บทที่๑๙
คุณหมออนุญาตให้นางเพียรออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว และจะนัดวันมาทำคีโมอีกที เมื่อนางกลับมาถึงบ้านก็บอกกับเป็นเอกว่า
“แม่อยากกลับไปขายผลไม้ที่ตลาดอีก แม่ไม่อยากอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน”
“รอให้แม่รักษาให้หายก่อนนะครับ” ชายหนุ่มบอกยิ้มๆ
แต่ผู้เป็นแม่กลับพูดว่า
“แม่อยากไปขายวันนี้เลย”
“ไม่ได้ครับ แม่เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาล ผมว่าแม่ควรจะนอนพักอยู่ที่บ้านดีกว่าครับ”
“แต่...”
“เชื่อผมนะครับแม่”
“ก็ได้จ้ะ” นางเพียรจำต้องยอม
“อ้อ...” เขาเดินไปที่ครัวพร้อมกับตะโกนบอกแม่ “ผมเตรียมข้าวเที่ยงไว้ให้แม่แล้วนะครับ” ก่อนจะเดินออกมาหยิบถุงยาที่หมอให้มา “ส่วนยาก่อนอาหารและหลังอาหารผมจะเตรียมไว้ให้แม่...วันนี้ผมว่าจะไปทำงานที่ร้านอาหาร เพราะว่าผมไม่ได้ไปทำหลายวันแล้ว และบังเอิญว่าผมเป็นเชฟด้วย อ้อ ผมบอกป้าจิตไว้แล้วว่าให้ช่วยดูแม่แทนผมที ถ้าแม่มีอะไรก็เรียกป้าจิตได้นะ” เขาหมายถึงป้าที่อยู่ข้างบ้าน
“แม่ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว แม่อยู่คนเดียวได้จ้ะ ไม่เห็นต้องฝากคนอื่นดูแม่เลยนี่” ผู้เป็นแม่ว่า
อีกฝ่ายสั่นศีรษะ
“ไม่ได้ครับ ยังไงก็ประมาทไม่ได้”
“ถ้างั้นก็ตามใจเอ็งแล้วกัน”
“เดี๋ยวผมไปทำงานก่อนนะครับแม่” แล้วชายหนุ่มก็รีบเดินไปใส่รองเท้านอกบ้าน ก่อนจะเดินออกไปจากบ้านสลัมเพื่อไปทำงาน
นางเพียรมองตามผู้เป็นลูกชายแล้วยิ้ม
“ขยันจริงๆ ลูกชายแม่ ไม่เสียแรงที่แม่เก็บเอ็งมาเลี้ยง สั่งสอนให้เอ็งเติบโตเป็นคนดีของสังคม เอ็งมีความกตัญญูรู้คุณคน และคนแบบเอ็งอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนรักคนชอบ แม่จะยังไม่บอกความจริงกับเอ็งตอนนี้หรอก รออีกสักหน่อย แม่ยังไม่พร้อมจริงๆ แม่ขอโทษนะ” แล้วน้ำตาของนางก็ไหลพรากอย่างเสียใจที่ยังบอกความจริงกับเป็นเอกไม่ได้ รอให้พร้อมก่อนแล้วนางจะบอกเอง
วันนี้เป็นเอกมาทำงาน เมื่อมาถึงร้านเขาก็รีบเดินเข้าไปที่ครัว นานแล้วที่เขาไม่ได้มาทำงานที่นี่ เพราะมัวแต่ดูแลแม่ ขายผลไม้แทนแม่ เมื่อเข้ามาในครัวก็พบว่าเชฟชัชกับเชฟชิตกำลังเร่งทำอาหารเพื่อให้ทันตามออเดอร์ที่ลูกค้าสั่ง มีผู้ช่วยอีกสี่คนคอยเตรียมวัตถุดิบให้ เช่น หั่นผัก หั่นเนื้อ และอีกหลายอย่าง
เมื่อทุกคนเห็นเป็นเอกเดินเข้ามาก็พากันยิ้มแฉ่ง ตี๊ดรีบทัก
“อ้าว! เชฟเป็นเอกมาแล้ว นึกว่าจะไม่มาซะอีก”
“ต้องมาสิ จะไม่มาได้ยังไง อาชีพเชฟผมรักจะตาย ผมก็ต้องมาทำอาชีพที่ผมรักสิครับ” เป็นเอกบอกยิ้มๆ
แล้วเชฟชิตก็เรียก
“มาก็ดีเลย มาช่วยกันทำอาหารเร็ว ออเดอร์ลูกค้าเยอะมาก เดี๋ยวไม่ทัน”
“ได้ครับๆ” เขารีบวางกระเป๋าสะพายลงบนโต๊ะ ก่อนจะไปคว้าเสื้อกันเปื้อนที่แขวนอยู่มาใส่ จากนั้นก็กระวีกระวาดไปช่วยเชฟทั้งสองคนทำอาหาร
แล้วชยุตพงศ์ก็เดินเข้ามาในครัว เมื่อเห็นเป็นเอกก็ทัก
“อ้าว! เป็นเอก มาแล้วเหรอ”
“พี่พงศ์ สวัสดีครับ” ชายหนุ่มวางตะหลิวลง ก่อนจะหันมาประนมมือไหว้ผู้จัดการร้าน แล้วก็ควงตะหลิวทำอาหารต่อ
ผู้จัดการเดินเข้ามาใกล้และถามว่า
“แม่เป็นยังไงบ้างล่ะ”
“ดีขึ้นแล้วครับ หมอให้ออกจากโรงพยาบาลแล้วครับ” พูดไปทำอาหารไป
“อ้อ...ก็ดีแล้ว” เขาว่า ก่อนจะบอกทุกคน “รีบๆ หน่อยนะ ลูกค้ารออยู่หลายโต๊ะ”
“ครับ พี่พงศ์” ตอบพร้อมกัน
แล้วชยุตพงศ์ก็เดินออกไปจากครัว เชฟทั้งสามคนเร่งมือกันทำอาหาร ทำอย่างประณีต ใส่ใจ ใส่ความละเอียดลงไปในอาหารเพื่อความอร่อย เมื่อทำเสร็จก็จัดใส่จานใส่ถ้วยให้ตี๊ดนำไปเสิร์ฟ แล้วทำใหม่ เพราะลูกค้านั่งเต็มร้าน ออเดอร์มากมาย แต่ทุกคนก็ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย มุ่งทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ให้สุดฝีมือก็พอ
แต่ทุกเมนูของร้านนี้ไม่เคยทำให้ลูกค้าผิดหวัง มีแต่จะทำให้ลูกค้าติดอกติดใจอีกต่างหาก
หลังกลับจากบริษัท...ปาณัทก็กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า บอกกับพ่อแม่ และย่าว่าจะไปทานข้าวเย็นที่บ้านของรินรดา ก่อนจะบึ่งรถไปที่บ้านของหญิงสาวทันที เพราะกลัวภูริชจะมาถึงก่อนเหมือนเมื่อเช้าอีก
เมื่อปาณัทมาถึงก็โล่งใจเพราะไม่เห็นรถของภูริชจอดอยู่ที่นั่น เขารีบเดินเข้าไปในบ้าน ไปที่ห้องครัวเพราะคิดที่จะช่วยเตรียมยกอาหารไปตั้งที่โต๊ะ แต่เขากลับต้องชะงัก เพราะเขาเห็นภูริชกำลังช่วยจัดอาหารใส่จานและถ้วย เขาถึงกับงง อีกฝ่ายมาตอนไหน ทำไมไม่เห็นรถจอดอยู่
“นายมาตั้งแต่ตอนไหนนายภู ทำไมฉันไม่เห็นรถนายจอดอยู่” ชายหนุ่มถามทันที
ภูริชจึงตอบว่า
“อ้อ พอดีฉันไปหาเพื่อนน่ะ แล้วรถฉันก็บังเอิญเสีย ฉันก็เลยให้เพื่อนมาส่ง”
ปาณัทรีบดึงแขนอีกฝ่ายออกไปจากครัว ไปคุยนอกบ้าน
“นี่นายไม่กลัวคำขู่ของฉันเลยใช่ไหม”
ภูริชสะบัดมือออก ยืนเท้าสะเอวมองหน้าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า พร้อมกับถามว่า
“อะไรของแกวะ ฉันก็แค่มาทานข้าวเท่านั้นเอง”
“ฉันรู้...นายไม่ได้มีจุดประสงค์แค่มาทานข้าวอย่างเดียว แต่มีอย่างอื่นแอบแฝงด้วย แค่นายอ้าปากฉันก็เห็นไปถึงตับไตไส้พุงของนายแล้ว”
“ฮึ! ทำเป็นรู้ดีกว่าฉัน แกเป็นตัวฉันหรือไง”
“ฉันรู้จักนิสัยของนายดี คนอย่างนายชอบเอาชนะฉัน”
“แล้ว...” ทำเป็นไขสือ
ปาณัทแทบจะพุ่งเข้าไปต่อยอีกฝ่าย โทษฐานทำให้หมั่นไส้ แต่ต้องสะกดกลั้นอารมณ์ไว้
“ก็นายคิดจะแย่งน้องรินไปจากฉัน เหมือนที่นายแย่งลิต้าไปจากฉันไง...ถามหน่อยเถอะนะ นายต้องการอะไรจากฉันกันแน่ ฉันว่านายไม่ใช่แค่อยากจะเอาชนะฉันหรอก แต่มีอย่างอื่นร่วมด้วย”
“แกก็ฉลาดดีเหมือนกัน” ภูริชหัวเราะเยาะเบาๆ พร้อมกับตบไหล่อีกฝ่าย “โธ่เอ๊ย เดี๋ยวฉันจะเฉลยให้ฟังนะ ว่าฉันต้องการอะไร ฉัน...”
ยังไม่ทันพูด...รินรดาก็มาตาม
“อ้าว! พี่ป้องพี่ภู พากันมายืนอยู่ตรงนี้เอง รินมาตามไปทานข้าวค่ะ จัดโต๊ะเสร็จแล้ว แต่คุณพ่อคุณแม่ของรินท่านไม่ได้อยู่ทานด้วยนะคะ เพราะพวกท่านไปงานวันเกิดเพื่อนค่ะ ว่าแต่พวกพี่คุยอะไรกันอยู่เหรอคะ หน้าเครียดเชียว”
“เปล่าจ้ะ” ปาณัทสั่นศีรษะ “พี่ว่าเราไปทานข้าวกันเถอะนะ ไปสินายภู” พูดจบเขาก็เดินจูงมือรินรดาเข้าไปในบ้าน และหันมายักคิ้วใส่ภูริชเป็นเชิงบอกว่าเขาเป็นเจ้าของหัวใจหญิงสาว
ภูริชมองตามอย่างแค้นใจ
“แกไม่มีวันชนะฉันได้ตลอดเวลาหรอก ฉันจะแย่งน้องรินมาให้ได้” แล้วก็เดินตามไป
เมื่อเข้ามาถึงห้องรับประทานอาหาร ปาณัทกับรินรดานั่งใกล้กัน ส่วนภูริชนั่งตรงข้ามกัน และอาหารบนโต๊ะมีมากมาย ทั้งที่ทานกันแค่สามคนเท่านั้น จะหมดหรือ? แล้วนางอ่อนก็ตักข้าวใส่จานให้ทั้งสามคน เสร็จแล้วก็เดินออกไป
ปาณัทตักกับข้าวใส่จานให้ฝ่ายหญิงอย่างเอาใจ
“ทานข้าวให้เยอะๆ นะครับน้องริน จะได้หายป่วยไวๆ”
“ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้มให้เขา
ภูริชมองทั้งสองคนอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะตักข้าวให้รินรดาบ้าง
“อันนี้เหมาะกับคนป่วย น้องรินต้องทานเยอะๆ นะจ๊ะ”
“ขอบคุณค่ะ พวกพี่ไม่ต้องตักให้รินหรอกนะคะ รินตักเองได้ค่ะ พวกพี่ตักทานเองเถอะค่ะ” หญิงสาวบอก แล้วก็ลงมือทานข้าวทันที
ปาณัทกับภูริชจ้องหน้ากันยังกับจะกินเลือดกินเนื้อกันและกัน จนกระทั่งรินรดาบอกว่า
“ทานข้าวกันเถอะค่ะ”
เท่านั้นแหละสองหนุ่มจึงลงมือทานข้าวกัน โดยไม่สนใจกันและกัน ทานข้าวอย่างตั้งใจ
เมื่อทานข้าวเสร็จทั้งสามคนก็เคลื่อนย้ายไปที่ห้องรับแขก แล้วรินรดาก็ถามภูริชว่า
“แล้วนี่พี่ภูจะกลับบ้านยังไงคะ รถก็ไม่ได้เอามา”
“พี่ขอนอนค้างที่นี่ได้ไหมจ๊ะ” ถามแบบไม่ต้องคิด
ปาณัทมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจและตอบแทนรินรดา
“ไม่ได้...นอนที่นี่ไม่ได้”
“ฉันถามน้องริน ไม่ได้ถามแกโว้ย” ภูริชว่า
“ก็ฉันตอบแทนน้องรินไง ฉันกับน้องรินเป็นแฟนกัน เพราะฉะนั้นจะฉันหรือน้องรินตอบมันก็เหมือนกันนั่นแหละ” ชายหนุ่มบอก “ถ้านายไม่มีรถกลับ นายก็กลับรถฉันสิ เพราะฉันกับนายก็อยู่บ้านเดียวกัน”
“ไม่มีทาง!” ตอบหนักแน่น “ฉันไม่มีทางกลับกับแกอย่างเด็ดขาด เดี๋ยวฉันจะโทรให้เพื่อนมารับ...” และหันไปบอกรินรดา “พี่ขออยู่รอเพื่อนที่นี่นะจ๊ะน้องริน”
“นายก็ไปรอข้างนอกสิ อยู่รอในบ้านสองต่อสองกับน้องรินมันไม่งาม” ดูเหมือนจะหวงก้าง
“แกหวงน้องรินเหรอ” ถามตรงๆ
“ใช่ ฉันหวง” อีกฝ่ายยอมรับ
รินรดาทำท่ากุมขมับ
“โอ๊ย รินปวดหัวค่ะ พวกพี่รีบกลับไปเถอะค่ะ รินจะพักผ่อน”
“ก็ได้ครับ” ปาณัทพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะหันไปทางภูริช “ไม่ได้ยินที่น้องรินบอกเหรอ ว่าให้กลับได้แล้ว น้องรินปวดหัว” แล้วหันกลับมาทางแฟนสาว “พี่กลับก่อนนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ”
“ค่ะ ราตรีสวัสดิ์เช่นกันค่ะ” เธอยิ้ม
แล้วภูริชก็ลุกขึ้นยืน
“พี่กลับก่อนนะจ๊ะน้องริน”
“ค่ะ” เธอพยักหน้า
แล้วทั้งสองหนุ่มก็เดินออกไปพร้อมกัน
คล้อยหลังสองหนุ่มน้ำหวานก็พูดขึ้นว่า
“ดูท่าว่าทั้งคุณปาณัทและคุณภูริชจะพากันแย่งคุณหนูของน้ำหวานนะคะเนี่ย”
“พูดจาน่าเกลียด” รินรดาตำหนิสาวใช้ “ฉันไม่ใช่สิ่งของนะที่ใครจะพากันมาแย่ง ฉันเป็นคน มีความรู้สึก ต่อไปห้ามพูดแบบนี้ให้ฉันได้ยินอีก...เข้าใจไหม ฉันไม่ชอบ”
“ค่ะ ต่อไปน้ำหวานจะไม่พูดแบบนี้อีก” น้ำหวานก้มหน้ารู้สึกผิด
คุณหนูของบ้านรู้สึกว่าตัวเองเป็นเป้าหมายให้กับสองหนุ่ม อีกคนก็เป็นคนที่เธอกำลังคบหาดูใจอยู่ ส่วนอีกคนก็เป็นคนที่รู้จัก...ถ้าสองหนุ่มคิดจะพากันแย่งเธอ เธอคงไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก เพราะเธอไม่ใช่สิ่งของที่ใครๆ จะพากันแย่งโดยไม่สนใจความรู้สึกของเธอเลย คิดแล้วเธอก็รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก
เมื่อออกมานอกบ้านของรินรดาปาณัทก็ถามภูริชว่า
“ฉันขอถามนายหน่อยเถอะ นายเห็นผู้หญิงเป็นอะไร ชอบเล่นกับความรู้สึกของเธอ มันสนุกนักเหรอ...อ้อ แล้วลิต้าล่ะ นายเอาเธอไปไว้ไหน หา!”
อีกฝ่ายจึงพูดแบบไม่ต้องคิดว่า
“ก็เอาไว้ที่เดิมไง...เพิ่มเติมคือมีน้องรินเข้ามาด้วย ฉันจะเอาทั้งสองคน”
“เลว!” เขาต่อยปากผู้เป็นลูกพี่ลูกน้อง จนอีกฝ่ายเซถลาจะล้ม และจะต่อยกลับ แต่ปาณัทหลบทัน
“ที่ฉันต่อยนาย ฉันต่อยเพื่อเตือนสตินาย ว่าอย่าเห็นผู้หญิงเป็นของเล่น ถ้าไม่คิดจริงจังกับพวกเธอนายก็ควรปล่อยพวกเธอไปซะ อ้อ แล้วนายก็อย่าเอาน้องรินเป็นเครื่องมือในการเอาชนะฉัน น้องรินไม่ใช่ของเล่นของนาย แต่เธอคือตัวจริงของฉัน จำไว้” พูดจบก็ขึ้นรถและสตาร์ทออกไปทันที
ภูริชมองตามอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ
“แล้วทำไมต้องเชื่อแกด้วยวะ คนอย่างฉันอยากได้อะไรก็ต้องได้โว้ย ถ้าฉันอยากได้น้องรินฉันก็ต้องเอาให้ได้เหมือนกัน” เขายิ้มอย่างผู้ชนะ
วันถัดมา...ภูริชมาหาชลิตาที่คอนโดฯ อีก ทุกครั้งที่เขามาหาเธอจะต้องมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน วันนี้ก็เช่นกัน แต่หลังจากที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเสร็จเขาก็บอกกับเธอว่า
“ลิต้า...ผมมีเรื่องอยากจะให้คุณช่วย”
“จะให้ลิต้าช่วยอะไรเหรอคะ” เจ้าหล่อนถามขณะซุกลงตรงอกของชายหนุ่ม
อีกฝ่ายจึงตอบว่า
“ลิต้าช่วยทำให้น้องรินเข้าใจไอ้ป้องผิดหน่อยได้ไหม อย่างเช่น...ลิต้าแกล้งทำเป็นไปขอให้ไอ้ป้องอภัยให้ลิต้าและอยากกลับไปคืนดีกับมัน”
“ทำไมคะ” เธอถามอย่างสงสัย ก่อนจะเบิกตาโต “เอ๊ะ หรือว่าภูคิดจะทิ้งลิต้าไปหานังผู้หญิงคนนั้น โดยวางแผนให้ลิต้าทำให้เธอเข้าใจปกป้องผิด เพราะเธอจะได้เลิกกับปกป้อง แล้วภูก็จะได้เข้าไปแทนที่...อย่างนั้นใช่ไหม” เธอรีบลุกออกจากอกของภูริช พร้อมกับจ้องหน้าเขา
“โธ่เอ๊ย! ลิต้าอย่างี่เง่าได้ไหม มันไม่ใช่อย่างที่ลิต้าคิด ผมแค่อยากจะทำให้ไอ้ป้องมันไม่เหลือคนที่มันรักสักคนต่างหาก เพราะผมเกลียดมัน หมั่นไส้มันที่สุด” สายตาของภูริชในตอนนี้น่ากลัวมาก
ชลิตาจึงถามอีก
“ภูต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอคะ”
“ใช่!” เขาพยักหน้า “แต่ลิต้าไม่ต้องถามมาก ถ้าลิต้ารักผม...ลิต้าก็ต้องทำเพื่อผม ได้ไหมครับ”
“ได้ค่ะ ลิต้าจะทำเพื่อภู” เพราะรักเพราะหลงภูริชอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทำให้เธอต้องยอมช่วยเขา เป็นการช่วยแบบเต็มใจ โดยหารู้ไม่ว่ากำลังถูกหลอกใช้อยู่
อีกฝ่ายยิ้มพอใจ หอมแก้มเจ้าหล่อน
“ขอบคุณลิต้ามากนะครับ ผมรักลิต้ามากนะ และผมจะไม่รักใครนอกจากลิต้าเท่านั้น”
“ลิต้าก็รักภูค่ะ” พูดจบเจ้าหล่อนก็โน้มตัวเข้าไปจูบอีกฝ่ายอย่างดูดดื่ม ก่อนจะล้มตัวลงไปด้วยกัน
ภูริชกระชากผ้าห่มที่คลุมร่างกายที่เปลือยเปล่าของเขากับเธอออก จากนั้นก็ใช้ปลายลิ้นจัดการเนินอกอวบอิ่มของอีกฝ่ายด้วยความหื่นกระหาย ก่อนจะเลื่อนลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงตรงหว่างขาเจ้าหล่อน เขาใช้ปลายลิ้นตวัดไปมาอย่างอดยากมานาน แล้วเขาก็จัดการดันกล่องดวงใจของเขาเข้าไปตรงหว่างขาเธอ ไม่นานก็ถึงสวรรค์ชั้นเจ็ดดั่งใจปรารถนาทันที
วันนี้ปาณัทมาเดินที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อเลือกซื้อของไปฝากรินรดาที่โรงพยาบาลในตอนบ่าย เขาเลือกเดินไปที่ร้านขนมเค้กที่อยู่ตรงมุมหนึ่ง ซึ่งขนมเค้กร้านนี้อร่อยมากเขาเคยมาทานแล้ว แต่กำลังจะเดินไปก็ได้ยินเสียงเรียก
“ปกป้องคะ”
ชายหนุ่มหันขวับไปมองทางต้นเสียงก็เห็นว่าเป็นชลิตานั่นเอง เขาจึงถามเจ้าหล่อนอย่างแปลกใจ
“อ้าว! ลิต้า คุณมาเดินเที่ยวห้างด้วยเหรอ”
“บังเอิญจังเลยนะคะ ที่เราได้เจอกันอีกครั้ง” เธอแกล้งพูด มันไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เธอตั้งใจมาหาเขาที่นี่ เพราะรู้มาว่าเขาจะมาที่ห้างสรรพสินค้า...รู้จากใคร? ก็รู้จากภูริชนั่นเอง ภูริชเป็นคนบอกเธอ!
ชลิตาจะใช้แผนของตัวเอง ด้วยการชวนเขาไปทานอาหารญี่ปุ่นในห้างสรรพสินค้า แล้วจ้างให้คนถ่ายภาพเพื่อจะเก็บไว้ส่งไปให้รินรดาดู อีกฝ่ายจะได้เข้าใจผิดคิดว่าปาณัทกลับมาคืนดีกับคนรักเก่า ที่เธอยอมทำเช่นนี้ก็เพราะรักภูริชมากนั่นเอง
“ไม่ได้เจอกันนาน สบายดีนะคะป้อง” เธอถาม
ปาณัทจึงพยักหน้า
“ผมสบายดีครับ มีคนรักใหม่แล้ว แล้วลิต้าล่ะครับ สบายดีหรือเปล่า”
“สบายดีเหมือนกันค่ะ” เธอบอก “เอ้อ ป้องคะ นานๆ เราเจอกันที ลิต้าว่าเราไปทานอาหารญี่ปุ่นด้วยกันดีไหมคะ ในฐานะเพื่อนก็ได้ค่ะ”
“ผมไม่ว่างครับ” เขาปฏิเสธทันที
เจ้าหล่อนเสหัวเราะ
“นี่ขนาดไม่ว่างยังอุตส่าห์มาเดินเที่ยวห้างนะคะ”
“ผมมาทำธุระ” เขาบอก
“ค่ะ มาทำธุระ” อีกฝ่ายยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่แปลกๆ ก่อนที่เธอจะขอร้องเขา “ป้องช่วยเจียดเวลาไปทานอาหารกับลิต้าสักหนึ่งชั่วโมงเถอะนะคะ ไม่ต้องกลัวแฟนใหม่ของป้องจะมาเห็นหรอกค่ะ”
ปาณัทจำต้องยอม
“ก็ได้ครับ แค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้นนะ”
“ค่ะ ชั่วโมงเดียว” เจ้าหล่อนพยักหน้า
แล้วชายหนุ่มก็เดินนำหน้าไปทางร้านอาหารญี่ปุ่น ชลิตารีบเข้าไปควงแขนอีกฝ่ายเดิน
“เราไม่ได้เป็นแฟนกันแล้ว ไม่จำเป็นต้องควงแขนผมเดินหรอก” เขาบอกอย่างเย็นชา
อีกฝ่ายจึงถามว่า
“ทำไมคะ คนที่ควงแขนได้...ต้องเป็นแฟนเท่านั้นเหรอคะ” ก่อนจะหันไปกระพริบตาให้สัญญาณคนที่เธอจ้างให้ถ่ายภาพว่า ‘ถ่ายได้เลย’
ช่างภาพที่หลบอยู่ตรงมุมหนึ่งรีบกดถ่ายภาพรัวๆ ตามคำสั่งของชลิตา
ปาณัทสะบัดแขนเจ้าหล่อนออก
“ใช่ แขนของผมจะให้ควงได้เฉพาะแฟนของผมเท่านั้น คนอื่นควงไม่ได้”
“ป้องใจร้ายกับลิต้ามากค่ะ” เธอมองค้อน
“คุณใจร้ายกับผมก่อน” เขาว่า “คุณเป็นคนทิ้งผมไป คุณทิ้งผมไปหานายภู ก่อนที่คุณจะว่าผมใจร้าย ผมอยากให้คุณลองมองย้อนดูตัวเองก่อนสักนิด”
“ลิต้าขอโทษค่ะ”
“ช่างมันเถอะครับ อย่าไปสนใจอดีตเลย ตอนนี้เราก็แค่เพื่อนกัน เป็นคนที่รู้จักกันก็เท่านั้นเอง...รีบไปทานอาหารเถอะครับ จะได้รีบเสร็จและรีบกลับ” แล้วชายหนุ่มก็เดินเข้าไปในร้านอาหารญี่ปุ่น นั่งลงที่โต๊ะตรงมุมหนึ่ง
ชลิตามองตามอดีตคนรักและเบ้ปาก พึมพำกับตัวเองว่า
“เชอะ คิดว่าลิต้าอยากจะกลับมาคืนดีกับคุณหรือไง ลิต้าอยู่กับภูสบายกว่าอยู่กับคุณตั้งเยอะ” แล้วก็เดินเข้าไปในร้านอาหารญี่ปุ่น นั่งตรงข้ามกับปาณัท เธอหยิบตำราเมนูอาหารขึ้นมาดู ก่อนจะสั่งกับบริกรของร้านที่มารอจด และปิดตำราลง “ฉันเอาแค่นี้แหละค่ะ”
ก่อนจะหันไปถามปาณัท
“แล้วป้องสั่งอาหารหรือยังคะ”
“ผมสั่งแล้ว” เขาตอบส่งๆ ไป
ไม่นานอาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟ พร้อมกับน้ำดื่ม ชลิตาทำเป็นเอาใจอดีตคนรักด้วยการตักอาหารใส่จานให้
“ทานเยอะๆ นะคะป้อง”
“ไม่ต้องตักให้ผมครับ ผมมีมือ” เขาว่า
ช่างภาพที่แอบอยู่ข้างนอกร้านก็กดซูมภาพและถ่ายภาพรัวๆ
เจ้าหล่อนจึงแกล้งถามว่า
“นี่ป้องยังไม่หายโกรธลิต้าอีกเหรอคะ”
“ผมไม่เคยโกรธคุณ ผมแค่ไม่พอใจที่คุณทิ้งผมไป ทั้งที่ผมยังรักคุณอยู่ คุณทิ้งผมแบบไม่เหลือเยื่อใย คุณใจร้ายมาก รู้ตัวไหม”
“มันก็ไม่ต่างอะไรกับคำว่าโกรธหรอกค่ะ”
ทั้งสองคนพูดคุยกันแบบเงียบๆ ไม่ให้คนอื่นที่อยู่ในร้านได้ยิน
ปาณัทรีบโบกมือ
“พอเถอะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องในอดีตอีก รีบๆ ทานอาหารให้เสร็จแล้วต่างคนต่างไป”
“ค่ะ” เธอพยักหน้าอีกครั้ง
ทั้งสองคนลงมือทานอาหารกันอย่างเงียบๆ จนกระทั่งทานเสร็จปาณัทเป็นคนจ่ายเงิน ก่อนจะเดินออกไปจากร้าน ชลิตาเดินตามมา เธอแกล้งเซจะเป็นลม จนอีกฝ่ายต้องหันกลับมารับร่างไว้
“ลิต้าปวดหัวจังเลยค่ะ” เธอบอก
ช่างภาพที่แอบอยู่ใกล้ๆ ก็กดถ่ายภาพอีก ถ่ายหลายๆ ภาพ
“ถ้างั้นคุณไปนั่งพักตรงนั้นก่อนดีกว่า” ชายหนุ่มประคองเจ้าหล่อนไปนั่งตรงเก้าอี้ที่อยู่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่น
ชลิตาจึงถามว่า
“ป้องเป็นห่วงลิต้าเหรอคะ”
“ใช่! ผมเป็นห่วงคุณ...แต่เป็นห่วงในฐานะคนเคยรู้จัก คุณอย่าเพิ่งหลงตัวเองไปหน่อยเลย” ปาณัทพูดอย่างเย็นชา “อ้อ แล้วคุณก็นั่งพักตรงนี้ให้หายปวดหัวแล้วค่อยกลับ ส่วนผมจะกลับแล้ว และต่อไปนี้อย่ามาเจอกันอีก ผมไม่อยากให้น้องรินเข้าใจผิด”
“ค่ะ” เธอพยักหน้ารับคำง่ายดาย “เดี๋ยวลิต้าจะนั่งพักตรงนี้คนเดียว แล้วจะโทรให้ภูมารับค่ะ”
อีกฝ่ายไม่พูดอะไร จากนั้นก็เดินออกไปทันที โดยไม่สนใจเจ้าหล่อนที่นั่งอยู่
คล้อยหลังปาณัทช่างภาพที่แอบอยู่ก็เดินออกมาหา เอาเมมโมรี่การ์ดออกจากกล้องถ่ายภาพและยื่นให้ชลิตา ส่วนชลิตาก็ยื่นซองเงินสดให้อีกฝ่าย พร้อมกับชมว่า
“ทำงานได้ดีมาก หมดธุระแล้ว ไปได้แล้ว”
“ครับ” อีกฝ่ายรับซองเงินและรีบเดินออกไป
ชลิตามองเมมโมรี่การ์ดในมือแล้วยิ้มสะใจ ก่อนจะกดโทรหาภูริช
“เรียบร้อยแล้วนะคะภู”
คุณหมอรินรดานั่งพักในห้องพักของโรงพยาบาลหลังจากเพิ่งจะผ่าตัดคนไข้เสร็จ ใช้เวลาในการผ่าตัดหลายชั่วโมงเลยทีเดียว เมื่อเข้ามาในห้องเธอก็นั่งพิงพนักเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยล้า กะว่าจะหลับสักงีบ แต่เสียงไลน์ดังขัดจังหวะ เธอรีบหยิบโทรศัพท์มือถือมากดดูว่าใครส่งอะไรมาให้ ไลน์ที่ส่งมาไม่มีชื่อ มีคนส่งภาพถ่ายมาให้เธอดู เป็นภาพถ่ายของปาณัทกับชลิตาที่ดูท่าทางสนิทสนมกันมาก ไปทานอาหารญี่ปุ่นด้วยที่ห้างสรรพสินค้า แถมฝ่ายหญิงควงแขนชายหนุ่ม และอีกหลายช็อตเด็ด พร้อมกับข้อความที่ส่งมาด้วย
‘ฉันเป็นผู้หวังดี ผู้ชายที่อยู่ในภาพเขาไม่ได้ซื่อสัตย์กับคุณหรอก ฉันขอเตือนด้วยความหวังดี ถ้าไม่อยากเสียใจก็เลิกยุ่งกับผู้ชายคนนี้ซะ เพราะเขาคิดที่จะกลับไปหาแฟนเก่าของเขา ในภาพมันฟ้อง ส่วนคุณก็แค่ของเล่นชิ้นหนึ่งของเขาก็เท่านั้นเอง’
เมื่ออ่านข้อความจบหญิงสาวก็รู้สึกหวั่นไหว เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจกับปาณัท และรู้สึกเสียใจจนร้องไห้ มันจุกจนพูดไม่ออก มันอธิบายกับความรู้สึกไม่ได้
แล้วประตูก็ถูกเปิดออก เจ้าของห้องรีบปาดน้ำตาทิ้ง มองคนที่เดินเข้ามาก็เห็นว่าเป็นปาณัท เธอจึงหันหน้าไปทางอื่น ไม่อยากมองเขา
“พี่คิดว่าน้องรินมีเคสผ่าตัดซะอีก” ปาณัทพูดกับคุณหมอรินรดา ก่อนจะสังเกตเห็นตาของเธอแดงๆ คล้ายกับผ่านการร้องไห้มา “นี่น้องรินร้องไห้เหรอครับ”
“เปล่าค่ะ แค่ฝุ่นเข้าตา ในห้องฝุ่นเยอะค่ะ แม่บ้านยังไม่ได้เข้ามาทำความสะอาด” เธอตอบแบบไม่มองหน้าอีกฝ่าย
ชายหนุ่มวางถุงขนมเค้กบนโต๊ะ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ และพูดว่า
“พี่ซื้อขนมเค้กมาฝากน้องรินครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ทำไมเวลาน้องรินพูดถึงไม่มองหน้าพี่ครับ พี่ไปอะไรให้น้องรินโกรธหรือเปล่าครับ” เขาตัดสินใจถามอย่างข้องใจ
คุณหมอรินรดาวางโทรศัพท์มือถือลงตรงหน้าอีกฝ่าย
“พี่ป้องช่วยอธิบายรินมาทีสิคะ ว่าในภาพนี้มันคืออะไร”
เมื่อได้เห็นภาพถ่ายปาณัทก็ถึงกับอึ้งไป ก่อนจะอธิบายว่า
“มันไม่มีอะไรเลยนะครับ พี่กับลิต้าบังเอิญเจอกันที่ห้าง พี่จะไปซื้อขนมเค้กเจ้าดังในห้าง ส่วนลิต้าก็เดินซื้อของ แล้วเธอก็แค่ชวนพี่ไปทานอาหารญี่ปุ่น พอออกมาจากร้านเธอจะเป็นลมพี่ก็เลยช่วยเธอไว้ แต่รับรองว่าไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้นครับ”
“ต้องควงแขนกันด้วยเหรอคะ” พูดพลางน้ำตาไหลพลาง “รวมถึงข้อความนั่นด้วยค่ะ พี่ป้องช่วยอธิบายกับรินทีสิคะ”
ชายหนุ่มอ่านข้อความในไลน์ เมื่ออ่านจบเขาก็อึ้งไปอีกครั้ง ก่อนจะอธิบายอีกที
“ตอนแรกลิต้าก็ควงแขนพี่แหละครับ แต่พี่ดึงแขนเธอออก บอกกับเธอว่าแขนของพี่ให้ควงได้เฉพาะแฟนของพี่ เธอกลายเป็นอดีตสำหรับพี่ไปแล้ว น้องรินต่างหากที่เป็นแฟนปัจจุบันของพี่ พี่มีแค่น้องรินคนเดียว...อ้อ แล้วข้อความนั่น พี่ว่าต้องมีจนจงใจทำให้เราทะเลาะกัน ทำให้น้องรินเข้าใจพี่ผิด เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นแผนของลิต้ากับนายภู”
“พี่ภูเกี่ยวอะไรด้วยคะ” เธอถามอย่างงงๆ
อีกฝ่ายจึงบอกว่า
“ก็นายภูมันเคยพูดกับพี่ ว่ามันจะแย่งน้องรินไปจากพี่ มันเกลียดพี่ มันอยากจะเอาชนะพี่ และนี่ก็คงเป็นแผนของมัน ที่จะทำให้เราทะเลาะกันและเลิกกัน เพื่อที่มันจะได้มาแทนที่พี่ เหมือนที่มันแย่งลิต้าไป...แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อยังไม่มีหลักฐาน ก็ยังเอาผิดใครไม่ได้ แต่พี่สาบานได้ว่าพี่มีแค่น้องรินคนเดียวจริงๆ ครับ พี่ซื่อสัตย์กับน้องริน ผู้หญิงคนอื่นไม่ได้อยู่ในสายตาของพี่เลยสักนิด พี่พูดจริงๆ นะ น้องรินเชื่อพี่เถอะนะครับ”
“ก็ได้ค่ะ รินจะเชื่อพี่ดูสักครั้ง” เธอพยักหน้ายิ้มๆ
ปาณัทใช้มือของตัวเองปาดน้ำตาให้คุณหมอสุดสวย
“ไม่ร้องไห้นะครับ พี่มีแค่น้องรินคนเดียวเท่านั้น คนอื่นพี่ไม่สนใจ ชลิตาเป็นอดีตไปแล้ว เธอก็มีภูริชอยู่ทั้งคน เธอกับภูริชรักกันจะตาย...ต่อไปนี้จะไม่มีใครทำลายความสัมพันธ์ของพวกเราได้อีกแล้ว”
“ค่ะ ต่อไปรินจะใช้เหตุและผลพิจารณาความถูกต้องค่ะ จะไม่เชื่อใครง่ายๆ อีกแล้วค่ะ จะเชื่อแค่พี่ป้องคนเดียวเท่านั้น”
“ขอบคุณครับน้องริน” เขายิ้ม ก่อนจะแกะกล่องขนมเค้กและใช้ช้อนตัก “ทานขนมเค้กดีกว่านะครับ เดี๋ยวพี่ป้อน”
“ไม่ต้องค่ะ รินทานเองได้ค่ะ” เธอบอก
อีกฝ่ายสั่นศีรษะ
“ไม่ได้ครับ พี่จะป้อนน้องรินเอง”
“ก็ตามใจค่ะ” คุณหมอสุดสวยจำต้องยอม
แล้วปาณัทก็ตักขนมเค้กป้อนแฟนสาวทันที อีกฝ่ายทานอย่างอร่อย แต่บางทีเขาก็แกล้งทำเหมือนจะตักเข้าปากหญิงสาว แต่กลับตักเขาปากตัวเองเสียอย่างนั้น ทั้งสองคนหยอกล้อกันสนุกสนาน...และสุดท้ายแล้วนั้นไม่มีใครทำลายความสัมพันธ์ของพวกเขาได้เลย
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 275
แสดงความคิดเห็น