ตอนที่ 9 น้ำตาลผัก
เมื่อกลับมาถึงบ้าน นางหูได้ทำโจ๊กธัญพืชและผัดผักบุ้งไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จางอี้หมิงบอกให้บิดานำต้นหญ้าหวานมาเด็ดเอาแต่ใบอ่อนล้างให้สะอาดก่อนจะนำไปตากแดด เสร็จแล้วทั้งครอบครัวจึงเริ่มนั่งล้อมวงกินข้าวมื้อแรกของวัน เว้นแต่หลี่อ้ายที่ไม่ได้มานั่งกินข้าวด้วย จางอี้เทาจึงคิดว่านำโจ๊กไปป้อนให้ภรรยาถึงเตียงนอนหลังจากที่ตนเองกินเรียบร้อยแล้ว
“เมื่อวานแม่ว่าผัดผักบุ้งอร่อยมากแล้ว วันนี้อร่อยกว่าเมื่อวานเสียอีก” นางหูเอ่ยขึ้นมาหลังจากคีบผัดผักบุ้งเข้าปาก รสชาติมันอร่อยถูกปากกว่าเดิมเป็นไหน ๆ
“เพราะท่านย่ารู้จักการควบคุมไฟแล้วอย่างไรเล่าขอรับ รวมถึงรู้ว่าความสุกจะเอามากน้อยเพียงไหน ลองทำไปอีกสักสี่ห้าครั้ง ท่านย่าก็สามารถไปเป็นแม่ครัวหลวงได้สบายเลยขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์ ช่างปากหวาน ย่าแค่พอทำได้ คนที่เก่งคือหมิงเอ๋อร์ต่างหากเล่า”
“ข้าเก่งเช่นท่านพ่อขอรับ” จางอี้หมิงยกความดีความชอบให้บิดาพร้อมกับชูนิ้วโป้งทั้งสองมือ หูไป๋หงและจางอี้เทาถึงกับหัวเราะออกมา นานเท่าไหร่แล้วที่ครอบครัวจางไม่ได้หัวเราะเสียงดังเช่นนี้ คงตั้งแต่ย้ายออกมาจากเมืองหลวงละมั้ง
“อาเทา แม่เห็นเจ้าตากอะไรกลางลานบ้าน เจ้าได้สมุนไพรมาเช่นนั้นหรือ” นางหูตะโกนถามบุตรชายที่ตอนนี้คงกำลังป้อนข้าวสะใภ้ไม่รู้ว่าจะได้ยินหรือไม่
“ไม่ใช่ขอรับท่านย่า มันคือต้นหญ้าหวาน ข้าจะเอามาทำน้ำตาลผักขอรับ ข้ากับท่านพ่อไปเจอเยอะมาก ท่านพ่อและท่านย่าบอกข้าว่าน้ำตาลราคาแพงมาก ข้าจึงคิดจะทำน้ำตาลผักออกมาขายขอรับ” หลานชายรีบตอบคำถามแทนบิดาของตน ทำให้นางหูที่ฟังอยู่เกิดความสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง
“น้ำตาลผักเช่นนั้นเหรอ ย่าไม่เคยได้ยินมาก่อน มันเป็นยังไงเล่าหมิงเอ๋อร์”
“น้ำตาลผักคือรสหวานที่ได้มาจากต้นหญ้าหวาน ข้าจะเอามาทำเป็นน้ำตาลเชื่อม มันสามารถเอาไปใส่อาหาร ทำขนมหรือทำเป็นชาก็ได้เหมือนน้ำตาลเลยขอรับ หลังจากที่มันแห้งแล้ว คืนนี้ข้าจะให้ท่านย่าลองทำดูนะขอรับ”
“นี่เป็นอาหารสวรรค์อีกใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วขอรับ”
“อืม ย่าชักติดใจการทำอาหารสวรรค์แล้วสิ ก็สมกับเป็นอาหารสวรรค์นั่นแหละ เพราะมันไม่เคยมีในเมืองของเรา”
“ท่านแม่ขอรับ ข้ามีข่าวดีมาบอกด้วยขอรับ” จางอี้เทาเดินเข้ามาเมื่อป้อนโจ๊กภรรยาเสร็จ เขาเห็นท่านแม่กำลังสนอกสนใจเรื่องอาหารสวรรค์ไม่น้อย คงเป็นการณ์ดีที่จะแจ้งเรื่องที่ได้พูดคุยกันเอาไว้กับอี้หมิง
“ข่าวดีอันใดหรืออาเทา”
“หมิงเอ๋อร์ หาวิธีที่เราจะสร้างบ้านได้แล้วขอรับ”
“สร้างบ้านหรืออาเทา มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน เราไม่มีเงินสักอีแปะ คงได้แต่ฝันไปเท่านั้น”
“เป็นความจริงขอรับท่านย่า พวกเราจะสร้างบ้านใหม่กัน มันอาจจะไม่ใหญ่โตเท่ากับบ้านในเมืองหลวง แต่มันจะแข็งแรงทนทานต่อลมหนาวและหิมะที่จะมาถึงนี่แน่นอนขอรับ” เมื่อเห็นท่านย่ายากจะเชื่อ เด็กน้อยจึงเอ่ยสมทบ
“หมิงเอ๋อร์ เอาความคิดนี้มาจากชาวสวรรค์อีกเช่นนั้นเหรอ”
“ใช่แล้วขอรับ ท่านเทพสอนข้ามาขอรับ” อี้หมิงยกยิ้ม เขาไม่รู้หรอกว่ามีเทพที่ว่านี้จริงหรือไม่ แต่ก็หยิบยืมชื่อเสียงมาใช้จนชินปากเสียแล้ว
“ดี ๆ แล้วเราจะเอาเงินมาจากไหนเล่า”
“เป็นเช่นนี้ขอรับท่านแม่........” จางอี้เทาอธิบายให้มารดาของตนเองฟังถึงแผนการที่เขาได้คุยกับบุตรชายตอนขึ้นเขา จวบจนการอธิบายสิ้นสุดลง นางหูถึงกับน้ำตาไหลออกมา
“ท่านย่า ร้องไห้ทำไมหรือขอรับ หรือท่านย่าไม่สบาย” เด็กน้อยตรงปรี่เข้ามาดู
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าช่างเป็นเด็กดีจริง ๆ เพราะเจ้า...บ้านของเราถึงมีความหวังที่จะผ่านพ้นฤดูหนาวแสนโหดร้ายไปได้ ลำพังเพียงแค่ย่ากับพ่อแม่เจ้าก็ไม่รู้จะทำเช่นใด เจ้าช่างเป็นอภิชาตบุตรยิ่ง”
“ท่านย่าขอรับ พวกท่านคือครอบครัวของข้า ข้ารักพวกท่านทุกคน ต่อไปนี้พวกเราจะต้องมีชีวิตที่ดีขึ้นขอรับ” จางอี้หมิงลุกขึ้นไปกอดท่านย่าไว้แน่น เขาเคยเป็นเด็กกำพร้าไม่มีญาติมิตร พอได้มีแล้วก็สุขใจ อยากรักษาและปกป้องแม้ว่าร่างกายจะมีอายุเพียง 5 ขวบ
เมื่อตากต้นหญ้าหวานไปได้สามชั่วยาม ใบหญ้าหวานก็แห้งเพียงพอที่จะนำไปทำน้ำเชื่อม ในยามโหย่ว (17.00 – 18.59) จางอี้หมิงจึงชวนนางหูไปทำน้ำตาลเชื่อมด้วยกัน โดยมีบิดาตามไปนั่งดูวิธีการทำด้วย
“ท่านย่าขอรับ ต้มน้ำเปล่าให้เดือด ๆ เลยนะขอรับ หลังจากน้ำเดือดแล้ว ใส่ใบหญ้าหวานแห้งลงไป 2 ส่วนและแบบสด 1 ส่วน เราต้องใส่ตอนที่น้ำกำลังเดือด เพราะมันจะช่วยลดกลิ่นเหม็นขอรับ ต้มไปประมาณ 1 เค่อ ถึงยกลงแล้วปล่อยให้มันเย็น” จางอี้หมิงยืนอธิบาย เด็กน้อยเขย่งเท้าดูหม้อต้ม
“เมื่อเย็นแล้ว เราจะนำมากรองเอากากใบหญ้าหวานออก วิธีก็ง่ายมากขอรับ แค่ตั้งน้ำเปล่าให้เดือดอีกครั้ง แล้วนำกากจากครั้งแรกลงไปต้ม น้ำตาลผักรอบที่สองจะใช้ดื่มกินแทนชาขอรับ เพียงแค่นี้เราก็จะได้น้ำตาลผักแล้วขอรับ”
“ง่ายเช่นนี้เลยหรือหมิงเอ๋อร์”
“ง่ายเช่นนี้เลยขอรับ เพียงแต่ว่าข้าไม่รู้ว่ารสชาติความหวานมันจะเป็นยังไง คงต้องรอหลังจากที่ต้มเสร็จแล้ว เราค่อยมาดูว่าจะปรับอัตราส่วนเช่นใดขอรับ” อี้หมิงตอบนางหู ก่อนจะหันไปบอกบิดา
“ท่านพ่อขอรับ รบกวนท่านพ่อไปตัดกระบอกไม้ไผ่มาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ขอรับ ข้าจะเอามาใส่น้ำตาลผัก พรุ่งนี้เราจะเอาไปให้ท่านลุงเย่ชิม บ้านเราไม่มีไหเปล่า คงต้องใช้กระบอกไม้ไผ่แทน ท่านพ่อตัดมาเยอะ ๆ เลยนะขอรับ เพราะข้าจะเอาไปเป็นสินค้าทดลองให้เถ้าแก่ในตลาดลองชิมดูขอรับ”
“ได้สิ พ่อจะไปทำให้เดี๋ยวนี้” จางอี้เทาผละออกไปทำตามที่บุตรชายต้องการ ปล่อยให้สองย่าหลานทำน้ำตาลผักกันต่อไป
“หมิงเอ๋อร์ ถ้าน้ำตาลผักที่เรากำลังทำอยู่นี้มันขายได้ บ้านเราคงมีเงินเข้าบ้าน และมีเงินซื้ออาหารไว้สำหรับฤดูหนาวนี้แล้ว”
“ท่านย่า ข้าว่ามันต้องขายได้อย่างแน่นอนเพราะชาวบ้านคงอยากกินน้ำตาล แต่มันแพง เลยซื้อไม่ได้ ถ้าเราทำน้ำตาลผักออกมาขาย เราไม่ต้องขายแพงมาก ให้ชาวบ้านได้กินของดี ๆ บ้าง ข้าว่ามันต้องขายได้ อีกอย่างท่านย่ารู้หรือไม่ เราสามารถเอาน้ำตาลผักใส่ลงไปในโจ๊กธัญพืช เพียงแค่นี้ก็ได้โจ๊กที่มีรสหวานแล้วขอรับ”
“จริงหรือหมิงเอ๋อร์ ย่าชักอยากลองเจ้าน้ำตาลผักนี่แล้วสิ ว่ามันจะหวานเหมือนน้ำตาลจริงไหม” นางหูยิ้มหวาน มือก็ยุ่งอยู่กับการต้มหญ้าหวานในหม้อไปเรื่อย ๆ
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม จางอี้เทากลับมาพร้อมกระบอกไม้ไผ่ที่ตัดทำปากให้เรียบแล้ว จำนวน 50 กระบอก ส่วนน้ำตาลผักก็เย็นตัวและผ่านการกรองเรียบร้อย ทุกคนจึงมานั่งล้อมวงอยู่ตรงกลางบ้าน มีน้ำตาลผักวางอยู่ตรงกลางแคร่ไม้
“หมิงเอ๋อร์ น้ำตาลผักของเจ้ามีสีน้ำตาลเข็ม อ่อนไม่เท่ากันนะ” นางหูพินิจพิจารณา
“ใช่แล้วขอรับ สีเข้ม คือน้ำตาลผักที่เราจะต้องนำไปทำอาหารหรือขนม ส่วนสีอ่อนคือน้ำดื่มคล้ายน้ำชาขอรับ วิธีใช้คือ ใส่ลงไปในอาหารได้เลย โดยเราเริ่มใส่ไปทีละน้อย ๆ เราต้องการความหวานมากน้อยแค่ไหน ใส่ตามใจคนที่กินเลยขอรับ”
“เอ๊ะ! เหตุใดมันถึงไม่มีกลิ่นเหม็นเหมือนตอนที่มันอยู่บนต้นละ” เป็นจางอี้เทาเอ่ยออกมาด้วยความแปลกใจ เขาจำได้ว่าพืชชนิดนี้กลิ่นเหม็นนัก แต่ในตอนนี้กลับไร้กลิ่นใดๆ
“เพราะการต้มทำให้กลิ่นระเหยออกไปขอรับ ไม่มีกลิ่นก็ดีแล้วขอรับ”
(จะว่าไปก็เพิ่งนึกขึ้นได้ มันแปลกมาก ทำไมต้นหญ้าหวานถึงไม่มีกลิ่นเฉพาะตัวล่ะ หรือเป็นเพราะโลกนี้ไม่ใช่โลกที่เราจากมา ถึงแม้จะเป็นต้นหญ้าหวานเหมือนกัน แต่มีคุณสมบัติบางอย่างแตกต่างกันเช่นนั้นหรือ แต่ก็ดีแล้วแหละ ลองมีกลิ่นเหม็นเขียวยิ่งกว่ายาต้ม แบบนั้นเขาก็กินไม่ลงเหมือนกันและคงทำออกไปขายไม่ได้)
“เอาล่ะ ใครจะเป็นคนชิมคนแรก” นางหูเอ่ยถาม นางสนใจน้ำตาลผักตรงหน้ามาก อยากรู้นักว่ารสชาติจะหวานดั่งว่าหรือไม่
“ข้าเองขอรับ เพราะข้ารู้จักน้ำตาลผักมากกว่าท่านพ่อกับท่านย่า”จางอี้หมิงตอบผู้อาวุโสของบ้านและใช้ช้อนเล็ก ๆ ตักน้ำตาลผักขึ้นมาลองแตะๆ
“อืม น้ำตาลผัก ไม่มีกลิ่นเหม็นเขียว รสชาติหวานจนเกือบขม คงต้องนำไปผสมน้ำเปล่าเพิ่มขอรับ เพราะมันหวานเกินกว่าลิ้นของเราจะรับรสได้ เราต้องทำให้เจือจางลงไปอีกหน่อยขอรับ ท่านพ่อ ท่านย่า ลองชิมดูได้ขอรับ ต่อไปถ้าเราต้องทำออกมาขาย จะได้จำได้ว่ารสชาติแบบนี้ขายไม่ได้ขอรับ”
“อืม หวานออกขม” นางหูชิมและเห็นด้วย
“มันหวานจริง ๆ ด้วยหมิงเอ๋อร์ ไม่น่าเชื่อใบหญ้าบนภูเขาเมื่อเอามาต้มแบบนี้แล้ว มันจะกลายเป็นน้ำตาลผักขึ้นมาได้” จางอี้เทาตื่นเต้นประหลาดใจ นับเป็นความรู้ใหม่สำหรับบัณฑิตอย่างเขา
“ท่านย่าขอรับ ต้มน้ำเปล่าแล้วนำน้ำตาลผักนี้ไปเจือจางหน่อยได้หรือไม่ขอรับ ข้าว่ารอบนี้มันน่าจะใช้ได้แล้ว”
“ได้ ๆ”
ตลอดเย็นวันนั้น จางอี้เทา จางอี้หมิงและนางหู ได้ทดลองทำน้ำตาลผักด้วยอัตราส่วนผสมที่แตกต่างกัน ครั้งแล้วครั้งเล่าจนสุดท้ายก็ได้สูตรที่ลงตัว ทว่าเวลาก็ปาไปถึงยามซวี(19.00 – 20.59) เมื่อรู้สึกหิวนางหูจึงต้มโจ๊กแล้วผสมแค่น้ำตาลผักที่ทำขึ้นมานี้ให้ทุกคนได้ลอง ปรากฏว่าน้ำตาลผักช่วยทำให้โจ๊กธัญพืชมีรสชาติหวานขึ้น มีความอร่อยขึ้นมากว่าโจ๊กเปล่า ๆ มากมายนัก
ทั้งสามคนถึงกับยิ้มให้กันอย่างมีความสุข พรุ่งนี้ตอนเช้าจางอี้เทากับจางอี้หมิงจะเอาน้ำตาลผักและแผนการสร้างบ้านไปปรึกษากับซุนถง หัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งก็หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่คิดไว้
คืนนั้นจึงเป็นคืนแรกที่คนบ้านจางได้นอนหลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มในรอบเดือน
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 299
แสดงความคิดเห็น