บทที่๒
“ทำไมคุณอุ้มลูกมาแค่คนเดียวคะ แล้วแฝดอีกคนล่ะ” พรรณนิภาทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นสามีอุ้มลูกน้อยมาเพียงแค่คนเดียว ทั้งที่ควรจะอุ้มมาทั้งสองคน เพราะเป็นฝาแฝดกัน
“เอ้อ...” ปราภพอึกอักเมื่อไม่รู้ว่าจะต้องตอบภรรยาว่าอย่างไรดี
“มีอะไรคะ เกิดอะไรขึ้นเหรอคะคุณปราภพ” เธอรู้สึกเหมือนมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล
“เอ้อ คือว่า...”
เมื่อเห็นว่าลูกชายลำบากใจที่จะตอบภรรยา คุณนภาลัยจึงตัดสินใจตอบลูกสะใภ้แทนเสียเอง
“คืออย่างนี้นะหนูพรรณ ทำใจดีๆ ไว้นะ อย่าเพิ่งเครียด คือลูกชายฝาแฝดอีกคนของหนูกับตาปราภพหายไป”
“หา! หายไปเหรอคะ” พรรณนิภาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะร้องไห้โฮเพราะเสียใจ “ลูกชายฝาแฝดอีกคนของเราหายไปได้ยังไงกันคะคุณ ใครเอาไป มันเกิดอะไรขึ้น...มันเกิดอะไรขึ้นคะ”
“ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเอาลูกของเราไป เห็นพยาบาลที่เฝ้าห้องเล่าให้ฟังว่าไอ้โจรมันปลอมตัวเป็นบุรุษพยาบาลเข้าไปในห้อง มันบอกว่าจะเอาเด็กไปให้พ่อแม่ แต่พยาบาลบอกว่ามันดึกแล้ว ค่อยเอาไปให้ตอนเช้า แต่สักพักอยู่ๆ พยาบาลก็ปวดท้องกะทันหันก็เลยไปเข้าห้องน้ำ โดยให้ไอ้โจรเฝ้าเด็กทารกแรกเกิด เพราะคิดว่ามันเป็นบุรุษพยาบาลจริงๆ พอสบโอกาสมันก็ขโมยลูกชายฝาแฝดอีกคนของเราไป ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันเป็นใคร แล้วมันเอาลูกของเราไปทำไม” ปราภพเล่าให้ภรรยาฟัง
“นี่ดีที่มันเอาไปแค่คนเดียว ถ้ามันเอาไปทั้งสองคนละก็ แม่คงอกแตกตายแน่ๆ เลย” คุณนภาลัยว่า
“คุณหยุดร้องไห้เถอะนะคุณพรรณ” ผู้เป็นสามีบอก ก่อนจะยื่นลูกชายให้ภรรยา “คุณให้ลูกกินนมก่อนเถอะ ไม่ต้องเครียดไปหรอก ตอนนี้คุณหมอกับพยาบาลไปแจ้งความให้แล้ว หวังว่าตำรวจจะตามหาลูกของเราเจอ”
“ภาวนาให้เป็นแบบนั้นค่ะ” พรรณนิภาปาดน้ำตาทิ้ง ก่อนจะรับลูกชายมาอุ้มและเลิกเสื้อให้กินนม แล้วพูดต่อไป “ฉันกลัวว่าลูกชายฝาแฝดอีกคนของเราจะได้รับอันตรายค่ะ กลัวว่าคนที่ขโมยแกไปจะทำร้ายแกน่ะค่ะ”
“ผมก็กลัวเหมือนคุณ” ปราภพว่า ก่อนจะพูดปลอบใจภรรยา “แต่เชื่อเถอะว่าลูกของเราจะต้องปลอดภัย ตำรวจจะต้องตามหาลูกของเราจนเจอนะ ผมจะตามหาอีกแรง ต่อให้พลิกแผ่นดินหาผมก็จะทำ ลูกของผมทั้งคน ผมไม่นิ่งดูดายหรอก”
แล้วคุณนภาลัยก็ประนมมือท่วมศีรษะพลางพูดว่า
“สาธุ เจ้าประคู้ณ ขอให้หลานฝาแฝดอีกคนของดิฉันปลอดภัยด้วยเถิด ขอให้ตำรวจตามหาเจอ อย่าให้เป็นอะไรเลย” และหันไปพูดกับลูกสะใภ้ “อย่าเครียดไปเลยนะหนูพรรณ ยังไงหลานฝาแฝดอีกคนของแม่จะต้องปลอดภัย ตำรวจจะต้องตามหาเจอนะ ทำใจให้สบายนะ อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังมีลูกชายฝาแฝดคนนี้อยู่นะ...” ท่านชี้ไปยังทารกน้อยที่กำลังกินนมแม่อยู่ “โจรมันน่ะขโมยแฝดน้องไป ส่วนที่หนูให้กินนมอยู่น่ะแฝดพี่...เด็กชายปาณัท บวรเทพน่ะ”
“คนนี้แฝดพี่เหรอคะคุณแม่” พรรณนิภาถามยิ้มๆ
“ใช่จ้ะ นี่แฝดพี่” ท่านพยักหน้า
“ต้องมีชื่อเล่นหน่อยนะคะ เอ...ชื่อว่าอะไรดีนะ หนูชื่อเล่นว่าอะไรดีลูก” เธอก้มถามลูกชายด้วยใบหน้าเบิกบาน คลายจากความเครียด
แล้วปราภพก็พูดขึ้น
“ชื่อจริงปาณัท งั้นชื่อเล่นก็ชื่อว่า...ว่า...อ้อ ผมคิดออกแล้ว ลูกชื่อเล่นว่าปกป้องแล้วกัน เพราะถ้าเขาโตขึ้น เขาจะได้ปกป้องคนอื่นได้ไง”
“ชื่อปกป้องก็เพราะดีนะคะ” ผู้เป็นภรรยายิ้ม ก่อนจะถามสามีต่อไปอีกว่า “แล้วถ้าได้ลูกชายฝาแฝดอีกคนกลับคืนมา คุณจะตั้งชื่อเล่นว่าอะไรดีคะ”
“รอให้ตำรวจหาเจอแล้วเอามาส่งเรา แล้วผมจะตั้งชื่อเล่นให้แกเอง แต่ตอนนี้...” เขาจับตัวลูกชายเบาๆ ด้วยความเอ็นดู “เรามีลูกชายที่แสนจะน่าเกลียดน่าชังคนนี้อยู่ทั้งคน เราต้องดูแลเอาใจใส่แกเป็นพิเศษ ส่วนถ้าได้ลูกชายฝาแฝดอีกคนกลับมา...เราก็ต้องรักแกเหมือนที่เรารักพี่ชายของแก”
“ค่ะ ฉันภาวนาขอให้ตำรวจตามหาแกจนเจอนะคะ และขอให้จับโจรให้ได้ค่ะ” พรรณนิภาว่า
ต่างคนก็ต่างภาวนาให้ตำรวจตามหาทารกฝาแฝดอีกคนให้เจอ ขอให้โจรผู้ร้ายได้รับโทษทัณฑ์โดยเร็วที่สุด และขอให้ตำรวจนำทารกฝาแฝดอีกคนกลับมาสู่อ้อมอกของพ่อแม่และย่าอย่างปลอดภัยในเร็ววัน ก็ทำได้เพียงภาวนาเท่านั้นละ
แล้วปราภพก็หันไปพูดกับผู้เป็นแม่
“จริงสิครับ คุณแม่...ยายภาก็คลอดก่อนกำหนดเหมือนกัน”
“ใช่! ยายภาคลอดแล้ว ได้ลูกชาย นี่แม่ได้แต่หลานชายเลยนะเนี่ย แต่ก็ดีเหมือนกัน จะได้พากันสืบทอดวงศ์ตระกูล” คุณนภาลัยหัวเราะ
ขณะนี้เป็นเวลาตีหนึ่ง เขมนันท์ถือตะกร้าที่มีทารกน้อยนอนอยู่เดินมาที่หลังตลาดสดแห่งหนึ่ง ที่ปลอดคน ยากที่จะมีคนเดินผ่านมา
เขาก้มมองทารกน้อยที่ทำตาแป๋วในตะกร้าและพูดว่า
“ความจริงฉันก็อยากจะฆ่าแกให้ตายไปซะเลย แต่ฉันทำไม่ลง เพราะอะไรรู้ไหม...เพราะฉันเป็นคนมีมนุษยธรรมพอ ฉันไม่ทำร้ายเด็ก” แล้วเขาก็ดึงป้ายที่ใส่ตรงข้อมือทารกน้อยออก ก่อนจะวางตะกร้าลงตรงถังขยะที่อยู่ตรงนั้น
“แกนอนอยู่ตรงนี้แล้วกันนะ ถ้าแกโชคดี...อาจจะมีคนมาเก็บแกไปเลี้ยง แต่ถ้าโชคร้าย แกอาจจะถูกแมลงสัตว์กัดต่อยตายอยู่ตรงนี้ก็ได้ ฉันขอให้แกโชคดี ฉันกลับบ้านละ” แล้วเขาก็เดินออกไปโดยไม่สนใจเสียงทารกน้อยร้องไห้จ้า ที่ทารกน้อยร้องไห้ก็เพราะว่าหิวนม ยังไม่ได้กินนม เด็กต้องการนม
เขมนันท์เดินออกไปไม่ถึงชั่วโมงก็มีผู้หญิงสองคนเดินผ่านมา พวกเธอเป็นแม่ค้าขายผักและผลไม้ในตลาดสด คนหนึ่งชื่อว่า ‘นางเพียร’ เป็นแม่ค้าขายผลไม้ ส่วนอีกคนชื่อว่า ‘นางต้อย’ เป็นแม่ค้าขายผัก ทั้งสองคนเป็นเพื่อนกัน
นางเพียรเป็นแม่ม่ายป้ายแดง เพิ่งจะเสียสามีและลูกชายไปด้วยอุบัติเหตุทางรถมอเตอร์โซค์เมื่อสองเดือนที่แล้ว นางเสียใจจนไม่เป็นอันกินอันนอน อันทำมาหากิน แต่โชคดีที่มีเพื่อนอย่างนางต้อยคอยปลอบใจ จนนางคลายจากความทุกข์โศก
นางต้อยเองก็มีลูกสาวอยู่หนึ่งคน แต่อยู่ในวัยแบเบาะ ส่วนสามีของนางนั้นเพิ่งจะเลิกกันไป เพราะอีกฝ่ายมีเมียใหม่ นางจึงต้องเลี้ยงลูกตามลำพัง เลี้ยงลูกด้วยทำงานด้วย
แล้วทั้งสองคนก็หยุดเดินเมื่อได้ยินเสียงเด็กร้องแถวๆ นั้น ต่างก็เงี่ยหูฟัง หาที่มาของเสียง
“ข้าได้ยินเสียงเด็กร้องนะนังเพียร”
“ข้าก็ได้ยินเหมือนกัน ช่วยกันหาสิวะ ว่าเด็กร้องตรงไหน” พูดจบนางเพียรกับนางต้อยก็พากันเดินหาที่มาของเสียงเด็กร้อง
แล้วนางเพียรก็หยุดตรงถังขยะ เพราะเห็นตะกร้าใบหนึ่งวางอยู่ข้างๆ ไม่ใช่ตะกร้าเปล่า แต่มีทารกแรกเกิดอยู่ในนั้นด้วย นางตกใจ และหันไปเรียกเพื่อน
“นังต้อยๆ มานี่สิ มานี่ มาเร็วๆ เข้า”
“อะไรของเอ็งวะ นังเพียร” นางต้อยรีบวิ่งมา แล้วก็ถามเพื่อน “เอ็งเรียกข้ามาทำไม หรือว่าเอ็งเจอ...”
“ใช่ๆ นั่นไง” ผู้เป็นเพื่อนชี้ไปที่ตะกร้าที่ถูกวางข้างๆ ถังขยะ “มีเด็กถูกทิ้ง อยู่ในตะกร้าใบนั้น”
“หา! จริงเหรอวะ” นางตกใจ
“ก็จริงน่ะสิวะ” พยักหน้ายืนยัน
แล้วนางต้อยก็หยิบตะกร้าขึ้นมา เมื่อเห็นทารกน้อยที่ลืมตาแป๋วก็ยิ้มอย่างเอ็นดู
“ดูสิ ทำตาบ๊องแบ๊ว ยิ้มก็เก่งอีกด้วย แต่เอ...น่าจะเพิ่งคลอดนะ ดูสิ ตัวยังแดงๆ อยู่เลยนะนังเพียร ใครกันที่เอาเด็กน้อยหน้าตาน่าเกลียดน่าชังมาทิ้งได้ลงคอ จิตใจทำด้วยอะไรวะ เด็กเพิ่งจะคลอดแท้ๆ”
“ข้าว่าแจ้งตำรวจดีไหม”
“อย่าเลย...” อีกฝ่ายส่ายหน้า “จะแจ้งไปทำไม แจ้งให้ตำรวจจับพ่อแม่ของเด็กน่ะเหรอ...ข้าละไม่เข้าใจจริงๆ เลย พ่อแม่สมัยนี้เป็นอะไร คลอดแล้วก็ทิ้งๆ ถ้าไม่พร้อมมีลูกก็น่าจะป้องกันสักหน่อย แต่พ่อแม่ของเด็กของเด็กคนนี้นี่สิ พอคลอดก็เอาเด็กมาทิ้ง จิตใจทำด้วยอะไร เลวจริงๆ” ที่นางพูดอย่างนี้ก็เพราะนางไม่รู้ว่าทารกน้อยถูกขโมยมาจากพ่อแม่ พ่อแม่ของทารกน้อยไม่ได้เป็นคนเอามาทิ้ง
“พ่อแม่ของเด็กอาจไม่ได้ตั้งใจเอามาทิ้งก็ได้ ข้าว่าแจ้งความเถอะ ให้พ่อแม่ของเด็กมารับตัวของเด็กไป” นางเพียรบอก
แต่นางต้อยกลับพูดว่า
“นี่นังเพียร ที่พ่อแม่ของเด็กเอาเด็กมาทิ้ง นั่นก็หมายความว่าเขาไม่ต้องการลูกของเขาแล้วไง แล้วเอ็งจะไปแจ้งความทำไมวะ”
“แต่ข้าว่า...”
“เชื่อข้าเถอะวะ นังเพียร” ผู้เป็นเพื่อนว่า “ส่วนเด็กคนนี้เอ็งก็เก็บไว้เลี้ยงเอง คิดซะว่าเด็กคนนี้เป็นลูกแท้ๆ ของเอ็งแล้วกัน อีกอย่าง เอ็งก็เพิ่งจะสูญเสียลูกกับผัวของเอ็งไป เอ็งก็คิดว่าเด็กคนนี้เป็นตัวแทนของลูกเอ็งที่ตายไปสิวะ เชื่อข้านะนังเพียร”
“ก็ได้ ข้าจะรับเลี้ยงเด็กคนนี้ ข้าจะเลี้ยงให้เหมือนลูกแท้ๆ ของข้า จะรักเขาให้มากๆ ข้าจะเลี้ยงให้เด็กคนนี้เป็นคนดีของสังคม ให้ช่วยเหลือคนอื่น ช่วยคนที่ตกทุกข์ได้ยาก เอ้อ ว่าแต่เด็กคนนี้ยังไม่มีชื่อเลยนะนังต้อย” นางเพียรอุ้มทารกน้อยออกจากตะกร้ามาไว้แนบอกและยิ้มให้ พลันเจ้าทารกน้อยก็หยุดร้อง ยิ้มให้กับคนที่จะรับอุปการะ นางเพียรหัวเราะ “ดูสิ แสนรู้จริงๆ พอข้าอุ้มก็หยุดร้อง เหมือนรู้ เหมือนถูกใจ...งั้นข้าจะตั้งชื่อให้เอ็งว่า...ว่า อ้อ ชื่อว่าเป็นเอกแล้วกัน ชื่อเพราะดี นับแต่วันนี้เป็นต้นไปเอ็งคือลูกของข้า ข้าจะรักเอ็งเหมือนลูกแท้ๆ...เป็นเอกลูกแม่”
“ถ้ายายนิชา ลูกสาวของข้ากับเจ้าเป็นเอก ลูกชายของเอ็งโตขึ้น ก็คงได้เป็นเพื่อนกัน ได้เรียนด้วยกัน ไปเถอะ...กลับบ้าน ไปนอนกัน ตาหนูคนนี้คงอยากนอนแล้ว อีกอย่าง นี่มันก็ปาไปตีสองแล้ว กลับเถอะว่ะ”
“อืมม์ ไปสิวะ” นางเพียรพยักหน้า ก่อนจะก้มลงพูดกับทารกน้อยวัยแรกเกิด “กลับบ้านกันนะลูก ไปอยู่กับแม่ เพราะพ่อแม่แท้ๆ ของเอ็งเขาคงไม่ต้องการเอ็งแล้ว เขาถึงได้เอาเอ็งมาทิ้งแบบนี้...ไปเถอะ กลับบ้านกัน”
แล้วทั้งสองคนก็เดินออกไปทันที
นับว่าเป็นโชคดีของทารกน้อยวัยแรกเกิดมีคนรับไปอุปการะและไม่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย และนางเพียรก็เป็นคนดี รักเด็กอีกด้วย ถือว่าโชคดีซ้ำสองเลยทีเดียว
“คุณว่าอะไรนะ คุณขโมยไปได้แค่คนเดียวงั้นเหรอ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไม...ตอบฉันมา” ประภาแผดเสียงไม่พอใจสามี เมื่ออีกฝ่ายมาบอกในตอนเช้าว่าขโมยเด็กฝาแฝดได้เพียงคนเดียวเท่านั้น
“ถ้าไม่มีคนมาเห็นซะก่อน ผมก็คงเอาไปทั้งสองคนนั่นแหละ” เขมนันท์บอกกับภรรยา
“อย่ามาแก้ตัว” เธอว่า เธอไม่สนใจลูกที่กำลังกินนมอยู่ ทารกน้อยได้ยินเสียงดังก็ร้องไห้จ้าด้วยความตกใจประสาเด็ก
“อย่าเสียงดังสิคุณ ลูกร้องใหญ่แล้ว” เขาปรามภรรยา
แต่อีกฝ่ายไม่สนใจ ตำหนิสามีต่อไป
“คุณทำงานไม่ได้เรื่อง เรื่องง่ายๆ แค่นี้ เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก แต่คุณก็ยังทำพลาด ฉันไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าคุณดี หา!”
“คุณก็เอาแต่ด่าๆ ผม ถ้าคิดว่าผมทำงานไม่ได้เรื่อง แล้วทำไมคุณถึงไม่ไปทำเองล่ะ ผมก็มีชีวิตจิตใจเหมือนกันนะ ด่าอยู่ได้” เขมนันท์ต่อว่าภรรยาอย่างเหลืออด
“นี่คุณเขม...คุณกล้าดียังไงถึงมาว่าฉันแบบนี้” ประภาไม่พอใจมาก
“ก็ไม่กล้าดียังไงหรอก แต่ผมรำคาญ คุณได้ยินไหมว่าผมรำคาญ” พูดจบผู้เป็นสามีก็เดินหนีออกไปจากห้องเพราะรำคาญเสียงด่าของภรรยา
แล้วผู้เป็นภรรยาก็ตะโกนไล่หลัง
“คุณกลับมานี่ก่อนนะ คุณเขม กลับมาพูดให้รู้เรื่อง กลับมา...โธ่เอ๊ย! จะร้องอะไรกันนักกันหนา ฉันรำคาญ หยุดร้องสักที” เธอลงกับลูกชายที่เพิ่งจะเกิด ทั้งที่ทารกน้อยไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย
พรรณนิภานอนโรงพยาบาลสามคืน เมื่อคุณหมอเห็นว่าแข็งแรงทั้งแม่และลูกก็ให้กลับบ้านได้...นายอเนกค์ คนขับรถประจำบ้านก็มารับคุณนภาลัย ปราภพ พรรณนิภาและเด็กน้อยที่โรงพยาบาลในเวลาบ่ายโมง
เมื่อทั้งสามคนกลับมาถึงบ้านก็เห็นเขมนันท์กับประภามาถึงก่อนแล้ว
บ้านหลังนี้ใหญ่ราวกับพระราชวัง เป็นบ้านสองชั้น หน้าบ้านมีดอกไม้ที่ปลูกประดับมากมาย และมีลานน้ำพุตรงกลาง สวยงามมากเลยทีเดียว
แล้วทั้งหมดก็เคลื่อนย้ายมาที่ห้องโถง อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา คุณนภาลัย ปราภพ พรรณนิภา ประภาและเขมนันท์
คุณนภาลัยเริ่มต้นพูดขึ้น
“เออ รู้สึกว่าบ้านครึกครื้นขึ้นมาหน่อยนะ เพราะมีหลานตั้งสองคน ทีนี้ก็จะได้ไม่เงียบเหงา แต่ยังขาด...”
“ขาดลูกชายฝาแฝดอีกคนของพี่ปราภพค่ะ คุณแม่...ไม่งั้นบ้านเราคงจะครึกครื้นกว่านี้ เสียดายที่ถูกขโมยไปซะก่อนค่ะ” ประภาว่า ภายในใจกำลังหัวเราะสะใจดังๆ
“พูดน้อยๆ หน่อยยายภา” ปราภพบอกน้องสาว
แต่อีกฝ่ายกลับพูดว่า
“ภาเป็นคนพูดตรงๆ ค่ะพี่ปราภพ ถ้าทำให้ใครเสียใจก็ขออภัยด้วยนะคะ”
“พอทีเถอะยายภา แม่ขอนะ” คุณนภาลัยพูดขึ้น “เป็นพี่น้องกัน อย่าทะเลาะกัน อย่าแขวะกัน แม่รักลูกทั้งสองคน แล้วแม่ก็จะแบ่งสมบัติให้หลานเท่าๆ กัน จะไม่มีใครได้เกินกว่าใคร”
ประภาแอบคิดในใจว่า
‘ไม่เชื่อหรอกค่ะ ลูกของพี่ปราภพต้องได้เยอะกว่าลูกของภา เพราะคุณแม่ลำเอียง สนใจแต่พี่ปราภพ ไม่สนใจภาเลย’
แต่ปากก็ถามไปว่า
“จริงเหรอคะคุณแม่”
“จริงสิ แม่ไม่โกหกแกสองคนหรอก...วันนี้แม่จะเรียกทนายมาทำพินัยกรรมไว้เลย จะได้เป็นหลักประกันไง” คุณนภาลัยว่า
แต่ปราภพกลับแย้งผู้เป็นแม่
“อย่าเพิ่งทำเลยครับ มันจะเป็นลาง คุณแม่ยังอยู่นาน พินัยกรรมจะทำตอนไหนก็ได้ครับ แต่ตอนนี้ยังไม่ต้องทำครับ”
“รีบทำเลยค่ะคุณแม่” ผู้เป็นลูกสาวโพล่งขึ้น
“ยายภา” ปราภพไม่พอใจที่น้องสาวพูดเช่นนั้น “อย่าพูดแบบนี้อีก มันเป็นลาง คุณแม่ยังอยู่กับพวกเราอีกนาน คุณแม่จะทำตอนไหนก็ได้ อีกอย่าง คุณแม่ก็บอกอยู่ว่าจะแบ่งให้หลานๆ เท่าๆ กัน แกอย่าพูดแบบนี้ให้พี่ได้ยินอีกนะยายภา”
“เชิญพี่ปราภพโลกสวยไปคนเดียวเถอะค่ะ”
“ยายภา!”
แล้วผู้เป็นแม่ก็รีบห้ามศึกระหว่างลูกชายกับลูกสาว
“หยุด! พอกันที แกสองคนจะทะเลาะกันทำไม เป็นพี่น้องกันแท้ๆ ทะเลาะกันให้ได้อะไร โอ๊ย ฉันปวดหัว...แม่ใบบัว แม่ใบบัวอยู่ไหน มาพาฉันไปที่ห้องที ฉันอยู่ตรงนี้ไม่ไหวแล้ว ฉันเหนื่อย แม่ใบบัว มาเร็วๆ” ท่านเรียกหาสาวใช้
แล้วแม่ใบบัวก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“มาแล้วค่ะ คุณท่านขา อิฉันมาแล้วค่ะ”
“พาฉันไปที่ห้องนอน” ท่านสั่ง
“ได้ค่ะ คุณท่าน” คนใช้พยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะพยุงคุณนภาลัยให้ลุกขึ้นและพาท่านเดินออกไป
เมื่อผู้เป็นแม่เดินออกไปแล้ว ปราภพก็หันมาพูดกับภรรยา
“เมื่อเช้าผมไปที่โรงพัก ไปคุยเรื่องคดีที่ลูกของเราถูกขโมยไป ตำรวจบอกว่าน่าจะหาตัวโจรมาลงโทษได้ไม่ยาก เพราะพยาบาลที่เฝ้าห้องเด็กแรกเกิดอธิบายรูปพรรณสันฐานให้ตำรวจฟัง ไม่นานหรอกคุณพรรณ เดี๋ยวเราก็ได้ลูกชายฝาแฝดอีกคนของเรากลับคืนมาสู่อ้อมอกแล้ว”
“ค่ะ ฉันก็ภาวนาให้คุณตำรวจตามจับโจรที่ขโมยลูกเราไปได้เร็วๆ ฉันอยากได้ลูกชายฝาแฝดอีกคนกลับคืนมาแล้วค่ะ” พรรณนิภายกมือประนมไหว้ภาวนา
อยู่ๆ เขมนันท์ถึงกับสำลักน้ำลายตัวเอง เมื่ออีกฝ่ายภาวนาให้ตำรวจจับโจรที่ขโมยลูกชายฝาแฝดอีกคนได้เร็วๆ เหมือนเขากินปูนแล้วร้อนท้อง
“เป็นอะไร นายเขม” ปราภพหันไปถามน้องเขย
“ปละ...ปละ...เปล่าครับพี่ปราภพ” เขาปฏิเสธอย่างมีพิรุธ ก่อนจะพูดกับภรรยา “เราพาลูกไปนอนกันเถอะคุณภา ลูกคงอยากกินนมนอนแล้ว”
“ไปค่ะๆ...ขอตัวก่อนนะคะพี่ปราภพพี่พรรณ” ประภาหันไปบอกพี่ชายกับพี่สะใภ้ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องโถง โดยผู้เป็นสามีประคอง
เมื่อน้องสาวกับน้องเขยออกไปแล้ว ปราภพก็พูดกับภรรยา
“คุณคิดเหมือนผมไหม ผมว่านายเขมมีพิรุธนะ”
“คุณน่ะคิดมาก ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พาฉันกับลูกขึ้นห้องดีกว่านะคะ” พรรณนิภาว่า
“ผมอาจจะคิดมากเหมือนอย่างที่คุณว่าจริงๆ ก็ได้ ไป...ขึ้นห้องกันดีกว่านะลูก” เขาพูดกับลูกน้อยที่ภรรยาอุ้มอยู่ แล้วประคองภรรยาให้ลุกขึ้นและเดินออกไปด้วยกัน
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ แผนเกือบแตก คุณรู้ตัวไหมว่าเมื่อกี้คุณมีพิรุธมาก” เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องส่วนตัวประภาก็พูดกับสามี
“ก็ผม...ผมไม่ได้ตั้งใจนี่” เขมนันท์ว่า
ผู้เป็นภรรยาจึงบอกว่า
“คราวหน้าคราวหลังก็อย่าทำตัวมีพิรุธอีกล่ะ เดี๋ยวจะถูกจับได้ ยิ่งพี่ปราภพขี้สงสัยอยู่ด้วย”
“โอเค ผมจะไม่ทำตัวมีพิรุธอีก” เขาพยักหน้า “แล้วไอ้เด็กฝาแฝดอีกคนที่อยู่ตอนนี้ล่ะ คุณจะเอายังไง จะให้ผมจัดการอีกเลยไหม”
“จัดการบ้าอะไรล่ะ...ยิ่งกลับมาอยู่บ้านแล้ว ทำอะไรก็ไม่สะดวกเหมือนอยู่โรงพยาบาล พี่ปราภพกับพี่พรรณเฝ้าลูกยี่สิบสี่ชั่วโมง ฉันว่าปล่อยมันไปเถอะ”
“ปล่อยเหรอ? ”
“ใช่! ปล่อย!” เธอพยักหน้า
“ผมคิดว่า...”
“ไม่ต้องคิด” ภรรยาว่า “ฉันมีแผนที่จะฮุบสมบัติของตระกูลทั้งหมดให้ตาภูริช รวมทั้งบริษัท แม้แต่ครึ่งหนึ่งไอ้แฝดนั่นมันก็จะไม่ได้ สมบัติต้องเป็นของตาภูริช”
ประภาหายใจเข้าก็สมบัติ หายใจออกก็สมบัติ นาทีนี้เรื่องสมบัติของตระกูลสำคัญต่อเธอมาก ไม่มีอะไรสำคัญเท่าเรื่องนี้อีกแล้ว
แม่ให้เงินเธอใช้ทุกเดือนก็จริง แต่ก็ไม่มากเท่ากับให้พี่ชาย พี่ชายได้เยอะกว่า ถ้าเงินไม่พอเธอก็ต้องขอ...และเธอเป็นพวกประเภทที่ไม่ชอบทำงาน ชอบอยู่เฉยๆ เสียมากกว่า ส่วนเขมนันท์ก็ได้ทำงานในบริษัทในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาด ถือว่าตำแหน่งดีทีเดียว แต่ยังไม่เป็นที่พอใจของเขา เขาอยากเป็นมากกว่านี้ อยากเป็นเจ้าของบริษัทเสียเลย แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป สักวันหนึ่งบริษัทนี้จะต้องเป็นของเขา เขมนันท์มั่นใจ
“แต่คุณต้องร่วมมือกับฉันนะคะ คุณเขม” เธอบอกกับสามี
“ได้สิ!” อีกฝ่ายพยักหน้า “เรื่องแบบนี้ผมถนัดอยู่แล้ว ให้ผมทำอะไรบอกผมได้เลย”
“เดี๋ยวฉันจะบอกคุณอีกทีค่ะ” ประภายิ้ม
แล้วเขมนันท์ก็แอบคิดในใจ
‘ผมจะยักยอกเงินในบริษัทของคุณให้ได้มากที่สุด แล้วเอาไปใช้หนี้ ที่สำคัญ ผมจะเอาไปเริ่มต้นใหม่กับคนใหม่...ที่ไม่ใช่คุณ’
ความจริงครอบครัวของเขมนันท์ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ฐานะยากจนมากๆ แต่เขาโกหกครอบครัวของภรรยาว่าเขามีฐานะร่ำรวย มีบ้านหลังใหญ่โตทัดเทียมกับเธอ แต่ก็ไม่เคยพาเธอไปดูบ้าน แถมโกหกต่างๆ นานาให้ภรรยาเชื่อใจ เชื่อสนิท เชื่อแบบไม่ลืมหูลืมตา จนกลายเป็นคนโง่ก็ว่าได้
พรรณนิภากำลังเล่นกับลูกน้อยอยู่ในห้องนอนส่วนตัว โดยลูกน้อยนอนอยู่ในเปล วันนี้เด็กน้อยไม่ร้องสักแอะ แถมหัวเราะเก่งขึ้นด้วยซ้ำ เวลาพ่อแม่พูดด้วยเขาก็จะยิ้มและหัวเราะ เรียกว่าพัฒนาเร็วมาก จนใครๆ ก็อดที่จะรักและเอ็นดูเด็กน้อยไม่ได้ ทั้งบ้านเห่อแต่เด็กชายปาณัท แต่ลูกชายของประภากลับไม่ค่อยมีใครสนใจ เพราะรายนั้นเอาแต่ร้องๆ ไม่หยุด ใครพูดด้วยก็ร้อง เหมือนโตขึ้นจะเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง...ต่างจากเด็กชายปาณัทที่ยิ้มง่าย หัวเราะง่าย ไม่งอแง และเลี้ยงง่าย
“ตำรวจเขาว่ายังไงบ้างคะคุณ” พรรณนิภาหันไปถามผู้เป็นสามีที่เปิดประตูเข้ามาในห้อง
ปราภพเดินมาที่เปลและก้มลงจูบหน้าผากลูกชายตัวน้อย ก่อนจะตอบภรรยา
“ผ่านมาสองอาทิตย์แล้วแต่ทางตำรวจบอกว่ายังตามจับตัวร้ายไม่ได้เลย เพราะรูปพรรณสันฐานที่พยาบาลบอกมันมีหลายคน ซึ่งไม่รู้ว่าใคร และไม่รู้ว่ามันเอาลูกฝาแฝดอีกคนของเราไปทิ้งที่ไหน”
“แล้วเรายังพอมีความหวังไหมคะคุณ” ผู้เป็นภรรยาทอดถอนหายใจด้วยความท้อแท้
อีกฝ่ายนั่งลงบนเตียงข้างๆ ภรรยาและพูดปลอบใจเธอ
“ใจเย็นๆ สิครับคุณพรรณ เรายังมีความหวัง ไม่ว่านานเท่าไหร่ผมก็จะตามหาลูกของเราให้เจอ ไม่ว่าจะต้องพลิกแผ่นดินหาผมก็จะทำ วิธีไหนผมก็ทำทั้งนั้น ขอแค่ให้ได้ลูกอีกคนของเรากลับคืนมาก็พอ คุณอย่าเพิ่งท้อแท้ไปเลยนะ”
“ค่ะ ฉันจะไม่ท้อแท้ ฉันจะเข้มแข็ง และฉันจะทำตัวให้แข็งแรงเพื่อรอลูกชายฝาแฝดอีกคนของเราค่ะ”
“ดีครับ” ปราภพยิ้ม “ผมรักคุณกับลูกมากนะ”
“ฉันก็รักคุณกับลูกเหมือนกันค่ะ รักที่สุดในสามโลก”
“ปากหวานจริง” ผู้เป็นสามีหัวเราะชอบใจ
พรรณนิภาหัวเราะตาม ก่อนจะบอกว่า
“ปากหวาน แต่ก้นไม่เปรี้ยวนะคะ”
“อันนี้ผมรู้ครับ เพราะผม...”
“อย่าพูดค่ะ อายลูก”
“ลูกยังไม่รู้เรื่องสักหน่อย จะอายทำไม”
“ถึงจะอย่างนั้น แต่ฉันก็อายค่ะ”
“ก็ได้ๆ ผมจะไม่พูด” เขายิ้ม สักพักก็ลุกขึ้นไปอุ้มลูกน้อยขึ้นมาจากเปลและกลับมานั่งที่เตียงเหมือนเดิม และพูดกับลูกน้อย “พ่อรักลูกนะ โตขึ้นลูกต้องเป็นคนดีของพ่อแม่และของสังคม อย่าเกเร อย่ารังแกคนที่ไม่มีทางสู้ ที่สำคัญ ต้องช่วยเหลือคนที่ด้อยกว่าเรา...อ้อ ต้องหล่อเหมือนพ่อด้วยนะ” ประโยคท้ายเขาพูดติดตลก
“หล่อเหมือนคุณพ่อเหรอคะ” พรรณนิภาถามสามี
อีกฝ่ายพยักหน้าตอบ
“ก็ใช่น่ะสิครับ ต้องหล่อเหมือนผม...หรือว่าคุณจะปฏิเสธว่าผมไม่หล่อ”
“ค่ะ สามีของฉันหล่อเสมอค่ะ” เน้นคำว่า ‘หล่อเสมอ’
“ฟังเหมือนคุณกำลังประชดผมนะ” เขาว่า
ผู้เป็นภรรยาหัวเราะก๊ากชอบใจ ก่อนจะบอกว่า
“อ้อ ใช่ค่ะ ฉันประชด”
“คุณนี่ร้ายจริงๆ แบบนี้ต้องทำโทษสักหน่อย” พูดจบปราภพก็หอมแก้มภรรยาฟอดใหญ่ๆ จนอีกฝ่ายตั้งตัวไม่ทัน
“นี่แน่ะ อายลูก เห็นไหมคะ ลูกมองตาแป๋ว” เธอตีแขนสามีเบาๆ อย่างหมั่นไส้ และเห็นลูกน้อยมองตาแป๋ว แต่ไม่มองเปล่า ยังหัวเราะอีกด้วย
“อายทำไม ดูสิ ลูกยิ้มชอบใจใหญ่เลย คงชอบที่พ่อแม่หยอกล้อกัน ใช่ไหมลูก” เขาก้มลงถามลูกชายตัวน้อย เมื่อผู้เป็นพ่อถามเด็กน้อยก็ยิ้ม เหมือนจะรู้
แล้วพรรณนิภาก็พูดกับลูกน้อย
“ลูกปกป้องของแม่รู้เยอะจริงๆ ยิ้มเก่งด้วย แม่รักหนูนะ ขอแม่หอมหน่อยนะ” พูดจบเธอก็ก้มหอมแก้มลูกน้อย
ปราภพยิ้มและพูดขึ้นว่า
“เราจะเลี้ยงลูกด้วยความรัก เราจะไม่เลี้ยงเขาด้วยเงินๆ ทองๆ เพราะไม่งั้นเขาจะไม่มีความอบอุ่นเลย และสอนให้เขาไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย เราจะสอนให้เขารู้จักมัธยัสถ์ รู้จักคุณค่าของเงิน”
“ค่ะ เราจะเลี้ยงลูกด้วยความรัก...เพราะถ้าเราเลี้ยงลูกด้วยความรักเขาจะมีความสุข แต่ถ้าเราเลี้ยงลูกด้วยเงินมันก็จะทำให้เขาเสียคน และไม่รู้จักคุณค่าของเงิน เพราะฉะนั้นเราต้องดูแลเอาใจใส่เขาตั้งแต่เล็กจนโต รักเขาให้มากๆ เขาจะได้อบอุ่น เด็กน่ะต้องการความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่มากกว่าสิ่งอื่นใด เราจะทำให้เขามีความสุขที่สุดค่ะ”
“ใช่ เราจะทำให้ลูกมีความสุขที่สุด ตั้งแต่เล็กจนโตเขาจะได้รับความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่...จำที่พ่อกับแม่พูดไว้นะลูก ว่าหนูจะได้รับความรักความอบอุ่นมากกว่าสิ่งของหรือเงินทองใดๆ เมื่อโตขึ้นลูกก็จะรู้อะไรๆ เอง และโปรดรู้ไว้อีกอย่าง ว่าพ่อกับรักหนูมาก เพราะหนูคือแก้วตาดวงใจของพ่อกับแม่”
เด็กน้อยนิ่งตลอดเวลาที่พ่อกับแม่พูดสอนเขา เหมือนเขากำลังตั้งใจฟัง ทำตาแป๋วและยิ้มชอบใจเมื่อพ่อกับแม่พูดจบ
พรรณนิภาหัวเราะลูกชายตัวน้อยที่ทำเหมือนรู้ว่าพ่อกับแม่กำลังสอนเขาอยู่
“ดูสิคะคุณ เหมือนลูกรู้ว่าเรากำลังสอนเขา เขายิ้มใหญ่เลยค่ะ น่าเกลียดน่าชังจริงๆ ลูกแม่”
“ถ้าเขาโตขึ้นผมจะส่งเขาไปเรียนที่เมืองนอก เรียนด้านบริหารเพื่อให้เขาสืบทอดตำแหน่งประธานบริษัทและดูแลบริษัทต่อไป ส่วนผมก็จะวางมือให้ลูกบริหารต่อ”
“ค่ะ เขาจะบริหารบริษัทในฐานะคนรุ่นใหม่ ฉันเชื่อมั่นว่าลูกจะทำได้เมื่อเขาโตขึ้นค่ะ”
“ผมก็เชื่อมั่นเหมือนคุณ เมื่อเขาโตขึ้นเขาต้องทำได้แน่นอน”
เด็กชายปาณัทถูกมอบตำแหน่งประธานบริษัทให้ตั้งแต่ยังแบเบาะ เมื่อโตขึ้นเขาจะต้องเป็นผู้บริหารบริษัทต่อจากพ่อ เพราะพ่อของเขาจะวางมือแล้ว แล้วเขาจะทำหน้าที่ผู้บริหารได้ดีหรือไม่ก็ต้องรอดูตอนโต แต่ตอนนี้เขายังแบเบาะ แต่รับรู้ที่พ่อกับแม่พูด เพราะสมองพัฒนาเร็วนั่นเอง!
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 362
แสดงความคิดเห็น