นมาได้อย่างไร แต่คิดไปก็ไม่อาจรู้ ดังนั้นเขาจึงอ้าปากกว้างกินเข้าไปเสียคำโต
“อืม น้ำแกงเนื้อถ้วยนี้อร่อยขึ้นจริง ๆ ด้วย มีความหวานเพิ่มขึ้นมา เมื่อนำมาตัดกับรสเผ็ดร้อนของเครื่องเทศทำให้ข้าชอบมันไม่น้อยเทียวละ” ซุนถงถึงเอ่ยปากชมก่อนจะหันไปชวนซุนซูเย่ชิมอาหารตรงหน้า“อาเย่ ลองกินดู”
“ท่านปู่ถง มันอร่อยเพราะว่าบ้านท่านปู่มีเกลือขอรับ แต่สำหรับชาวบ้านธรรมดาที่ไม่มีเกลือ แค่น้ำตาลผักนี้ก็เพียงพอแล้วขอรับ”
จางอี้หมิงเอ่ยอธิบายให้หัวหน้าหมู่บ้านฟัง เกลือ 1 จิน ราคาตั้ง 65 อีแปะ เกือบจะเท่าค่าแรงขั้นต่ำที่อยู่ที่ 200 อีแปะต่อวันแล้ว ชาวบ้านตาดำ ๆ ไม่กินแน่
“ท่านลุงถงว่า ถ้าข้าทำน้ำตาลผักออกมาขาย ชาวบ้านจะชอบหรือไม่ขอรับ” จางอี้เทาลองเอ่ยถามหัวหน้าหมู่บ้านด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจมากนัก
“ทำออกมาขายเช่นนั้นหรือ เป็นความคิดที่ดีนะอาเทา เพราะอย่างที่รู้น้ำตาลราคาแพงมาก ชาวบ้านยากจนเกินกว่าจะซื้อน้ำตาลมากิน แต่ว่าราคาน้ำตาลผักนี้จะมีราคาแพงหรือไม่”
“ไม่แพงขอรับ ข้าคิดว่าจะทำออกมาแจกให้ชาวบ้านในหมู่บ้านเราทดลองได้กินดูก่อน ถ้าผลตอบรับดี พวกข้าจะลองทำเอาไปขายในเมืองดูขอรับ”
“มันทำมาจากอะไร ทำยากหรือไม่” ซุนซูเย่ถามแทรกขึ้นมาด้วยความอยากรู้
“อาเย่ อย่าเสียมารยาท” ซุนถงตำหนิเบาๆ “อาเทา ข้าขอโทษแทนลูกชายข้าด้วย อาเย่คงลืมไปว่าสูตรต่าง ๆ ของแต่ละบ้านมักเป็นความลับ”
“ไม่เป็นไรขอรับท่านลุงถง ครอบครัวของท่านลุงช่วยครอบครัวข้าไว้มากมาย เพียงเท่านี้ไม่เป็นไร เพียงแต่ว่ามันยังไม่ลงตัว รอให้อะไรมันลงตัวแล้ว ข้าจะตอบแทนบ้านซุนแน่นอนขอรับ”
“อาเทา อย่าคิดมาก พวกเราชาวบ้านอยู่ด้วยกันอย่างสงบ มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน เห็นคนตกทุกข์ได้ยากมา ไม่ช่วยก็ขาดคุณธรรมเกินไปแล้ว”
“ท่านพ่อขอรับ พวกเรากลับไปทำน้ำตาลผักอีกเยอะ ๆ วันพรุ่งนี้ที่ท่านปู่ถงเรียกชาวบ้านมาสอบถามถึงการแลกเปลี่ยนแรงงานกับการสอนหนังสือ ก็ให้ท่านปู่ถงมอบน้ำตาลผักให้กับชาวบ้านไปลองชิมดูด้วยเลยสิขอรับ อีกสามวันเมื่อพวกเรามาฟังคำตอบ เราจะได้คำตอบทั้งสองเรื่องพร้อมกัน” จางอี้หมิงเมื่อเห็นว่าได้จังหวะจึงรีบแสดงความเห็น
“หมิงหมิงน้อยช่างฉลาดเสียจริง ทำเช่นนั้นก็ดียิ่ง” ซุนถงเอ่ยชม
“ขอบคุณขอรับ” จางอี้หมิงยิ้มรับหน้าบาน
เมื่อได้บรรลุความต้องการแล้ว จางอี้เทากับบุตรชายก็อยู่คุยกับบ้านซุนอีกไม่นานพวกเขาจึงขอตัวกลับบ้าน เพราะต้องขึ้นภูเขาไปเก็บต้นหญ้าหวานมาทำน้ำตาลผักเพื่อส่งมอบให้ชาวบ้านในวันพรุ่งนี้อีกจำนวนมาก
เริ่มแล้วสินะ หนทางแห่งความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ข้าต้องทำให้ได้
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 354
แสดงความคิดเห็น