บทที่๑๗
ทางด้านเป็นเอก วันนี้เขาหยุดทำงานเพื่อมาดูแลผู้เป็นแม่ที่ระยะหลังๆ ดูซูบลงไปมาก เขาก็สงสัยว่าถ้าเป็นโรคกระเพาะทำไมถึงซูบได้ขนาดนี้ จึงพยายามถามผู้เป็นแม่หลายต่อหลายครั้งว่าเป็นโรคกระเพาะจริงหรือเปล่า คำตอบที่ได้รับเหมือนเดิมทุกครั้ง แต่เขาก็ไม่เซ้าซี้ผู้เป็นแม่อีก เพราะคิดว่าผู้เป็นแม่คงไม่โกหกเขาหรอก
แล้วนางเพียรก็พูดขึ้นขณะนั่งอยู่ในบ้านเช่าด้วยกัน
“วันพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของลูกนี่”
“ครับแม่” ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้มๆ
ต่อมาผู้เป็นแม่ก็ถามว่า
“ลูกจะเป่าเค้กเหมือนทุกปีไหม”
“ปีนี้ไม่ต้องครับ ผมขอแค่ทำบุญใส่บาตร ปล่อยนกปล่อยปลาก็พอครับ”
“ลูกของแม่เป็นคนดีมาก แม่ปลื้มใจที่มีลูกอย่างเอ็ง ขอบคุณโชคชะตาที่นำพาให้เรามาเจอกัน ให้เอ็งมาเป็นลูกของแม่” พูดไปก็ไอไป
“แม่ไม่ต้องพูดอะไรมากหรอกครับ เดี๋ยวผมจะพาแม่ไปหาหมออีก เพราะผมสงสัยว่าอาการที่แม่เป็นอยู่มันไม่ใช่อาการของโรคกระเพาะ แต่มันเป็นอาการของโรคอื่น” เป็นเอกพูดในสิ่งที่สงสัยออกมา
นางเพียรรีบหลบตาผู้เป็นลูกชาย
“ลูกพูดอะไรอย่างนั้นล่ะ ก็หมอเป็นคนบอกแม่เองว่าแม่เป็นโรคกระเพาะ เราก็ต้องเชื่อตามที่หมอบอกสิ” พูดจบก็ไอออกมาเป็นก้อนเลือด นางตกใจ
ผู้เป็นลูกชายก็ตกใจเช่นกัน
“ยิ่งแม่ไอออกมาเป็นเลือดแบบนี้แม่ยิ่งต้องไปหาหมออีก แม่อย่าดื้อเลยนะครับ ผมขอร้อง”
นางเพียรยังไม่ทันพูดอะไรก็ล้มลงหมดสติไป เป็นเอกตกใจรีบอุ้มผู้เป็นแม่ออกไปจากบ้านทันที
ที่โรงพยาบาล...นางเพียรนอนยังไม่ได้สติอยู่ในห้องพักฟื้น โดยมีเป็นเอกนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ อย่างห่วงๆ เขาพูดกับผู้เป็นแม่ว่า
“แม่อย่าเป็นอะไรเลยนะครับ แม่ต้องอยู่กับผมไปนานๆ นะ ผมรักแม่นะ”
แล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออก คุณหมอเดินเข้ามา ซึ่งก็เป็นคุณหมอที่เคยบอกผลตรวจกับผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มประนมมือไหว้
“สวัสดีครับคุณหมอ”
คุณหมอรับไหว้ยิ้มๆ ก่อนจะเดินไปที่เตียงผู้ป่วย และใช้หูฟังแพทย์ตรวจฟังเสียงหัวใจของผู้ป่วย จากนั้นก็หันไปบอกเป็นเอก
“ผู้ป่วยแค่หมดสติไปเฉยๆ ครับ”
“บอกผมหน่อยได้ไหมครับคุณหมอ ว่าแม่ของผมเป็นโรคกระเพาะจริงหรือเปล่า เพราะผมสงสัยว่าอาการที่แม่เป็นอยู่เหมือนไม่ใช่อาการของโรคกระเพาะ แต่เป็นอาการของโรคอื่น เพราะก่อนที่แม่จะหมดสติและก่อนที่ผมจะพามาโรงพยาบาล แม่ของผมไอออกมาเป็นเลือดครับ บอกผมเถอะครับคุณหมอว่าท่านเป็นโรคอะไรกันแน่” ชายหนุ่มตัดสินใจถามคุณหมอ
“เอ้อ...” คุณหมอรู้สึกลังเล เพราะนางเพียรเคยบอกไว้ว่าห้ามไม่ให้บอกผู้เป็นลูกชายของนาง ไม่อยากให้เป็นเอกเสียใจ เพราะฉะนั้นเขาจึงลังเลที่จะพูดออกไป
เป็นเอกจึงรบเร้าคุณหมออีกครั้ง
“บอกผมมาเถอะครับ คุณหมอมีอะไรปิดบังผมอยู่หรือเปล่าครับ”
แล้วอีกฝ่ายก็ตัดสินใจบอก
“คือแบบนี้นะครับ...คุณแม่ของคุณเป็นโรคมะเร็งตับระยะที่สอง แต่ห้ามไม่ให้หมอบอกคุณ เพราะกลัวคุณจะเสียใจและกลัวคุณทำใจไม่ได้ครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายหนุ่มก็ถึงกับอึ้ง พูดไม่ออกไปชั่วขณะ เหมือนต้องมนต์สะกด จนคุณหมอต้องอธิบายต่อ
“แต่อย่าเพิ่งตกใจไปนะครับ เพราะระยะที่สองมันเป็นเพียงระยะเริ่มต้น ยังมีทางรักษาได้ แต่ค่อนข้างใช้เวลานานหน่อย หรือบางทีผู้ป่วยอาจต้องทำคีโม”
“แล้วต้องใช้เงินรักษาเท่าไหร่ครับคุณหมอ” เมื่อได้สติเขาก็ถามคุณหมอ
ฝ่ายคุณหมอจึงบอกว่า
“เรื่องค่ารักษาค่อยคุยกันทีหลังนะครับ หมอยังให้คำตอบไม่ได้ ถ้างั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ”
“ขอบคุณมากครับคุณหมอ” เป็นเอกประนมมือไหว้คุณหมอ
เมื่อคุณหมอรับไหว้เสร็จก็เดินออกไปจากห้องทันที
หลังจากอีกฝ่ายออกไปแล้วชายหนุ่มก็มองผู้เป็นแม่ที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความเป็นห่วง
“แม่อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะครับ ผมจะหาเงินมารักษาแม่ให้หาย แม่จะต้องอยู่กับผมไปนานๆ”
แล้วมือของนางเพียรก็กระดิก เป็นเอกยิ้มดีใจที่ผู้เป็นแม่ฟื้นแล้ว
“แม่ฟื้นแล้ว”
นางเพียรลืมตาขึ้นมาก็มองไปรอบๆ ห้อง ก็หันมาถามผู้เป็นลูกชายว่า
“นี่แม่อยู่ที่ไหนน่ะลูก”
“โรงพยาบาลครับแม่” เป็นเอกตอบ
อีกฝ่ายฝืนลุกขึ้นทั้งที่ยังเวียนศีรษะอยู่ นางพยายามจะถอดสายน้ำเกลือออก แต่เป็นเอกห้าม
“แม่จะถอดออกทำไมครับ”
“แม่จะกลับบ้าน แม่ไม่อยากอยู่ที่นี่”
“ไม่ได้ครับ แม่จะต้องอยู่รักษา”
“รักษาทำไม แม่ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
“ผมรู้ความจริงแล้วครับ คุณหมอบอกผมหมดแล้ว”
เมื่อนางเพียรได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นลูกชายบอกนางก็ถึงกับอึ้งไปชั่วครู่ ในที่สุดเป็นเอกก็ได้รู้ความจริงว่านางป่วยเป็นมะเร็ง นางพูดอะไรไม่ออกสักพัก เมื่อตั้งสติได้นางก็พูดไปร้องไห้ไป
“แม่ขอโทษนะลูก แม่เป็นคนขอร้องให้คุณหมอโกหกลูกเอง เพราะแม่ไม่อยากให้ลูกต้องเสียใจและแม่กลัวว่าลูกทำใจไม่ได้ กลัวว่าลูกต้องทำงานหนักกว่าเดิมเพื่อหาเงินมารักษาแม่ แม่ไม่อยากให้ลูกของแม่ต้องลำบากไปมากกว่านี้”
“แต่ชีวิตของแม่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด” เป็นเอกว่า “ต่อให้ผมลำบากผมก็ยอม ขอแค่ให้แม่หายดีและอยู่กับผมไปนานๆ ไม่ว่าจะเสียเงินเท่าไหร่ผมก็ไม่เกี่ยง แม่ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ผมจะหาเงินมารักษาเอง”
“โถ! ลูกแม่ แม่คงเป็นภาระของลูกมากเลยใช่ไหม” นางยังคงร้องไห้
ผู้เป็นลูกชายรีบเช็ดน้ำตาให้แม่ ก่อนจะสั่นศีรษะและพูดว่า
“แม่อย่าร้องไห้เลยครับ...แม่ไม่ใช่ภาระของผม ผมไม่เคยคิดอย่างนั้น และผมมีแม่คนเดียว แม่คือคนที่ผมรักที่สุด แม่จะต้องหายจากโรคนี้”
นางเพียรมองเป็นเอกอย่างซึ้งใจ ก่อนจะคิดในใจ
‘นี่ถ้าเอ็งรู้ว่าแม่ไม่ใช่แม่แท้ๆ แต่เป็นแม่ที่เก็บเอ็งมาเลี้ยง เอ็งจะยังรักแม่อยู่หรือเปล่า หรือจะทิ้งแม่ไปตามหาแม่แท้ๆ ของเอ็ง แม่จะตัดสินใจบอกความจริงกับเอ็งดีไหม หรือจะเก็บความลับต่อไปดี’
แล้วนางก็ตัดสินใจพูด
“แม่มีความจริงจะบอก”
“ความจริงอะไรครับแม่” เป็นเอกถามอย่างงงๆ
“เอ้อ...” นางขอทำใจก่อนที่จะบอก
แต่แล้วเสียงเปิดประตูก็ขัดจังหวะทั้งสองคน นิชาภัทรเดินเข้ามาในห้องพักฟื้น เธอประนมมือไหว้นางเพียร
“สวัสดีจ้ะ น้าเพียร เป็นยังไงบ้างจ๊ะ”
“หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แม่แค่หมดสติไปเฉยๆ น่ะ อาจเป็นเพราะแม่นอนน้อย” เป็นเอกเป็นผู้ตอบแทน แต่ไม่บอกว่านางเพียรเป็นมะเร็ง
“ขอให้น้าเพียรหายไวๆ นะจ๊ะ พักผ่อนเยอะๆ นะ” หญิงสาวบอกยิ้มๆ
แล้วเป็นเอกก็ถามผู้เป็นแม่กับสิ่งที่ค้างคาอยู่
“ที่แม่บอกว่ามีความจริงจะบอกผม ความจริงอะไรเหรอครับ”
“เอ้อ ไม่มีอะไรแล้วละ” นางเลือกที่จะไม่บอก เพราะตอนนี้นิชาภัทรอยู่ด้วย
ผู้เป็นลูกชายถึงกับงง
“อ้าว! ก็เมื่อกี้แม่...”
“ไม่มีอะไรจริงๆ ตอนนี้แม่อยากพักผ่อน แม่ปวดหัวเหลือเกิน” นางตัดบท
“ถ้างั้นแม่ก็พักผ่อนเถอะครับ ผมกับไอ้นิชาจะกลับแล้ว” ชายหนุ่มลุกขึ้น
นางเพียรล้มตัวนอน แต่นอนหันหลังให้ลูกชาย นางแอบน้ำตาไหล
เป็นเอกพยักหน้าให้นิชาภัทร
“เรากลับกันเถอะ แม่เขาอยากพักผ่อน”
“อืมม์...” หญิงสาวก็พยักหน้าเช่นกัน
แล้วทั้งสองคนก็เดินออกไปจากห้องพร้อมกัน
เมื่อผู้เป็นลูกชายกับนิชาภัทรไปแล้วนางเพียรก็พลิกตัวกลับมานอนหงาย นางพูดขึ้นว่า
“แม่อยากจะบอกความจริงกับลูกเหลือเกิน แต่เอาเข้าจริงแม่กลับไม่ใจแข็งพอ แม่ขอโทษนะเป็นเอก แม่ขอโทษจริงๆ”
น้ำตาของนางไหลพรากเพราะความเสียใจ ความจริงแล้วนางอยากบอกเป็นเอกมาก เรื่องที่นางไม่ใช่แม่แท้ๆ ของเขา แต่เป็นแม่ที่เก็บเขามาเลี้ยง แต่เอาเข้าจริงนางกลับไม่ใจแข็งพอที่จะบอกความจริง นางยังทำใจบอกเป็นเอกไม่ได้ นางยังไม่อยากเสียลูกชายคนนี้ไป ลูกชายคนนี้เป็นคนดีเหลือเกิน นางเลี้ยงมาอย่างทะนุถนอม เลี้ยงดูเหมือนลูกแท้ๆ ตั้งแต่แบเบาะ รักดั่งดวงใจ เพราะฉะนั้นนางขอเก็บความลับไปสักพัก ไหนๆ ก็เก็บมาได้ตั้งยี่สิบกว่าปี เก็บต่ออีกหน่อยจะเป็นไรไป
เช้าวันถัดไป ปาณัทตื่นขึ้นมาเตรียมตัวไปทำบุญที่วัดกับครอบครัวเนื่องในวันเกิด ปีนี้เขาอายุ ๒๗ ปีแล้ว ตอนแรกจะชวนคุณหมอรินรดาไปด้วย แต่เธอมีเคสผ่าตัดด่วน เขาจึงต้องไปทำบุญกับครอบครัว คุณพ่อ คุณแม่ คุณย่า แค่นี้เขาก็มีความสุขมากพอแล้ว
แล้วทุกคนก็เคลื่อนย้ายไปที่รถตู้สีขาวที่จอดอยู่หน้าบ้าน คุณนภาลัยถามผู้เป็นลูกชาย ลูกสะใภ้ และหลานชายว่า
“พร้อมกันหรือยัง”
“พร้อมแล้วครับคุณย่า” ปาณัทตอบยิ้มๆ
แล้วประมุขของบ้านก็พูดต่ออีกว่า
“ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเลย”
ประตูรถตู้เปิดอัตโนมัติ คุณนภาลัยขึ้นไปก่อน แล้วปราภพ พรรณนิภา และปาณัทขึ้นตามไป จากนั้นประตูรถก็ปิด ต่อมานายอเนกค์ ซึ่งเป็นคนขับรถของบ้านก็สตาร์ทรถขับออกไปทันที
รถตู้เคลื่อนตัวออกไปสักพัก ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกก็เดินออกมาหน้าบ้าน มองตามรถตู้ไปด้วยสายตาหมั่นไส้
“มีความสุขกันเหลือเกินนะ” ประภาพูดขึ้น
ส่วนเขมนันท์ก็บอกว่า
“วันนี้ก็เป็นวันเกิดของตาภูเหมือนกัน ถึงแม้จะเกิดคนละเวลากับไอ้ป้องก็เถอะ แต่ก็เกิดวันเดียวกัน”
“คุณยายไม่ให้ความสำคัญกับผมเลย ทั้งที่วันนี้ก็เป็นวันเกิดของผมเหมือนกัน” ภูริชพูดด้วยความอิจฉา
ผู้เป็นแม่จึงพูดว่า
“ก็คุณยายของแกน่ะลำเอียง อะไรๆ ก็ต้องไอ้ป้องมาก่อนทุกครั้ง ส่วนแกก็ได้อยู่ข้างหลังไอ้ป้องตลอด เหมือนแม่ไง แม่ก็อยู่ข้างหลังคุณลุงของแกมาตลอด แต่แม่ทำอะไรไม่ได้...แต่ในกรณีของแกกับไอ้ป้อง แม่จะทำให้แกอยู่ข้างหน้าไอ้ป้อง ไม่ใช่เหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แกจะต้องชนะมันในทุกๆ เรื่อง”
“แล้วคุณแม่จะทำยังไงครับ”
“เดี๋ยวแกก็รู้ว่าแม่จะทำยังไง” เธอยิ้มอย่างมีแผน
ภูริชได้แต่มองผู้เป็นแม่ด้วยความสงสัย ว่าจะมีแผนการอะไรที่จะทำให้เขาชนะปาณัทในทุกๆ เรื่องเขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน
วันนี้เป็นเอกมาทำบุญที่วัดใกล้ๆ เนื่องในวันเกิด เขามากับนิชาภัทร เพราะผู้เป็นแม่นอนอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่ได้มาด้วย เขาจึงชวนหญิงสาวมาแทน ซึ่งเธอก็เต็มใจที่จะมาทำบุญกับเขา...ทำบุญถวายสังฆทาน ปล่อยนก ปิดท้ายด้วยการทำบุญปล่อยปลา เมื่อเขาทำบุญเสร็จก็รู้สึกว่าชีวิตสดใสมากขึ้น แล้วเขาก็พานิชาภัทรมาให้อาหารตรงคลองข้างๆ วัดต่อ ขณะให้อาหารเขาก็พูดขึ้นว่า
“วันเกิดของฉันปีนี้ฉันไม่ขออะไรมากหรอก ขอแค่ให้แม่ของฉันหายดีก็พอ”
“ก็ไหนแกบอกว่าน้าเพียรไม่เป็นอะไรมากไง แค่หมดสติเฉยๆ แต่ตอนนี้แกพูดเหมือนน้าเพียรเป็นอะไรมากงั้นแหละ” นิชาภัทรรู้สึกสงสัย
“โธ่! ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็อยากให้แม่ของฉันหายดี เพราะที่ผ่านมาแม่ของฉันป่วยออดๆ แอดๆ ฉันรู้สึกสงสารแม่ก็เท่านั้นเอง” เขายิ้มกลบเกลื่อน
แต่อีกฝ่ายยังไม่เชื่อ
“จริงหรือเปล่า”
“จริงสิวะ ฉันไม่โกหกแกหรอก”
“แต่ฉันว่าแกกำลังโกหกฉันอยู่” หญิงสาวพูดว่า “เมื่อวานก่อนที่ฉันจะเดินเข้าไปเยี่ยมน้าเพียรในห้อง ฉันได้ยินแกพูดว่าน้าเพียรเป็นโรคมะเร็งระยะที่สอง แต่พอฉันเดินเข้าไปฉันก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่สนใจ เพราะเดี๋ยวแกกับน้าเพียรจะว่าฉันไม่มีมารยาทที่ไปแอบฟัง”
“ซึ่งแกก็ไม่มีมารยาทจริงๆ” เป็นเอกว่า
“อ้าว! ไอ้เอก ไหงพูดแบบนี้วะ” เธอถึงกับหน้าเหวอ
อีกฝ่ายจึงพูดว่า
“ก็ฉันพูดตรงๆ นี่ แกไปแอบฟังฉันกับแม่คุยกันแบบนั้นมันก็เสียมารยาท เพราะคนที่มีมารยาทเขาไม่แอบฟังหรอก”
“จ้ะ พ่อคนมีมารยาท” เธอประชด สักพักก็ทำหน้าเศร้า “ฉันสงสารแกจริงๆ ว่ะไอ้เอก แม่ก็ดันมาป่วยเป็นมะเร็ง แต่ดีทีเป็นแค่ระยะเริ่มแรก นี่แกต้องทำงานหนักกว่าเดิมสินะ เพราะต้องหาเงินมารักษาน้าเพียร”
“งานหนักฉันไม่ว่า ขอแค่ได้เงินมารักษาแม่ก็พอ จะงานแบบไหนฉันทำได้ทั้งนั้น”
“แกแสนกตัญญูแบบนี้ สักวันแกจะได้พบเจอคนดีๆ”
“ก็แกไงคนดีๆ ที่คอยอยู่ข้างฉัน คอยช่วยเหลือฉันตลอด ในตอนที่ฉันลำบาก แกเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับฉัน” เป็นเอกโอบไหล่อีกฝ่ายยิ้มๆ
แล้วนิชาภัทรก็โอบไหล่ผู้เป็นเพื่อนกลับ
“แกก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันเหมือนกัน”
“ไป! เราไปที่โรงพยาบาลกันเถอะ ฉันจะไปหาแม่”
“อืมม์! ไปสิ” หญิงสาวพยักหน้า
แล้วทั้งสองคนก็เดินออกไปจากตรงนั้น ทั้งที่ยังโอบไหล่กันอยู่ สีหน้าของเป็นเอกมีความสุขปนทุกข์ แต่ก็มีนิชาภัทรเป็นเพื่อน คอยให้กำลังใจ ความทุกข์จึงคลายลงไปบ้าง
เป็นเอกกับนิชาภัทรเดินออกไปได้สักพัก คุณนภาลัย ปราภพ พรรณนิภา และปาณัทก็เดินเข้ามายืนบริเวณริมคลอง ในมือถือถุงขนมปังคนละถุง หลังจากทำบุญถวายสังฆทานและทำบุญปล่อยปลาเสร็จทั้งสี่คนก็พากันมาให้อาหารปลา ใบหน้าอิ่มบุญ มีความสุข แล้วคุณนภาลัยก็พูดขึ้น
“ได้ทำบุญแบบนี้ย่าก็มีความสุขนะตาป้อง”
“ผมก็มีความสุขเช่นกันครับคุณย่า” เขาตอบยิ้มๆ ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเป็นถามผู้เป็นย่าว่า “วันนี้ก็เป็นวันเกิดของนายภูเหมือนกันนะครับคุณย่า แต่ทำไมคุณย่าถึงไม่ชวนเขามาทำบุญด้วยกันครับ”
“ตาภูมันเคยทำบุญที่ไหนกันล่ะ ถ้าย่าชวนมันมามันก็ปฏิเสธ ย่าถึงไม่ชวนไง” ท่านบอก “อ้อ แล้วเย็นนี้ย่าจะจัดงานวันเกิดให้กับเราและตาภูด้วย”
“ไม่ต้องจัดใหญ่หรอกนะครับคุณย่า เอาแบบเรียบง่ายก็พอ”
“ไม่ได้สิ ย่าเชิญแขกมาแล้วหลายคน เป็นคนที่ย่ารู้จักทั้งนั้น เพราะฉะนั้นต้องจัดใหญ่ๆ หน่อย อ้อ แล้วเราล่ะ ไม่เชิญเพื่อนมาด้วยเหรอ”
“เชิญมาครับ แต่เชิญประมาณห้าคนเท่านั้น” แล้วปาณัทก็หันไปถามพ่อกับแม่ “คุณพ่อกับคุณแม่มีความคิดเห็นยังไงบ้างครับ เกี่ยวกับการจัดงานวันเกิดของผม”
“พ่อไม่รู้ว่าจะออกความคิดเห็นอะไร เพราะพ่อไม่ใช่เจ้าของวันเกิด” ปราภพตอบยื้มๆ
แล้วพรรณนิภาก็พูดบ้าง
“ส่วนแม่ยังไงก็ได้ แม่ไม่เรื่องมากจ้ะลูก”
ทั้งสี่คนพูดไปให้อาหารปลาไป โดยไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ฝาแฝดอีกคนก็ได้มาทำบุญและให้อาหารปลาเช่นกัน จึงคลาดกันแล้วคลาดกันอีก แต่คาดว่าอีกไม่นานพวกเขาคงได้เจอกันจริงๆ เสียที
“ดูปลาสิ มันแย่งกันกินขนมปังใหญ่เลย” คุณนภาลัยชี้ไปที่คลองแล้วยิ้ม
ปาณัทจึงพูดว่า
“มันคงจะหิวน่ะครับคุณย่า”
“ใช่ เพราะมันหิวมากมันถึงได้แย่งกันกิน” พรรณนิภาว่า
แล้วคุณนภาลัยก็บอกว่า
“พวกเรากลับกันเถอะ เดี๋ยวต้องไปเตรียมงานวันเกิดอีก”
“ครับคุณแม่” ปราภพพยักหน้า
แล้วทุกคนก็เดินออกไปจากตรงนั้นทันที
เป็นเอกมาเยี่ยมผู้เป็นแม่ที่โรงพยาบาลพร้อมกับนิชาภัทร เขานั่งข้างๆ เตียงผู้ป่วย ตอนนี้นางเพียรยังไม่นอนพักผ่อนจึงนั่งพูดคุยกับผู้เป็นลูกชายและนิชาภัทรได้ แล้วเป็นเอกก็หันไปมองผู้ที่มากับเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมามองผู้เป็นแม่และบอกว่า
“ไอ้นิชามันรู้เรื่องทุกอย่างแล้วนะครับแม่”
นิชาภัทรจึงประนมมือไหว้นางเพียร พร้อมกับยิ้มแหยๆ ใส่
“ฉันขอโทษนะจ๊ะน้าเพียร คือเมื่อวานตอนที่ฉันมาเยี่ยมน้าเพียร และก่อนที่ฉันจะเข้าห้องฉันได้ยินน้าเพียรกับไอ้เอกคุยกัน ฉันก็เลยแอบฟังน่ะจ้ะ จึงได้รู้ว่าน้าเพียรป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะที่สอง ฉันขอโทษอีกครั้งนะ”
“ความจริงข้าก็ไม่ได้อยากปิดบังใครหรอก ในเมื่อเอ็งรู้ก็ดีแล้ว” นางเพียรว่า
แล้วอีกฝ่ายก็พูดต่ออีกว่า
“น้าไม่ต้องกังวลอะไรเลยนะ ยังไงไอ้เอกมันก็ต้องหาเงินมารักษาน้าให้ได้ มันเป็นห่วงน้ามากๆ เลยนะจ๊ะ และน้าไม่ต้องห่วงว่ามันจะลำบากกับการหาเงิน มันเก่งจะตาย”
“ข้ารู้สึกผิดที่เป็นภาระให้ลูก...”
“เอาอีกแล้วนะแม่ แม่พูดแบบนี้อีกแล้ว ผมบอกแม่ไปแล้วไงว่าผมไม่เคยคิดว่าแม่เป็นภาระของผมเลยสักนิด แม่เป็นแม่ของผม ถ้าผมดูแลแม่ไม่ได้ แล้วผมจะไปดูแลใครได้ล่ะครับ” เป็นเอกบอก
นางเพียรนิ่งไปสักครู่ ก่อนจะตอบว่า
“โถ ลูกแม่ แม่โชคดีเหลือเกินที่มีลูกอย่างเอ็ง เอ็งเป็นลูกที่กตัญญูมากๆ เลย แม่รักเอ็งนะ มาให้แม่กอดหน่อยซิ”
แล้วสองคนแม่ลูกก็โผเข้ากอดกัน ฝ่ายผู้เป็นแม่ร้องไห้โฮเพราะตื้นตันใจ ซึ้งใจที่มีลูกชายที่ดีเช่นนี้ หายากยิ่งนัก เสียดายที่ลูกแท้ๆ ของนางได้เสียไปตั้งแต่ยังเป็นทารก ถ้ายังอยู่ก็คงจะเป็นคนดีเหมือนเป็นเอก ช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ได้ คิดแล้วนางก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม จนเป็นเอกกับนิชาภัทรตกใจ
“แม่เป็นอะไรครับ ทำไมร้องไห้ขนาดนี้” เป็นเอกคลายอ้อมกอดออกจากผู้เป็นแม่พร้อมกับถาม
นางเพียรรีบปาดน้ำตาทิ้ง หยุดร้องไห้ ก่อนจะสั่นศีรษะ
“เปล่า แม่ไม่ได้เป็นอะไร แม่แค่ตื้นตันใจก็เท่านั้นเอง”
“แม่ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะครับ ผมไม่อยากเห็นน้ำตาของแม่”
“ก็ได้จ้ะ ต่อไปแม่จะไม่ร้องไห้” นางพยักหน้า
แล้วนิชาภัทรก็ถามเป็นเอกว่า
“แล้วแกคุยเรื่องการรักษาน้าเพียรกับคุณหมอหรือยัง”
“ฉันไปคุยมาแล้ว คุณหมอบอกว่าแม่ต้องรักษาด้วยการทำคีโม แต่การทำคีโมอาจไม่ได้ทำให้หายขาดจากโรคนี้ มันทำได้แค่บรรเทาอาการของโรคเท่านั้น และมันมีวิธีในรักษาอีกหลายวิธี แต่คุณหมอบอกว่าให้ลองทำคีโมดูก่อนเผื่อจะดีขึ้น แต่มันอาจจะมีผลข้างเคียงหลังทำคีโม แม่จะไหวไหมครับ” ประโยคสุดท้ายเขาหันไปถามผู้เป็นแม่
อีกฝ่ายพยักหน้า ฝืนยิ้ม
“แม่ไหว...ถ้าแม่รักษาด้วยวิธีนี้แล้วมันทำให้ลูกสบายใจแม่ก็ไหวจ้ะ แล้วเรื่องเงิน...”
“แม่ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินครับ ผมหาไม่ยาก ขอแค่แม่เตรียมตัวให้พร้อมกับการรักษาก็พอครับ”
“แม่พร้อมทุกเมื่อ” นางบอก
แล้วนิชาภัทรก็ถามผู้เป็นเพื่อนอีกว่า
“เอ้อ แล้วคุณหมอเขาได้บอกไหมว่าจะรักษาให้เมื่อไหร่”
“คุณหมอบอกว่าอีกสองอาทิตย์ แต่จะให้แม่กลับไปพักที่บ้านก่อน แล้วจะนัดวันมาทำคีโมอีกที” ชายหนุ่มว่า
“ฉันขอให้น้าเพียรหายไวๆ นะ อย่าไปคิดมาก ยังไงน้าก็ต้องหาย สู้ๆ” เธอบอกกับนางเพียร พร้อมกับชูสองนิ้วเป็นเชิงว่า ‘สู้ๆ’
นางเพียรพยักหน้ายิ้มๆ
“ขอบใจเอ็งมาก”
งานวันเกิดของปาณัทกับภูริชถูกจัดอย่างหรูหราที่หน้าบ้าน โดยจ้างออเเกไนเซอร์ชื่อดังมาจัดงานให้ เมื่อภูริชรู้ว่าผู้เป็นยายจะจัดงานวันเกิดให้เขาด้วยก็ดีใจ ลืมคำพูดที่ว่าคุณยายไม่ให้ความสำคัญกับเขาไปเลย อย่างน้อยตอนนี้ผู้เป็นยายก็ยังคิดว่าเขาเป็นหลานอยู่ เพราะฉะนั้นเขาจะเลิกอคติกับผู้เป็นยายสักครั้ง
ค่ำคืนนี้แขกเหรื่อมางานวันเกิดของปาณัทกับภูริชมากมาย แต่ละคนดูไฮโซมาก ครอบครัวของชัชรินทร์ก็มา วันนี้รินรดาแต่งชุดสวย เป็นชุดที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ซื้อมาใส่งานวันเกิดปาณัทโดยเฉพาะ เรียกได้ว่าเธอใส่ใจเขามากเลยทีเดียว
ส่วนอาหารที่เตรียมไว้ให้แขกรับประทานก็มีหลากหลาย สั่งมาจากร้านอาหารหรูชื่อดัง งานนี้คุณนภาลัยจ่ายไม่อั้น เจ้าของงานยังไม่ออกมาจากข้างในบ้าน ปล่อยให้ผู้เป็นประมุขของบ้านรับแขกไปก่อน
มีคุณหญิงคุณนายกลุ่มหนึ่งซุบซิบพูดคุยกัน
“ดิฉันรู้มาว่าคุณนภาลัยรักหลานชายไม่เท่าเทียมนะคะ ท่านรักปาณัทมากกว่าภูริช” คุณหญิงคนแรกพูดขึ้น
แล้วคุณนายคนหนึ่งก็บอกว่า
“ก็สมควรแล้วละค่ะ ก็ปาณัททั้งขยัน ทั้งเก่ง ดูแลบริษัทได้ดี แล้วทำไมท่านจะไม่รักหลานชายคนนี้ล่ะ ส่วนภูริชน่ะเหรอ รายนั้นไม่เอาไหน ไม่เป็นโล้เป็นพายอะไรสักอย่าง คุณปราภพอุตส่าห์ให้ทำงานในบริษัทเพราะเห็นว่าเป็นหลาน แต่ก็ไม่ตั้งใจทำงาน นึกอยากจะทำก็ทำ คุณนภาลัยก็เลยไม่ค่อยปลื้มหลานชายคนนี้เท่าไหร่ค่ะ”
ประภาผ่านมาได้ยินพอดีจึงแกล้งเข้ามาทักทาย
“อ้าว! สวัสดีค่ะ คุณหญิงพิณ คุณหญิงอร คุณนายพัน แล้วก็คุณนายจันทร์ นี่พากันมางานนี้ด้วยเหรอคะเนี่ย”
เมื่อทั้งสี่คนเห็นประภาก็ถึงกับตกใจหน้าซีด เพราะเมื่อกี้เพิ่งจะพูดถึงภูริช เจ้าหล่อนก็เดินเข้ามา คงจะได้ยินที่พวกเธอพูดกันแน่ๆ
แล้วคุณหญิงคนที่สองก็ตอบว่า
“อ้อ ต้องมาสิคะ คุณนภาลัยอุตส่าห์เชิญมา”
“เชิญมาซุบซิบนินทาน่ะเหรอคะ” เธอพูดอย่างไม่ไว้หน้า “มีปากก็เก็บไว้ทานข้าวนะคะ ไม่ใช่เอาไปใช้นินทาคนอื่นแบบนี้...นี่เหรอคะผู้ดี อย่าไปบอกใครนะคะว่าเป็นผู้ดี มันทุเรศ ผู้ดีที่ไหนชอบนินทาคนอื่น ดิฉันไม่เคยเห็นค่ะ อ้อ แล้วอย่านินทาลูกชายของดิฉันให้ดิฉันได้ยินอีกนะคะ หัวหงอกหัวดำฉันถอนได้หมดค่ะ” พูดจบเธอก็เดินสะบัดหน้าออกไปทันทีด้วยความไม่พอใจ
คล้อยหลังประภา คุณหญิงคุณนายกลุ่มเดิมก็พากันพูดต่อ
“ที่พวกเราพูดมันเรื่องจริงทั้งนั้น ทำเป็นยอมรับไม่ได้”
“เธอก็...คุณประภาน่ะเป็นคนที่เคยยอมรับความจริงซะที่ไหนกันล่ะ”
“นั่นสิ!” ทั้งสี่คนต่างก็พูดกันอย่างสนุกปาก
อีกมุมหนึ่งของงาน...ประภาแอบมายืนระบายอารมณ์คนเดียว เจ้าหล่อนไม่พอใจกับสิ่งที่พวกคุณหญิงคุณนายพูดถึงลูกชายแสนรัก ไม่พอใจมากๆ
“นังคุณหญิงคุณนายปากหมา บังอาจมาว่าลูกชายของฉัน ทั้งที่ลูกๆ ของพวกแกก็ไม่ได้ดีไปกว่าลูกชายของฉันนักหรอก เอาเรื่องของตัวเองให้รอดก่อนเถอะค่อยมาลูกของฉัน”
ขณะที่เธอกำลังระบายอารมณ์อยู่ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“นี่คุณภา ทำไมคุณไม่ไปพูดต่อหน้าพวกมันเล่า มาพูดคนเดียวแบบนี้แล้วพวกมันจะได้ยินเหรอ”
ประภาหันขวับไปมองว่าคนพูดเป็นใคร ที่แท้คนพูดก็คือเขมนันท์นั่นเอง เธอจึงบอกกับเขาว่า
“ถ้าฉันอยู่ตรงนั้นต่อ มีหวังฉันได้ตบพวกมันเลือดกบปากแน่ๆ ฉันก็เลยเดินหนีมาอยู่ตรงนี้...อ้อ คุณเขม ถ้าคุณได้ยินสิ่งที่พวกมันนินทาลูกชายของเราคุณจะต้องโมโหเหมือนฉันแน่ๆ พวกมันว่าตาภูไม่เอาไหน เป็นโล้เป็นพายอะไรสักอย่าง พี่ปราภพอุตส่าห์ให้ทำงานในบริษัทเพราะเห็นว่าเป็นหลาน แต่ก็ไม่ตั้งใจทำงาน นึกอยากจะทำก็ทำ คุณแม่ก็เลยไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ คิดแล้วฉันก็ยังโมโหไม่หาย”
“พวกมันมีปากก็พูดไป สักวันพวกมันจะต้องเป็นเหมือนเรา คุณอย่าซีเรียสไปเลย วันนี้วันเกิดลูกนะ เราไปตรงนั้นกันดีกว่า งานกำลังจะเริ่มแล้ว” ผู้เป็นสามีรีบดึงมือผู้เป็นภรรยาเดินออกไปทันที
ข้างในบ้าน ปาณัทกับภูริชยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งของบ้าน วันหนึ่งทั้งสองคนแต่งตัวหล่อมาก โดยเฉพาะปาณัทที่วันนี้หล่อเป็นพิเศษ และดูโดดเด่นเป็นพิเศษ ส่วนภูริชก็หล่อเช่นกัน แต่ก็ไม่เท่ากับปาณัท
“ฉันคิดว่าคุณยายจะจัดงานวันเกิดให้แกคนเดียวซะอีก” ภูริชพูดขึ้น
ปาณัทจึงบอกว่า
“ได้ยังไงกันล่ะ นายก็เป็นหลานของท่านเหมือนกัน และวันนี้ก็เป็นวันเกิดของนายเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคุณย่าก็ต้องจัดให้นายด้วยสิ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวนายจะว่าท่านลำเอียง ไม่ให้ความสำคัญกับนายอีก”
“แก...ไอ้ป้อง” อีกฝ่ายชี้หน้าอย่างไม่พอใจ
“ฉันพูดเรื่องจริงทั้งนั้น” ชายหนุ่มว่า “ฉันว่าฉันไปรับแขกช่วยคุณย่า คุณพ่อคุณแม่ดีกว่า อยู่ตรงนี้นานๆ ฉันกับนายอาจจะมีเรื่องกัน” แล้วเขาก็เดินออกไปจากบ้าน
ภูริชมองตามอีกฝ่ายอย่างแค้นใจ
“จำไว้เถอะไอ้ป้อง มึงไม่มีวันชนะกูได้ตลอดไปหรอก กูจะแย่งทุกอย่างที่เป็นของมึงมาให้หมด” พูดจบก็เดินออกไปจากบ้าน
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 332
แสดงความคิดเห็น