บทที่๑๘
เมื่อปาณัทกับภูริชออกก็ประนมมือไหว้แขกที่มาร่วมงานทุกคน และแขกบางคนพูดว่าปาณัทดูโดดเด่นกว่าภูริช ดูสง่าผ่าเผยกว่า
แล้วพิธีกรก็ขึ้นประกาศบนเวที
“ขอเรียนเชิญเจ้าของงานในค่ำคืนนี้ขึ้นมาบนเวทีด้วยครับ คุณปาณัทกับคุณภูริชครับ ขอเสียงปรบมือด้วยครับ”
แล้วปาณัทกับภูริชก็เดินขึ้นบนเวทีท่ามกลางเสียงปรบมือของแขกเหรื่อทุกคนดังเกรียวกราว เมื่อขึ้นมายืนบนเวทีแล้วพิธีกรก็ยื่นไมค์ลอยให้คนละตัว ก่อนจะเริ่มต้นยิงคำถาม
“ไม่ทราบว่าคุณปาณัทกับคุณภูริชรู้สึกยังไงกับงานวันเกิดที่คุณนภาลัยจัดให้ในค่ำคืนนี้ครับ ขอเชิญคุณปาณัทพูดก่อนครับ”
ปาณัทจึงตอบว่า
“ก่อนอื่นผมก็ต้องขอบคุณคุณย่ามากครับที่จัดงานวันเกิดให้ผมในวันนี้ คุณย่าเป็นคนใจดี น่ารักกับทุกคน ผมอยากบอกกับคุณย่าว่าผมรักคุณย่านะครับ คุณย่าคือผู้มีพระคุณของผมคนหนึ่ง ผมไม่รู้จะตอบแทนคุณย่ายังไงดี และอีกสองท่านที่ผมจะไม่พูดถึงไม่ได้ นั่นคือคุณพ่อกับคุณแม่ของผมครับ ผมอยากขอบคุณท่านทั้งสองที่ให้ชีวิตผม ให้ผมได้เกิดมาลืมตาดูโลก ถ้าไม่มีพวกท่านก็ไม่มีผมในวันนี้ บุญคุณพ่อแม่ทดแทนยังไงก็ไม่หมด แล้วผมก็อยากจะบอกคุณพ่อกับคุณแม่ว่าผมรักคุณพ่อกับคุณแม่มากนะครับ รักที่สุด...อ้อ และผมอยากจะขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมงานวันเกิดของผมกับนายภูในค่ำคืนนี้ครับ มีเรื่องจะพูดเพียงแค่นี้ ขอบคุณครับ”
สิ้นเสียงพูดของชายหนุ่มเสียงปรบมือก็ดังขึ้นอีกครั้ง
เมื่อได้ยินที่ผู้เป็นลูกชายพูดพรรณนิภาก็ถึงกับน้ำตาคลอ ซาบซึ้งใจ จนประภาแอบเบะปากอย่างหมั่นไส้
“เชอะ ทำเป็นบ่อน้ำตาตื่น น่าหมั่นไส้”
แล้วพิธีกรก็พูดขึ้นอีก
“ขอเชิญคุณภูริชพูดต่อได้ครับ”
ภูริชจึงพูดว่า
“ผมก็อยากจะขอบคุณคุณยายเหมือนกันครับที่กรุณาจัดงานวันเกิดให้ผมกับนายป้องในวันนี้ ผมซาบซึ้งใจคุณยายมากครับที่ท่านยังนึกถึงผม และผมไม่รู้จะตอบแทนท่านยังไงดี ผมอยากบอกท่านว่าผมก็รักท่านไม่แพ้ใคร ถึงแม้ผมอาจจะดื้อบ้าง เกเรบ้าง ทำให้ท่านไม่ค่อยปลื้มในตัวผมสักเท่าไหร่ แต่ผมไม่ว่าท่าน เพราะผมเข้าใจท่าน เป็นใครก็ไม่ชอบคนดื้อ อ้อ แล้วอีกสองท่านที่ผมอดที่จะพูดถึงไม่ได้ก็คือคุณพ่อกับคุณแม่ ท่านคือผู้มีพระคุณของผมที่ทำให้ผมได้เกิดมาลืมตาดูโลก ถ้าหากไม่มีพวกท่านทั้งสองผมก็ไม่ได้เกิดมาจนโตป่านนี้ ผมอยากจะบอกคุณพ่อกับคุณแม่ว่าผมรักคุณพ่อกับคุณแม่มากนะครับ ชาตินี้ผมก็ทดแทนบุญคุณไม่หมด ผมมีเรื่องจะพูดเพียงแค่นี้ครับ ขอบคุณครับ” เมื่อเขาพูดจบทุกคนก็ปรบมือให้
ประภายิ้มปลื้มใจกับสิ่งที่ผู้เป็นลูกชายพูด เธอจึงพูดกับเขมนันท์
“ตาภูพูดได้ดีมากเลยนะคะคุณเขม”
“แน่นอน ลูกชายของเราซะอย่าง” อีกฝ่ายยิ้ม
แล้วพิธีกรก็ถามแขกเหรื่อทุกคนว่า
“ช็อตเด็ดของงานในค่ำคืนนี้ ทุกคนอยากฟังเจ้าของงานทั้งสองคนร้องเพลงไหมครับ”
ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘อยากฟัง’
ภูริชรีบโบกมือ
“ผมขอไม่ร้องเพลงนะครับ เพราะผมไม่อยากร้อง”
ส่วนปาณัทก็บอกว่า
“ผมก็ไม่อยากร้องเพลงเหมือนกันครับ เพราะผมไม่เคยร้อง”
พิธีกรจึงรบเร้า
“ร้องให้แขกฟังสักหน่อยเถอะครับ ทุกคนอยากฟังคุณทั้งสองคนร้องเพลง”
“ก็ได้ครับ” ปาณัทไม่อยากขัดใจจึงตอบรับ
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตอบรับภูริชก็ไม่คิดยอมแพ้
“ผมเปลี่ยนใจแล้วครับ ผมจะร้องเพลงให้ทุกคนฟังดีกว่า”
พิธีกรถึงกับทำหน้าเหวอ แต่สักพักก็พูดว่า
“ถ้างั้นก็ร้องเพลงเลยครับ”
แล้วคุณนภาลัยก็พูดขึ้น
“เดี๋ยวก่อนค่ะ ก่อนที่จะร้องเพลงก็ต้องเป่าเค้กก่อนนะคะ”
พิธีกรจึงบอกกับปาณัทและภูริชว่า
“ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณปาณัทกับคุณภูริชลงไปเป่าเค้กก่อนครับ”
แล้วทั้งสองคนก็ลงไปจากเวที ไปยืนอยู่ตรงหน้าเค้กก้อนใหญ่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะด้านหน้าเวที ทันใดนั้นเองไฟก็ดับลงพร้อมกับเสียงเพลง แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทุกคนช่วยกันร้อง เมื่อเพลงจบไฟก็สว่าง คุณนภาลัยจึงบอกกับหลานชายทั้งสองคนว่า
“เป่าเค้กได้เลยจ้ะ”
ปาณัทอ้าปากกำลังจะเป่า แต่ถูกภูริชชิงเป่าตัดหน้าไปก่อนจนหมด ก่อนจะเลิกคิ้วกวนๆ ใส่
“ฉันเป่าแทนแกแล้ว หน้าที่ของแกคือตัดเค้ก”
อีกฝ่ายเงียบ ไม่พูดอะไร
แล้วพรรณนิภาก็ยื่นมีดตัดเค้กให้ผู้เป็นลูกชาย
“ตัดเค้กแจกทุกๆ คนนะลูก ตัดเลยจ้ะ”
ปาณัทรับมีดมาและจัดการตัดเค้กเพื่อแจกจ่ายให้ทุกคนที่มาร่วมงานได้ทาน เมื่อตัดแบ่งเสร็จเขาเอาใส่จานจำนวนหลายใบ ก่อนจะบอกกับทุกคนว่า
“ทุกคนครับ มาเอาเค้กไปทานกันได้เลยครับ”
สิ้นคำพูดของชายหนุ่มทุกคนก็มาเอาเค้กที่ถูกจัดใส่จานวางเรียงไว้ เอาคนละจาน ส่วนปาณัทก็หยิบเค้กเอาไปให้ผู้เป็นย่า ผู้เป็นพ่อ และผู้เป็นแม่ ก่อนที่จะหันไปบอกภูริช
“แกก็เอาไปให้คุณอาภา คุณอาเขมสิ”
“ไม่ต้องบอกฉัน ฉันรู้หน้าที่ของฉันอยู่แล้วโว้ย” ภูริชบอกอย่างไม่พอใจ ก่อนจะหยิบเค้กเอาไปให้พ่อกับแม่ที่ยืนอยู่อีกมุมของงาน
แล้วคุณนภาลัยก็อวยพรหลานชายคนโปรด
“สุขสันต์วันเกิดนะจ๊ะ ย่าขอให้หลานของย่ามีความสุขมากๆ นะ คิดสิ่งใดขอให้สมปรารถนา และขอให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากศัตรู อย่าเจ็บอย่าไข้ มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มีหลานสะใภ้ให้ย่าเร็วๆ อ้อ แล้วก็มีเหลนให้ย่าอุ้มด้วยนะ” พูดจบท่านก็หัวเราะ
ผู้เป็นหลานชายก็พลอยหัวเราะตาม ก่อนจะประนมมือไหว้
“ขอบคุณครับ คุณย่า”
ต่อมาปราภพกับพรรณนิภาก็อวยพรลูกชาย
“สุขสันต์วันเกิดนะลูก ปีนี้ลูกก็อายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว จะทำอะไรก็ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำ มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง อย่าเจ็บอย่าไข้...เป็นผู้บริหารที่ดี คิดสิ่งใดขอให้ได้สิ่งนั้น มีลูกสะใภ้ให้พ่อเร็วๆ นะ พ่ออยากอุ้มหลานแล้ว”
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์จ้ะลูก ส่วนแม่ก็ขออวยพรให้ลูกพบเจอแต่ความสุขความเจริญ ไปที่ไหนก็ขอให้มีแต่คนรักมีคนชอบ คิดจะทำอะไรก็ขอให้สมหวังดั่งคำปรารถนา เมื่อมีครอบครัวก็ขอให้เป็นช้างเท้าหน้าที่ดี เอ้อ แล้วที่สำคัญเนี่ยนะ ลูกสะใภ้แม่น่ะ ขอเป็นคุณหมอรินรดาเท่านั้นนะ” ประโยคท้ายพูดเบาๆ เกือบจะเป็นกระซิบ พร้อมกับหัวเราะ
“ครับ คุณแม่” เขาพยักหน้ายิ้มๆ
พูดถึงคุณหมอรินรดาเธอก็เดินเข้ามาพร้อมกับพ่อและแม่พอดี เธอถือของขวัญกล่องไม่ใหญ่นักเอามาให้ปาณัท
“สุขสันต์วันเกิดนะคะพี่ป้อง นี่ของขวัญค่ะ”
อีกฝ่ายรับกล่องของขวัญมา ก่อนจะพูดว่า
“น้องรินไม่เห็นต้องลำบากซื้อของขวัญมาให้พี่เลยครับ มาแต่ตัวกับหัวใจก็ได้”
“แหมๆ หวานเชียวนะ” พรรณนิภาแซวลูกชาย
รินรดายิ้มเขินๆ และบอกว่า
“ไม่ลำบากเลยค่ะพี่ป้อง เรื่องแค่นี้เอง”
“วันนี้พี่รู้สึกว่าน้องรินสวยกว่าทุกวันนะครับ หรือเพราะที่ผ่านมาน้องรินใส่แต่ชุดคุณหมอก็เลยทำให้พี่มองไม่ค่อยถนัดตา แต่ก็สวยไปอีกแบบ”
“ปากหวานจริงๆ เลยนะคะเนี่ย” เธอหัวเราะ
แล้วภูริชก็เดินเข้ามา เมื่อมองเห็นปาณัทกับรินรดาพูดจาหยอกล้อกันต่อหน้าผู้ใหญ่ก็รู้สึกหมั่นไส้ จึงเดินเข้ามาทักฝ่ายหญิง
“อ้าว! น้องริน มางานวันเกิดพี่กับไอ้...นายป้องด้วยเหรอจ๊ะ”
“ต้องมาสิคะ มันเป็นงานสำคัญ คุณย่านภาอุตส่าห์เชิญมาค่ะ” เธอตอบยิ้มๆ
“อ้อ คุณยายเชิญมา” เขาพยักหน้าเข้าใจ
คุณนภาลัยจึงบอกผู้เป็นหลานชายว่า
“ใช่ ยายเป็นคนเชิญครอบครัวของตาชัชมาเอง” แต่แล้วท่านก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าท่านยังไม่ได้อวยพรวันเกิดภูริช “ตายจริง ยายยังไม่ได้อวยพรแกเลยตาภู...ถ้าอย่างนั้นยายก็ขออวยพรให้แกมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อายุเพิ่มขึ้นอีกปีก็ขอให้คิดดีๆ อย่าเอาแต่ใจตัวเอง จะคิดจะทำอะไรก็ขอให้นึกถึงคนในครอบครัว แล้วก็ขยันทำงานหน่อยนะ และที่สำคัญ รีบๆ มีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักที เลิกเที่ยวเตร่ได้แล้ว”
“ครับ ขอบคุณครับคุณยาย ผมจะพยายามนะครับ” ภูริชประนมมือไหว้ผู้เป็นยาย
แล้วพิธีกรที่อยู่บนเวทีก็เรียกตัวเจ้าของทั้งสองคน
“เอาละครับ ในเมื่อเป่าเค้กและตัดเค้กเสร็จแล้วก็เชิญคุณปาณัทกับคุณภูริชขึ้นมาร้องเพลงให้แขกผู้มีเกียรติทุกท่านฟังกันหน่อยครับ ขอเสียงปรบมือหน่อยครับ”
เสียงปรบมือดังเกรียวกราว จากนั้นปาณัทกับภูริชก็เดินขึ้นเวทีพร้อมกัน
“ใครร้องเพลงก่อนดีครับ” พิธีกรถาม
ภูริชรีบยกมือขึ้นก่อน
“ผมขอร้องก่อนครับ”
“ถ้าอย่างนั้นเชิญผู้มีแขกผู้มีเกียรติทุกท่านฟังคุณภูริชร้องเพลงครับ” พิธีกรพูดจบก็ถอยออกไป
ภูริชเดินไปบอกกับผู้คุมเครื่องเสียงว่าจะร้องเพลงอะไร แล้วกลับมายืนที่เดิม เพียงไม่นานเสียงดนตรีก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงร้องเพลงของชายหนุ่ม สาวๆ ที่มาร่วมงานพากันกรี๊ดกร๊าดเพราะความหล่อเหลาของเขา แถมน้ำเสียงก็น่าฟังอีกต่างหาก ทำให้สาวๆ ชอบ ส่วนปาณัทก็นิ่งฟัง
เมื่อประภากับเขมนันท์ได้ยินเสียงร้องเพลงของผู้เป็นลูกชายก็ถึงกับยิ้มแก้มแทบปริ
“ลูกชายของแม่เสียงดีจัง” เธอชื่นชมลูกชาย
ส่วนเขมนันท์ก็พูดว่า
“มันก็เสียงดีเหมือนผมตอนหนุ่มๆ นั่นแหละ”
“คนหลงตัวเอง” เธอเบะปากใส่ผู้เป็นสามี
เวลาผ่านไปงานวันเกิดก็จบลงด้วยดี แขกเหรื่อก็กลับกันไปหมดแล้ว รวมถึงครอบครัวของชัชรินทร์ และของถูกก็ถูกเก็บไปหมดแล้ว คุณนภาลัย ปราภพ พรรณนิภา ประภา เขมนันท์ ปาณัทและภูริชกลับเข้าบ้านไปพักผ่อนเพราะดึกมากแล้ว
ที่ห้องนอนของประภากับเขมนันท์ ทั้งสองคนยังไม่นอน กำลังนั่งพูดคุยกับผู้เป็นลูกชาย
แล้วภูริชก็ถามพ่อกับแม่ว่า
“คุณพ่อกับคุณแม่ว่ามันจะดีไหมครับ ถ้าผมจะแย่งน้องรินมาจากไอ้ป้อง”
“ดีที่สุดเลยละลูก” ประภาสนับสนุนผู้เป็นลูกชาย
เขมนันท์ก็สนับสนุนเช่นกัน
“ขนาดชลิตาลูกยังแย่งมาได้ ถ้าจะแย่งรินรดาอีกคนมันก็คงไม่ยากอะไร”
“ผมจะทำให้ไอ้ป้องมันไม่เหลือคนที่มันรักสักคน ผมเกลียดมัน อะไรหรือใครที่มันรักที่สุดผมจะแย่งมาให้หมด พ่อกับแม่คอยดูเถอะครับ” ขณะที่พูดเขาก็มีสายตาที่ร้ายกาจ
“เอาเลยลูก แม่ขอสนับสนุน แม่ก็หมั่นไส้มันเหมือนกัน มีแต่คนรักมัน แม่เกลียดมันที่สุด ...เสียดายที่ตอนมันเป็นทารก ตอนที่อยู่โรงพยาบาล พ่อของแกขโมยมันไปทิ้งไม่ได้เพราะมีเสียงคนมาขัดจังหวะ เลยขโมยได้แต่แฝดน้องของมัน ไม่งั้นไอ้ป้องมันไม่ได้อยู่สุขสบายแบบนี้หรอก” ประภาเผลอพูดความลับที่เก็บมานานหลายปีออกไป เมื่อเธอรู้ตัวก็รีบปิดปากตัวเอง
เมื่อได้ยินที่ผู้เป็นแม่พูดภูริชก็ถึงกับอึ้งไป เขารีบถามทันที
“อะไรนะครับคุณแม่ ไอ้ป้องมันมีฝาแฝดเหรอครับ”
“เอ้อ แม่เขาพูดผิดน่ะ ใช่ไหมคุณ” เขมนันท์ตอบแทน
ผู้เป็นภรรยาพยักหน้าส่งๆ ไป
“ใช่ๆ แม่พูดผิด เอ้อ แม่จะพูดว่า...”
“พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็พูดมาให้หมดเถอะครับคุณแม่ คุณพ่อกับคุณแม่มีอะไรปิดบังผมอยู่ครับ” ชายหนุ่มมองพ่อกับแม่อย่างสงสัย
สองสามีภรรยามองหน้ากันสักครู่ ก่อนที่ผู้เป็นสามีจะพยักหน้าให้ผู้เป็นภรรยา
“บอกลูกไปเถอะคุณ”
“ก็ได้ เดี๋ยวแม่จะเล่าให้ฟัง” เธอพยักหน้า
ต่อจากนั้นเธอก็เริ่มเล่าทุกอย่างให้ผู้เป็นลูกชายฟัง ภูริชรับฟังอย่างสนใจ นั่งฟังอย่างเดียว จนกระทั่งผู้เป็นแม่เล่าจบเขาจึงพูดว่า
“อ้อ เรื่องมันเป็นแบบนี้เอง ไอ้ป้องมันมีฝาแฝด ตอนมันยังแบเบาะคุณพ่อจะเอามันกับไอ้แฝดน้องของมันไปทิ้งทั้งสองคน แต่ได้ยินเสียงพยาบาลคุยกันก็เลยรีบหนีเพราะกลัวจะมีคนเห็น คุณพ่อเอาแต่น้องชายฝาแฝดของมันไปได้ แหม คิดแล้วน่าเสียดายนะครับ น่าจะเอาไอ้ป้องมันไปทิ้งได้ด้วย ดูสิครับ ปล่อยให้มันโตขึ้นมาเป็นเสี้ยนหนามของผม ถ้าไม่มีมันสักคน ทรัพย์สมบัติของตระกูลทุกชิ้นก็จะตกเป็นของผม มันน่าโมโหจริงๆ ...แต่ก็โชคดีนะครับที่สมัยนั้นไม่มีกล้องวงจรปิด ไม่งั้นคุณพ่ออาจจะถูกจับได้ แล้วก็โชคดีอีกครั้งที่คุณพ่อปลอมตัวได้แนบเนียนจนไม่มีใครจำได้ คุณพ่อสุดยอดจริงๆ ครับ”
“พ่อคิดว่าป่านนี้ฝาแฝดอีกคนของไอ้ป้องมันอาจจะตายไปแล้วก็ได้ เพราะโดนมดกัดตั้งแต่ตอนที่พ่อเอามันไปทิ้ง” เขมนันท์ว่า
“เมื่อหนึ่งเดือนที่แล้วผมแอบได้ยินคุณลุงปราภพคุยโทรศัพท์กับใครก็ไม่รู้ครับ ได้ยินพูดว่าจ้างให้คนตามหาใครสักคนนี่แหละครับ แต่ตามหายังไม่พบ คนที่คุณลุงจ้างให้คนตามหาก็น่าจะเป็นไอ้ลูกชายฝาแฝดแหละครับ เห็นบอกอีกว่าถ้าตามหาเจอจะจ่ายเงินไม่อั้น”
“จริงเหรอลูก” ประภาถามด้วยสีหน้าตกใจ ก่อนจะประนมมือท่วมหัว “สาธุ! ขออย่าให้พี่ปราภพตามหาลูกชายฝาแฝดอีกคนเจอเลย ถ้าตามหาเจอแล้วมันกลับมา เรื่องทุกอย่างมันจะต้องวุ่นวายไปมากกว่านี้แน่ๆ”
“นั่นสิครับคุณแม่ ผมก็ภาวนาให้มันตายไปตั้งแต่ยังแบเบาะ ทุกคนจะได้ตามหามันไม่เจอ นี่ไอ้ป้องมันคงยังไม่รู้สินะครับ ว่ามันมีพี่น้องฝาแฝด คุณลุงกับคุณป้าคงจะไม่ได้บอกมัน ให้มันอยู่แบบไม่รู้แบบนี้ดีแล้วครับ ถ้ามันรู้มันคงจะตามหาให้วุ่น แล้วทรัพย์สมบัติของตระกูลก็จะต้องถูกแบ่งหลายส่วน แค่คิดผมไม่มีวันยอมแล้วครับคุณพ่อคุณแม่” เขาถูกพ่อกับแม่ปลูกฝังให้เป็นคนโลภมาก เขาจึงกลายเป็นคนที่อยากได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะต้องแย่งคนอื่นมาเขาก็จะทำ
แล้วผู้เป็นแม่ก็บอกว่า
“แม่ก็ไม่ยอมเหมือนกัน”
“พ่อก็ไม่มีวันยอม” เขมนันท์ก็ว่า
ทั้งสามคนกำลังพูดคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ในสมองมีแต่ความโลภครอบงำ ถึงขนาดอยากได้ของคนอื่น ทั้งที่ไม่ใช่ของตัวเอง เรียกได้ว่าเกินเยียวยากันเลยทีเดียว ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็หยุดความโลภไม่ได้ มันมีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับนั่นเอง
วันนี้ปาณัทหายจากอาการบาดเจ็บดีแล้วจึงจะไปทำงาน เพราะเป็นประธานบริษัทจึงหยุดนานไม่ได้ แต่ชายหนุ่มบอกให้ผู้เป็นพ่อไปที่บริษัทก่อน ส่วนเขาจะแวะไปหารินรดาที่บ้าน เพราะได้ข่าวว่าวันนี้เธอหยุดงาน เธอไม่สบายจึงขอหยุด และที่โรงพยาบาลก็มีศัลยแพทย์อีกสองคนก็ทำหน้าที่แทนเธอได้
เมื่อมาถึงบ้านของรินรดาชายหนุ่มก็ถึงกับอึ้ง ไม่คิดเลยว่าจะเห็นรถของภูริชจอดอยู่ที่นี่ อีกฝ่ายมาทำอะไรกัน เขารู้สึกแปลกๆ
“นายภู มันมาทำอะไรที่นี่”
แล้วเขารีบเดินเข้าไปข้างในบ้าน เข้าไปในห้องรับแขกก็พบว่าชัชรินทร์ รวัลยา รินรดา และภูริชนั่งพูดคุยกันอยู่
เมื่อภูริชเห็นผู้มาใหม่ก็รีบทัก
“อ้าว! ไอ้ป้อง แกมาด้วยเหรอ”
“แกมาทำไม” ถามออกไป พยายามเก็บความไม่พอใจเอาไว้ เพราะเขารู้ว่าที่ภูริชมาที่นี่มีจุดประสงค์อะไร เขารู้จักภูริชดี ก่อนจะหันไปประนมมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน “สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า”
“อ้อ พี่ภูเขามาเยี่ยมรินน่ะค่ะ ดูสิคะ ยังมีน้ำใจซื้อผลไม้มาเยี่ยมอีกต่างหาก” รินรดาเป็นผู้ตอบคำถามแทน
ปาณัทจึงเดินไปนั่งโซฟาอีกตัว ก่อนจะถามรินรดา
“น้องรินครับ ไม่สบายแล้วทำไมน้องรินไม่ไปโรงพยาบาลล่ะครับ ให้หมอเขาตรวจดูว่าเป็นอะไร”
“รินไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ ก็แค่ไข้หวัดธรรมดา” เธอตอบยิ้มๆ
ชัชรินทร์จึงบอกว่า
“ลุงไล่ให้ไปโรงพยาบาล...ไปให้คุณหมอตรวจดู แต่ยายรินก็ดื้อ ไม่ยอมไป บอกว่าไม่เป็นอะไรมาก”
“ก็ไม่เป็นอะไรมากจริงๆ นี่คะคุณพ่อ” ผู้เป็นลูกสาวว่า
แล้วภูริชก็ถามปาณัทอย่างเยาะๆ ว่า
“เฮ้ย! ไอ้ป้อง อะไรกันวะ มาเยี่ยมแฟนทั้งที แต่กลับไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาเยี่ยม น่าอายนะ”
“ของเยี่ยมไม่ต้องค่ะ เอาแค่ความห่วงใยมาก็พอค่ะ” รินรดาหันไปยิ้มให้ปาณัท
อีกฝ่ายยิ้มตอบ
“ความห่วงใยพี่พกมาให้น้องรินเกินร้อยครับ”
ชัชรินทร์รีบทำเสียงกระแอม
“เบาๆ หน่อย อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่”
“ผมต้องขอโทษคุณลุงคุณป้าด้วยนะครับ” ชายหนุ่มประนมมือไหว้ชัชรินทร์กับรวัลยา พร้อมกับยิ้มแห้งๆ อย่างอายๆ
ภูริชถึงกับสั่นศีรษะและยิ้มเยาะเย้ยผู้เป็นลูกพี่ลูกน้อง แต่ไม่พูดอะไร
รวัลยาจึงบอกว่า
“ไม่เป็นไรจ้ะ ป้าเข้าใจเรื่องของหนุ่มสาว ป้ากับลุงตอนเป็นหนุ่มสาวก็เป็นแบบพวกเธอนี่แหละ”
แล้วภูริชก็พูดกับรินรดา
“พี่ขอให้น้องรินหายไวๆ นะครับ”
“ขอบคุณค่ะ” รินรดายิ้ม
“ถ้ายังไม่หายก็บอกพี่ได้นะครับ เดี๋ยวพี่จะพาน้องรินไปหาหมอเอง” ปาณัทบอก
อีกฝ่ายจึงพยักหน้า
“ค่ะ ขอบคุณค่ะพี่ป้อง แต่ตอนนี้รินเริ่มดีขึ้นแล้วค่ะ ไม่เหมือนเมื่อคืน...เมื่อคืนตัวร้อน แต่ดีที่ได้ทานยาถึงค่อยยังชั่วหน่อยค่ะ”
“พี่ขอให้น้องรินหายไวๆ นะครับ ผู้ป่วยอีกหลายคนเขารอให้คุณหมอรินรักษาเขาอยู่ครับ”
“ค่ะ คาดว่าอีกสองวันก็น่าจะหายค่ะ...เอ้อ ว่าแต่พี่ป้องไม่ไปทำงานเหรอค่ะ ถึงได้มาหาริน” เธอถามด้วยความแปลกใจ
อีกฝ่ายก็เลยบอกว่า
“อ้อ ไปครับ แต่พี่แวะมาเยี่ยมน้องรินก่อน...แต่พี่ไม่คิดว่าจะเห็นรถของนายภูจอดอยู่ที่นี่” ประโยคท้ายเขาหันไปมองภูริช
คนถูกมองจึงพูดว่า
“ฉันก็เป็นห่วงน้องรินเหมือนกัน แล้วฉันก็เลยมาเยี่ยม มันแปลกตรงไหน”
“แปลกสิ...ก็ร้อยวันพันปีไม่เห็นแกเคยมาที่นี่ แต่วันนี้...”
“ตาภูก็คงจะเป็นห่วงยายรินแบบคนรู้จักกันนั่นแหละ ไม่มีอะไรหรอก” ชัชรินทร์พูดขึ้น
ภูริชก็รีบตอบว่า
“ใช่ ฉันก็เป็นห่วงน้องรินแบบคนที่รู้จักกันก็เท่านั้นเอง หรือว่าแกหึง”
“เปล่า” ปาณัทสั่นศีรษะ ก่อนจะบอกกับอีกฝ่าย “ไปทำงานได้แล้ว มันสายแล้ว”
“เออ...” พูดคำเดียว จากนั้นก็หันไปประนมมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน “ผมขอตัวก่อนนะครับคุณลุงคุณป้า ผมจะรีบไปทำงานครับ พี่ไปก่อนนะน้องริน เดี๋ยวพี่มาหาใหม่” แล้วก็บอกรินรดาอีกที ก่อนจะลุกขึ้น
ปาณัทก็ประนมมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองท่านเช่นกัน
“ผมลาแล้วนะครับคุณลุงคุณป้า ผมต้องรีบไปทำงาน เพราะไม่ได้เข้าบริษัทนาน มัวแต่รักษาบาดแผลครับ...ไปก่อนนะครับน้องริน ไว้ตอนเย็นพี่จะมาทานข้าวด้วย จะมาฝากท้องไว้ที่นี่”
“ยินดีค่ะพี่ป้อง เดี๋ยวรินจะบอกป้าอ่อนให้เตรียมทำกับข้าวไว้รอเยอะๆ เลยนะคะ” เธอบอกยิ้มๆ
แล้วภูริชกลับพูดว่า
“เอ...พี่ว่าเย็นนี้พี่ขอมาทานข้าวด้วยดีกว่านะจ๊ะน้องริน พี่เบื่อกับข้าวที่บ้านแล้วน่ะ ได้ไหมจ๊ะ”
“ถ้าเบื่อกับข้าวที่บ้าน นายก็แค่ไปทานที่ร้านอาหารสิ ไม่เห็นจะยากเลยนี่” ปาณัทว่า
“ก็ฉันอยากมาทานข้าวที่นี่ด้วย ทำไมเหรอ หรือว่าแกไม่อยากให้ฉันมา” เลิกคิ้วใส่กวนๆ
ชัชรินทร์จึงบอกว่า
“ถ้าจะมาทานข้าวที่นี่ด้วยกัน ลุงกับป้าก็ยินดี”
“ขอบคุณครับคุณลุงคุณป้า” เขารีบประนมมือไหว้อีกครั้ง
แล้วปาณัทกับภูริชก็เดินออกไป...คล้อยหลังทั้งสองหนุ่มชัชรินทร์ก็พูดขึ้น
“พ่อว่าลูกสาวของพ่อเสน่ห์แรงเหมือนกันนะเนี่ย ดูสิ ตาป้องก็ชอบลูก แล้วตาภูก็ดูเหมือนจะชอบลูกอีกคน”
“ถ้าจะให้ลูกเลือก...แล้วลูกจะเลือกใคร” รวัลยาถามผู้เป็นลูกสาวยิ้มๆ
รินรดายิ้มเขิน
“แหม! คุณแม่ก็รู้คำตอบอยู่แล้วนี่คะ ไม่เห็นต้องถามหนูเลย หนูขอตัวไปพักก่อนนะคะ” รีบลุกขึ้นเดินไปอย่างรีบร้อน
ผู้เป็นพ่อมองตามแล้วยิ้ม
“แซวนิดแซวหน่อยทำเป็นเขิน เหมือนใครกันนะ”
“เหมือนฉันมั้งคะ” รวัลยาตอบ
อีกฝ่ายถึงกับหัวเราะ
“อ้าว! เหมือนคุณวันจริงๆ ด้วย”
“ไม่คุยกับคุณแล้ว ฉันไปดีกว่าค่ะ” เธอรีบลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องรับแขกทันที
ชัชรินทร์มองตามผู้เป็นภรรยาแล้วยิ้ม
“นั่นแน่ะ เขินทั้งแม่ทั้งลูก”
เมื่อมาถึงบริษัท...ปาณัทกับภูริชก็นำรถไปจอดที่โรงจอดรถ เมื่อปาณัทลงจากรถก็ทำการกดรีโมตล็อกรถ ก่อนจะเดินไปหาอีกฝ่ายที่กำลังจะเดินเข้าไปในบริษัท เขาเดินไปขวางทาง
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”
“เรื่อง...” ทำเป็นถาม ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ
ปาณัทไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปนาน เขารีบเข้าเรื่องทันที
“ฉันรู้นะว่าที่นายไปที่บ้านของน้องริน เพราะมีจุดประสงค์แอบแฝง”
“เฮ้ย! แกอย่ามองฉันในแง่ร้ายนักสิ” ภูริชว่า
อีกฝ่ายจึงถามว่า
“นายมีแง่ดีๆ ให้มองด้วยเหรอ”
“แก...” ชี้หน้าด้วยความไม่พอใจอย่างมาก
แต่ถูกปาณัทปัดมือลง ก่อนจะเตือน
“อย่าคิดที่จะแย่งน้องรินไปจากฉันอีกคน นายแย่งลิต้าไปได้ แต่สำหรับน้องรินฉันไม่ยอมให้นายแย่งไปอีกเด็ดขาด ถ้าไม่ฟังกันก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน”
“ทำไมวะ น้ำหน้าอย่างแกจะทำอะไรฉันได้” มองอย่างท้าทาย
“ก็คอยดูเอาเถอะ ว่าฉันจะทำอะไรได้บ้าง...เห็นฉันนิ่งๆ แบบนี้ แต่สำหรับเรื่องผู้หญิงฉันไม่มีวันยอม ฉันจะลุกขึ้นสู้ให้ถึงที่สุด จำไว้!” ชายหนุ่มพูดจบก็เดินออกไป
ภูริชจึงตะโกนตามหลัง
“น้ำหน้าอย่างแกมันก็ดีแต่ขู่เท่านั้นแหละ ไอ้กระจอก ฉันไม่กลัวแกหรอก ยังไงฉันก็จะแย่งน้องรินจากแกให้ได้ ฉันจะทำให้แกไม่เหลือใครโว้ย”
เขายืนยันว่าจะแย่งรินรดาให้ได้ และไม่ตื่นตระหนกกับสิ่งที่อีกฝ่ายขู่เอาไว้ก่อนก่อนเดินจากไป เขาไม่ชอบปาณัทจึงคิดที่จะเอาชนะในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเรื่องผู้หญิงหรือว่าเรื่องทรัพย์สมบัติของตระกูลก็เถอะ จะเอามาเป็นของตัวเองให้หมดเลยคอยดู
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 260
แสดงความคิดเห็น