ตอนที่ 7 ขึ้นเขา
เช้าวันถัดมาหลังจากที่ตื่นนอนล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย จางอี้เทาซึ่งไม่ต้องไปทำงานในไร่ของหัวหน้าหมู่บ้านแล้วจึงเตรียมตัวขึ้นไปบนภูเขา เขาหวังจะได้ผักป่ามาไว้ทำอาหารและถ้าโชคดีอาจจะได้สมุนไพรมาขายเพื่อให้ครอบครัวมีเงินบ้าง
“ท่านพ่อจะไปไหนขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามบิดา เขาเห็นจางอี้เทาถือมีดและแบกตะกร้าสานสะพายขึ้นหลังเตรียมตัวออกจากบ้าน
“หมิงเอ๋อร์ พ่อจะขึ้นเขาไปหาผักป่า ถ้าโชคดีเราอาจจะได้สมุนไพรมาขาย”
“ขึ้นเขาหรือขอรับ” จางอี้หมิงทวนคำก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าไปด้วยขอรับ”
“ไม่ได้ หมิงเอ๋อร์เพิ่งหายป่วยเมื่อวาน เจ้าไปกับพ่อไม่ได้” จางอี้เทารีบห้าม ลูกของเขาตัวเท่านี้จะไปสันทัดการปีนเขาได้อย่างไร หากผลักตกหกล้มบาดเจ็บขึ้นมาจะแย่เอา
“แต่ท่านพ่อขอรับ ท่านพ่อลืมไปแล้วหรือขอรับว่าท่านเทพได้รักษาโรคให้ข้าเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ข้าแข็งแรงดี อีกอย่างข้าอาจจะเจอสมุนไพรหรืออาหารสวรรค์อีกก็ได้นะขอรับ”
จางอี้หมิงรีบอธิบาย เด็กชายออดอ้อนบิดาตนเอง ในนิยายไม่ว่าจะเรื่องไหน ๆ ที่เขาหาข้อมูลมานักต่อนัก ส่วนมากแล้วอาหารและสมุนไพรต่าง ๆ อยู่บนภูเขากันทั้งนั้น ดังนั้นจางอี้หมิงจะไม่ยอมพลาดโอกาสติดสอยหอยตามจางอี้เทา
“อาเทา ให้หมิงเอ๋อร์ไปกับเจ้าเถอะ แม่ว่าหมิงเอ๋อร์คงจะหายแล้วจริง ๆ อีกอย่างหมิงเอ๋อร์อาจจะมีอาหารสวรรค์มาช่วยครอบครัวเราอีกก็เป็นได้” นางหูเอ่ยเสียงเรียบ
“แต่ท่านแม่....” จางอี้เทาเตรียมคัดค้าน แต่ยังไม่ทันได้พูดสิ่งใด หูไป๋หงก็ชิงกล่าวออกมาก่อน
“แม่ว่าไม่เป็นไรหรอก หมิงเอ๋อร์ ถ้าเจ้ารู้สึกว่าไม่สบายให้บอกบิดาเจ้าและต้องกลับมาบ้านทันที ห้ามฝืน เข้าใจหรือไม่”
“ท่านย่า ข้าเข้าใจขอรับ ถ้าข้าไม่สบาย ข้าจะรีบบอกท่านพ่อแน่นอนขอรับ”
“ดีมาก รีบไปรีบกลับ แม่จะทำอาหารเหมือนเมื่อคืนไว้ให้กิน เจ้าสองคนพ่อลูกก็ระวังตัวด้วย” นางหูว่า จางอี้เทาแอบถอนหายใจ เขาเป็นห่วงเด็กน้อยไม่อยากให้ขึ้นเขา แต่ในเมื่อเหตุการณ์ต่างๆมาทางนี้แล้วคงต้องยอมปล่อยไป
“ขอรับท่านแม่/ขอรับท่านย่า” สองพ่อลูกพูดพร้อมกัน ทว่าจางอี้เทาได้ฝากฝังอีกอย่างเอาไว้
“ท่านแม่ข้าฝากดูแลน้องหญิงด้วยนะขอรับ ข้าไม่อยากปลุกนาง อยากให้พักผ่อนมาก ๆ”
“ไม่ต้องเป็นห่วง เจ้าขึ้นเขาให้สบายใจเถอะ”
“ขอรับ เจ้าตัวน้อยไปกันเถอะ” จางอี้เทาจูงมือบุตรชายออกจากบ้าน พวกเขาเดินขึ้นเขาด้วยกัน ในระหว่างทางสองพ่อลูกก็พูดคุยกันไปด้วย
“ท่านพ่อขอรับ อีกนานหรือไม่ขอรับที่จะเข้าฤดูหนาว”
“อีกประมาณ 3 เดือน”
“แล้วฤดูหนาวมีหิมะไหมขอรับ หรือแค่อากาศหนาวเย็นอย่างเดียว”
“หน้าหนาวก็ต้องมีหิมะตกสิลูก บางปีหิมะตกหนักหลายวัน สร้างความเสียหายให้ชาวบ้านมากมายเชียวล่ะ” จางอี้เทาตอบคำถามไปยิ้มไป“หมิงเอ๋อร์ เหตุใดลูกถึงอยากรู้ล่ะ”
“เพราะข้ากำลังสงสัยขอรับว่าบ้านของเราถ้าหิมะตก หลังคาจะยุบลงมาไหม บ้านจะอุ่นพอให้พวกเราหายหนาวไหมขอรับ”
“............” จางอี้เทาถึงกับหุบยิ้มลง
“ท่านพ่อคิดว่าหลังคาจะยุบลงมาไหมขอรับ” จางอี้หมิงถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบจากบิดา ทว่าสีหน้าท่าทางของจางอี้เทาก็ถือเป็นคำตอบได้แล้วว่า หลังคามันต้องยุบลงมาแน่
“ท่านพ่อ พวกเราสร้างบ้านใหม่กันดีไหมขอรับ ถ้าเราไม่รีบสร้างตอนนี้ พอถึงฤดูหนาวพวกเราจะไปอยู่ที่ไหนกันดีขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์ พ่อก็อยากสร้างบ้าน แต่เราไม่มีเงินแม้แต่อีแปะเดียว บ้านที่พวกเราอาศัยอยู่ตอนนี้ก็ได้ชาวบ้านมาช่วยกันสร้างให้ ถ้าเรายังอยู่เมืองหลวง ถ้าพ่อยังเป็นอาจารย์สอนหนังสือ ถ้าเราไม่ถูกโจรปล้นระหว่างทาง พวกเราคงไม่ลำบากกันเช่นนี้” จางอี้เทาถึงกับถอนหายใจออกมา
‘ถ้าเรายังอยู่เมืองหลวง ถ้าพ่อยังเป็นอาจารย์สอนหนังสือ ถ้าเราไม่ถูกโจรปล้นระหว่างทาง ถ้าพ่อยังเป็นอาจารย์สอนหนังสือ ถ้าพ่อยังเป็นอาจารย์สอนหนังสือ’ เสียงบ่นปนน้อยใจในโชควาสนาของบิดาทำให้จางอี้หมิงถึงกับตะโกนออกมาเสียงดัง
“ท่านพ่อ เราสร้างบ้านได้โดยไม่ต้องใช้เงินสักอีแปะขอรับ”
“เจ้าว่ายังไงนะหมิงเอ๋อร์ มันจะเป็นไปได้ยังไง พ่อยังไม่เคยได้ยินว่าการสร้างบ้านไม่ต้องเสียเงินมาก่อน” จางอี้เทาถามกลับด้วยความตื่นเต้น
จางอี้หมิงยกยิ้ม หลังจากที่นอนคิดมาทั้งคืน เขาเห็นสมควรที่จะต้องสร้างบ้านอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ทนอากาศหนาวและหิมะที่กำลังจะมาถึง รวมทั้งเรื่องการตุนเสบียงและเชื้อเพลิงให้เพียงพอกับฤดูหนาวด้วย เขาค้นทุกรอยหยักในสมองเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้ค้นคว้ามาตลอดหลายปีในการรับจ้างหาข้อมูลให้นักเขียน
จนเขาจำได้ว่า การสร้างบ้านดิน หลังคาทำด้วยไม้ไผ่ มันสามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ นับว่าตอบโจทย์ไม่น้อย แต่อีกปัญหานั่นคือ แรงงาน ครอบครัวเขาไม่มีเงินแม้แต่อีแปะเดียว แล้วจะเอาเงินที่ไหนจ้างชาวบ้านให้มาช่วยสร้างบ้านดิน ถึงแม้ว่าวัสดุจะไม่ต้องซื้อ แต่แรงงานก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดี
นอนคิดพลิกตัวไปแปดแสนล้านตลบ เขาก็หาคำตอบไม่ได้ แต่เมื่อครู่ท่านพ่อบอกว่า ถ้ายังเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ พวกเราคงไม่ลำบากเช่นนี้ ใช่แล้ว!! ท่านพ่อเคยเป็นอาจารย์ ท่านพ่อรู้หนังสือ แต่ชาวบ้านไม่รู้หนังสือ ถ้าท่านพ่อเสนอการสอนหนังสือให้ลูกหลานของชาวบ้านแลกกับแรงงานที่จะนำมาสร้างบ้าน
แบบนี้ครอบครัวจางก็สร้างบ้านได้โดยไม่ต้องเสียเงินสักอีแปะ เพียงแต่ต้องใช้ความรู้ที่มีแลกมันมาเท่านั้น
“จริงขอรับ ชาวสวรรค์มีการสร้างบ้านที่ทำจากดินและหลังคาทำจากไม้ไผ่ ข้าเคยเห็นมาขอรับ แต่ข้าไม่เคยได้ทำด้วยตนเอง แต่ว่าข้ารู้วิธีทำนะขอรับ” จางอี้หมิงพูด
“หมิงเอ๋อร์ ถ้าแค่ครอบครัวเราช่วยกันสร้างบ้านแบบที่ลูกว่า อีกกี่เดือนมันถึงจะเสร็จเล่า”
“ท่านพ่อ เราก็ไปขอให้ชาวบ้านมาช่วยสร้างสิขอรับ”
“แต่ว่าบ้านหลังที่เราอาศัยตอนนี้ก็เป็นชาวบ้านมาช่วยสร้างให้ ถ้าเราต้องไปขออีกครั้ง พ่อคิดว่าชาวบ้านคงไม่สะดวกมาช่วยเป็นแน่ เพราะพวกเขาต่างก็ต้องเตรียมรับมือฤดูหนาวเช่นกัน”
จางอี้เทาตอบบุตรชายด้วยเสียงที่เปลี่ยนไป จากตอนแรกที่ตื่นเต้นว่าสามารถสร้างบ้านได้โดยไม่เสียเงินสักอีแปะ แต่พอมาคิดดูว่าต่อให้รู้วิธี ก็ไม่เงินจ้างแรงงานให้มาช่วยอยู่ดี เสียงจึงแผ่วเบาในตอนท้าย
“เราไม่มีเงินจ้างชาวบ้านมาช่วย แต่เรามีสิ่งที่ชาวบ้านต้องการขอรับ ท่านพ่อเพียงแค่ต้องนำข้อเสนอไปลองคุยกับชาวบ้านดูขอรับ”
“เรามีสิ่งที่ชาวบ้านต้องการงั้นหรือ แล้วพวกเรามีอันใดเล่าหมิงเอ๋อร์ที่พอจะเอาไปแลกกับแรงงานได้” จางอี้เทาสงสัย ในตอนนี้ครอบครัวจางแทบจะไม่มีอะไรเลยสักอย่าง
“ความรู้อย่างไรเล่าขอรับ ท่านพ่อเคยเป็นอาจารย์สอนหนังสือ ชาวบ้านไม่รู้หนังสือ ถ้าท่านพ่อเสนอว่าจะสอนหนังสือให้ลูกหลานของพวกเขาเป็นเวลา 1 ปีหลังจากพ้นฤดูหนาวนี้ แลกกับการที่ชาวบ้านมาช่วยเราสร้างบ้าน ท่านพ่อว่าแบบนี้ ชาวบ้านจะสนใจข้อเสนอหรือไม่ขอรับ”
“จริงด้วย ทำไมพ่อถึงไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน หมิงเอ๋อร์ เจ้าช่างดียิ่ง พ่อคิดว่าวิธีนี้อาจจะเป็นความคิดที่ดี ตอนเย็นพ่อจะลองเข้าไปคุยกับบ้านซุน ให้ท่านหัวหน้าหมู่บ้านช่วยพูด ชาวบ้านอาจจะตกลงข้อเสนอนี้” จางอี้เทาถึงกับยีไปบนศีรษะของบุตรชาย ตั้งแต่ฟื้นขึ้นจากการไปเที่ยวเมืองสวรรค์ก็ดูเป็นเด็กฉลาดขึ้นมาก
เดินคุยกันมาจนได้ข้อสรุปเรื่องการสร้างบ้านแล้ว สองพ่อลูกก็มาถึงภูเขา ด้วยบ้านครอบครัวจางอยู่ท้ายหมู่บ้าน ติดกับแนวเขาอยู่แล้วจึงใช้เวลาไม่นานนัก
“หมิงเอ๋อร์ อย่าเดินออกห่างไปไกลจากพ่อนะ เจ้าอาจจะหลงป่าเอาได้”
“ขอรับท่านพ่อ”
จางอี้หมิงรับคำและเดินสำรวจไปรอบ ๆ บนภูเขาก็เหมือนละครที่เคยดูทั่วไป มีต้นไม้ที่เขาไม่รู้จักเต็มไปหมด ไม่มีต้นผลไม้ที่บ่งบอกว่ามันกินได้ ผักป่าส่วนมากตรงบริเวณนี้คงถูกชาวบ้านเก็บไปหมดแล้วเพราะอยู่แถบชายป่า ถึงแม้ว่าเขาจะมาแต่เช้าก็เถอะ แล้วแบบนี้ครอบครัวจางจะเอาผักป่าที่ไหนมากินกันล่ะ
“ท่านพ่อขอรับ แถวนี้ผักป่าถูกชาวบ้านเก็บไปหมดแล้ว ข้าว่าพวกเราลองเดินลึกเข้าไปอีกหน่อยดีหรือไม่ขอรับ อาจจะเจอผักป่าก็เป็นได้”
“ก็ดีเหมือนกันนะ พวกเราลองเดินเข้าไปลึกอีกสักหน่อยก็แล้วกัน”
จางอี้เทาเห็นด้วยกับบุตรชาย แต่เดินมาตั้งนานแล้วก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอผักป่าหรืออาหารสวรรค์ที่ลูกชายน่าจะรู้จักเลย
จางอี้หมิงเดินสอดส่ายสายตาไปตามทางเขาและเดินออกมาจากบิดาโดยไม่รู้ตัว เด็กน้อยมัวแต่สงสัยว่าต้นไม้ต้นนี้ทำไมถึงสูงนักหรือทำไมต้นไม้ต้นนี้ใบแปลกเหลือเกิน ทำให้เดินไปข้างหน้าโดยไม่ได้ดูเท้าที่กำลังก้าวย่างลงไปก่อนที่จะ
“เหว้ออออออ”
จางอี้เทาที่ได้ยินเสียงบุตรชายร้องจึงรีบเดินมาตามเสียง เขาเห็นบุตรชายนอนแอ่งแม้งอยู่บนที่ราบลุ่มไหล่เขา คาดว่าอี้หมิงคงจะลื่นไถลลงไป
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดหรือไม่ บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” จางอี้เทาพยายามทรงตัวอย่างทุลักทุเลลงไปตามลาดไหล่เขาเพื่อช่วยบุตรชายที่ตอนนี้กำลังเอามือกุมศีรษะและชันตัวลุกขึ้น เมื่อเดินไปถึงตัวจึงจับจางอี้หมิง พลิกตัวไปมาเพื่อสำรวจอาการบาดเจ็บ
“หมิงเอ๋อร์ ตอบพ่อ เจ้าบาดเจ็บหรือไม่ มีอันใดหมิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าทำให้พ่อตกใจเช่นนี้” จางอี้เทาเอ่ยถามบุตรชายอีกครั้งหลังจากที่เห็นจางอี้หมิงทำตาโตจ้องมองข้ามตัวเขาไป ไม่สนใจตอบคำถามของบิดาเลยแม้แต่น้อย พร้อมกับชี้นิ้วไปทางเบื้องหลังของเขา
จางอี้เทาเหลียวหลังไปมองตามทางที่ลูกชายกำลังชี้บอกอยู่ สิ่งที่เขาเห็นมันคือทุ่งหญ้าสีเขียวเป็นพุ่มเล็กใหญ่สลับลดหลั่นกันไป มีดอกเล็ก สีขาว ชูช่อดูสวยงาม
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าเห็นสิ่งใด อย่าทำให้พ่อตกใจได้หรือไม่”
“ท่านพ่อ ท่านไม่รู้จักต้นพวกนั้นหรือขอรับ”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 350
แสดงความคิดเห็น